ช่วงนี้ชีวิตวุ่นวายเกินพิกัด...แล้วจะกลับมาเขียนเรื่องที่ค้างไว้ให้จบครับ...สักวัน
Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2556
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
27 ตุลาคม 2556
 
All Blogs
 
ทอย (16)

“นั่นคือทั้งหมดที่ฉันรู้” สโนวเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนบ่ายออกมาอีกครั้ง หลังจากที่เคยเล่าให้พวกตำรวจฟังไปแล้ว และเธอคิดว่าเล่ามันได้ดีขึ้นกว่าเดิมด้วย

“...ครับ” ทั้งที่ความจริงแล้วทอยอยากจะถามออกไปว่า 'คุณรู้แค่นี้เองหรือ' มากกว่า เพราะเรื่องของเธอไม่ได้ช่วยทำให้อะไรกระจ่างขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย จนถึงตอนนี้เขารู้เพียงแค่ว่า คุณครอสนั่งหลับอยู่ในห้องทำงานของเขาตามลำพังโดยที่ไม่มีใครเข้าออก จนกระทั่งคุณฟรอสเข้ามา และยืนยันกับทุกคนด้วยความวิตกกังวลว่าคุณครอสได้หายตัวไปแล้วอย่างลึกลับ สารวัตรโฮมได้เข้ามาตรวจสอบที่นี่ และไม่พบหลักฐาน หรือสิ่งผิดปกติใดใดทั้งสิ้น

ทั้งหมดนี้ทำให้แทบจะสรุปว่ามีเหตุร้ายเกิดขึ้นไม่ได้ด้วยซ้ำ ความวุ่นวายเกิดมาจากคุณฟรอส กับผู้มีอิทธิพลที่คอยผลักดันอยู่เบื้องหลัง ซึ่งก็น่าจะเป็นผู้ว่าลินคอนอย่างที่สไตน์สงสัย

“...ฉันต้องขอโทษคุณด้วย” สโนวที่มีท่าทางอึดอัดพูดขึ้นเบาๆ ดึงความสนใจของเขาให้กลับมาสู่คู่สนทนาที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้ง

“เรื่องอะไรครับ” เขาตามเธอไม่ทัน

“ฉัน...ฉันเป็นคนบอกเรื่องของคุณกับตำรวจในตอนที่พวกเขาถามฉันว่ามีใครที่...มีคนที่น่าสงสัยบ้างหรือไม่” ตอนที่พูด เธอไม่กล้ามองหน้าเขา

“ไม่เป็นไร ผมเข้าใจดี” ในเหตุการณ์แบบนี้จะมีใครที่น่าสงสัยยิ่งกว่าอดีตมือสังหารอย่างเขาได้อีก 'ฉันชินแล้ว ฉัน ชิน แล้ว' เขาบอกกับตัวเองซ้ำๆ พร้อมกับพยายามคงรอยยิ้มที่มุมปากเอาไว้

“ขอโทษที่ทำให้คุณต้องมาวุ่นวายไปด้วย”

“ไม่ ไม่ คุณก็แค่ทำในสิ่งที่ต้องทำเท่านั้น พวกเขาถาม แล้วคุณก็ตอบ ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น ผมเข้าใจ”

เธอเงยหน้าขึ้น เขาจึงพยายามยิ้มอย่างจริงใจเท่าที่จะทำได้ จนสุดท้ายเธอเองก็ยิ้มออกมา ดูเหมือนว่าความยุ่งยากใจที่มีต่อกันระหว่างทั้งสองจะคลี่คลายลงได้บางส่วน มันเหมือนกับเงื่อนปมซับซ้อนที่ไม่อาจแก้ได้ด้วยการดึงปลายเชือกทั้งหมดที่เห็นไปเรื่อยๆ ซึ่งมีแต่จะทำให้มันมัดกันแน่นยิ่งขึ้น ที่คุณต้องทำคือนั่งลงสบายๆ ผ่อนคลายแรงที่หัวไหล่ พร้อมกับค่อยๆ นวดคลึงมันเบาๆ ด้วยฝ่ามือ แล้วคอยดูจนกว่ามันจะเริ่มคลายปมของตัวเองออก

“คุณคิดว่าคุณครอสหายตัวไปอย่างลึกลับตามที่คุณฟรอสบอกหรือเปล่าครับ” เขาจงใจถามคำถามนี้โดยไม่ให้เธอได้ทันตั้งตัว เพราะต้องการฟังคำตอบแรกที่ผุดขึ้นมาในใจของเธอ

“อือฮึ” เธอพยักหน้าทันทีโดยไม่ต้องคิด

“ทำไม คุณถึงมั่นใจขนาดนั้น”

“เพราะ...” ครั้งนี้เธอต้องหยุดคิดแล้ว

'เพราะฉันเชื่อคุณฟรอส นอกจากคุณครอสแล้ว ในสำนักงานแห่งนี้ก็มีแค่เขาเท่านั้น' เสียงหนึ่งในเจ็ดบอกกับเธอ เธอไม่เคยตั้งชื่อให้กับพวกมัน เพราะส่วนใหญ่แล้วเธอมักไม่แน่ใจว่าเสียงไหนเป็นเสียงไหน แต่เสียงนี้มักเป็นเสียงแรกที่ออกความเห็นเสมอ 'นั่นไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้เขาเป็นคนที่น่าสงสัยที่สุดหรอกหรือ' อีกเสียงหนึ่งซึ่งพยายามทำตัวฉลาดดังติดตามมา 'นั่นก็ใช่' ส่วนอันนี้เป็นเสียงของเธอเอง 'ไม่ นั่นไม่ใช่เสียงของฉัน' อีกเสียงหนึ่งรีบค้าน

“เพราะ ฉันเชื่อคุณฟรอส มันไม่เหมือนกับเรื่องบัญชี ไม่ใช่เรื่องการจัดการสินค้า แต่ว่านี่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของคุณครอสโดยตรง ฉันมั่นใจว่าสามารถเชื่อเขาได้ในเรื่องนี้” เธอย้ำ “พวกเขาสองคนทำงานด้วยกันเสมอ และฉันไม่เคยเห็นคุณฟรอสมีท่าทางกังวลขนาดนั้นมาก่อน”

'เธอเชื่ออย่างที่พูดออกมา' ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ค่อยมั่นใจกับความสามารถในการตัดสินผู้คนของตน เพราะมันมีรายละเอียดที่ลึกซึ้งมากกว่าแค่การเฝ้าดูกิริยาเล็กเล็กน้อยน้อยต่างๆ ที่ถูกแสดงออกมาให้เห็น แต่เขาก็คิดว่าน่าจะพอเชื่อเธอในเรื่องนี้ได้

“ผมขอเข้าไปดูในห้องทำงานของคุณครอสได้ไหมครับ”

“ไม่ได้ค่ะ” เธอตอบทันทีโดยไม่ต้องคิด “เพราะมีแค่คุณครอส กับคุณฟรอสเท่านั้นที่จะเปิดมันได้”

“หมายความว่า แม้แต่ตัวคุณเองก็ยังไม่มีกุญแจอย่างนั้นหรือ” เขาไม่ค่อยอยากเชื่อ “ผมรับรองว่าจะไม่ไปยุ่มย่ามกับข้าวของอะไรทั้งนั้น คุณกับผมเข้าไปด้วยกันก็ได้”

“คุณไม่เข้าใจ” เธอออกเดินนำเขาไปยังประตูบานเก่านั้นอีกครั้ง ประตูที่เขาเคยเดินผ่านเข้าไปพร้อมกับความหวังลึกๆ ภายในใจ ความหวังที่เป็นทั้งความสุข และความทุกข์ในเวลาเดียวกัน มันทำให้เขาหวนนึกถึงข้อความที่เคยอ่านเจอในหนังสือของโศกาคิด

'ความหวัง สิ่งที่ทุกคนเชื่อว่าเป็นสิ่งพิเศษ เป็นพลังที่คอยผลักดันมนุษยชาติให้ลุกขึ้น มองไปข้างหน้า แล้วก้าวเดินต่อไป ไม่ว่าหนทางนั้นจะเลวร้ายสักเพียงใดก็ตาม ซึ่งก็คงจะเป็นเช่นนั้น เพราะมันเป็นสิ่งสุดท้ายที่มนุษย์เก็บเอาไว้เพื่อใช้ต่อสู้กับสิ่งชั่วร้ายที่หลุดออกมาจากกล่องของทวยเทพ กล่องที่ถูกหญิงงามนาม แพนดอร่า เปิดออกดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น

ความอยากรู้อยากเห็นของผู้หญิง กับ กล่องต้องห้ามที่กักเก็บความชั่วร้ายทั้งมวลเอาไว้ ส่วนผสมอันลงตัวที่เทพเจ้าผู้มีจิตใจสับสนจนแทบไม่ต่างจากมนุษย์ได้สรรสร้างขึ้น

และด้วยความหวังอันเดียวกันนี้เอง ที่คอยชักนำมนุษยชาติให้ก้าวไปตามความฝันอันลวงตา ครั้งนี้อาจจะเป็นตัวฉันที่ถูกรางวัลใหญ่ ครั้งนี้อาจเป็นโอกาสทำเงินก้อนโตอย่างแท้จริง ครั้งนี้โชคจะต้องเข้าข้างฉัน ครั้งนี้แหละ ครั้งนี้ และครั้งนี้ แต่บางทีมันอาจเป็นเพียงกับดักที่ถูกคนซึ่งเข้าใจ และนำอีกด้านหนึ่งของความหวังมาใช้เพื่อล่อลวงผู้คนก็เป็นได้

ความหวังแบบที่มนุษย์ใช่ล่อลวงมนุษย์ด้วยกันเอง

ดังนั้นแล้ว การที่แพนดอร่าสามารถปิดกล่องต้องห้ามเอาไว้ได้ทันก่อนที่ความหวังสุดท้ายจะเล็ดลอดออกไปได้นั้น อาจไม่ได้อยู่เหนือความต้องการของเทพเจ้าพวกนั้นเลย ยิ่งถ้ามาลองคิดดูให้ดีแล้ว ทำไมความหวังถึงได้เข้าไปอยู่ในกล่องรวมกับความชั่วร้ายทั้งมวลมาตั้งแต่ต้น

บางทีอาจเป็นไปได้ว่าคำตอบที่ง่ายที่สุดคือ ความหวังเองก็นับเป็นความชั่วร้ายอย่างหนึ่งเช่นกัน'

ประตูบานนั้นยังคงเหมือนเดิม แต่ก่อนที่เธอจะชี้ให้ดู เขาก็พบเห็นมันได้ก่อนแล้ว

'โชคดีนะคะ เธอกระซิบเบาๆ ขยิบตา ยิ้มให้ พร้อมกับเปิดประตูที่ดูธรรมดาบานนั้น ฉันรู้สึกว่าตัวเองกำลังหน้าแดง และลืมความกังวลไปชั่วครู่' เขาทบทวนความทรงจำถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเช้า ซึ่งทำให้เขาไม่ทันได้พบเห็นความผิดปกติอันแสนธรรมดาของประตูบานนี้

มันเป็นบานประตูที่ไม่มีรูกุญแจ

“มันจะเปิดเมื่อจำเป็นต้องเปิดเท่านั้น” เธอบอก

คุณจะทำอย่างไรหากพบกับประตูที่อาจมีสิ่งที่คุณต้องการซ่อนอยู่ภายใน คุณจะทำอย่างไรหากมีกล่องของขวัญที่ห่อด้วยกระดาษที่มีสีสันลวดลายงดงาม มีบางสิ่งที่อาจกำลังรอคอยคุณอยู่ และนั่นคือความหวัง สิ่งซึ่งยังอยู่ในกล่องไม่ว่ามันจะมีมูลค่าสูงล้ำ หรือเป็นเพียงเศษขยะไร้ค่า แต่เมื่อมันยังอยู่ในกล่อง เมื่อยังคงมีความหวัง มันต่างก็มีคุณค่าภายในใจของคุณแทบจะไม่ต่างกันเลย

เขาเอื้อมมือออกไป และมองเห็นความหวังกำลังเต้นรำอยู่ในประกายตาของสโนว ถึงแม้เธอจะรู้ว่าคุณครอสไม่ได้อยู่ภายในห้อง แต่ตราบเท่าที่ประตูยังไม่ถูกเปิดออก มันก็ยังคงเป็นเพียงแค่ 'ไม่แน่' เท่านั้น ถึงแม้ว่าเธอจะรู้ความจริงอยู่เต็มอก แต่เธอก็ยังคงมีความหวังอยู่เช่นเดิม

เขาคงแปลกใจมากถ้าในตอนนี้ ตนเองไม่ได้มีประกายตาที่เหมือนกันกับของเธอ

บานประตูไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย เขาลองออกแรงให้มากขึ้น และลังเลอยู่ว่าจะลองพุ่งกระแทกมันด้วยไหล่สักครั้งจะดีหรือไม่

“ฉันบอกแล้วว่ามันเปิดไม่ได้” แต่ในน้ำเสียงของเธอก็ยังคงมีความผิดหวังซ่อนอยู่ จะผิดหวังไปทำไมถ้าหากว่าเธอแน่ใจว่ามันเป็นไปไม่ได้มาตั้งแต่แรก

“ช่วยถอยไปหน่อย”

“ฉันคิดว่าคุณไม่ควร...”

'วิ่ง' ครั้งนี้ทั้งเจ็ดต่างพร้อมใจประสานเสียงเป็นหนึ่งเดียวกัน รวมทั้งเธอด้วย แต่เธอวิ่งไม่ออก นอกจากก้าวถอยหลังติดติดกันสองสามก้าวอย่างรวดเร็ว และพยายามที่จะไม่ให้ตัวเองล้มหงายหลังลงไป 'ฉันยังไม่ตาย' นั่นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะก่อนหน้านี้เพียงครู่เดียว เธอมั่นใจมากว่าตัวเองได้ตายไปแล้ว

ทอยรู้สึกถึงพลังที่ตนเองปลดปล่อยออกมา บางทีการทำแบบนี้อาจเป็นความคิดที่ไม่ค่อยดีนัก เขาใช้พลังของมือสังหารอีกครั้งก่อนที่จะทันรู้ตัว 'ฉันต้องการจะฆ่าประตูบานนี้ เพียงเพราะมันไม่ยอมเปิดให้ฉันอย่างนั้นหรือ' เขาไม่แน่ใจ บางทีอาการผิดหวังของคุณสโนวอาจมีส่วนอยู่บ้าง แต่เขาก็ไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมมันถึงเป็นแบบนั้น

เขาเอื้อมมือไปสัมผัสบานประตูอีกครั้ง ไม่ได้ต้องการให้มัน 'เปิด' แต่ครั้งนี้เขาต้องการให้มัน 'ตาย' ประตูไม้เก่าๆ บานหนึ่งจะมีอายุได้มากสักเพียงใด เขาสัมผัสถึงพลังชีวิตของมัน และในฉับพลันนั้นเขาก็ร่วงหล่นลงไป

เขาแน่ใจว่ามันต้องเป็นวงล้อมหินโบราณ แต่มันยังคงมีสภาพใหม่เอี่ยมไม่เหมือนกับที่เขาเคยเห็นในภาพถ่ายซึ่งเต็มไปด้วยร่องรอยของความเสียหาย มีหินบางก้อนแตกหัก บางก้อนก็ล้มลงนอนอยู่บนพื้น ผู้คนมากมายมารวมตัวกัน ใบหน้าของพวกเขาต่างบ่งบอกถึงความทุกข์ยาก ความลำบากที่ต้องเผชิญ ทั่วทั้งท้องทุ่งกว้างนั้นเต็มไปด้วยหิมะสีขาวโพลน หมู่เมฆหนาหนักลอยต่ำ อากาศเย็นเยือก

มันเป็นฤดูหนาวแบบที่สามารถแช่แข็งทุกชีวิตโดยไม่ทันได้รู้ตัว

พวกเขาทั้งหมดมารวมตัวกันเพื่อประกอบพิธีกรรมบางอย่าง ความไม่สบายใจสามารถพบเห็นได้ทั่วไป พวกเขาอาจไม่ได้ต้องการที่จะทำ แต่พวกเขาจำเป็นต้องทำเพื่อให้บางสิ่งเกิดขึ้น

สิ่งที่ทอยคิดว่าตนเองรู้ แต่กลับนึกไม่ออก

พวกเขาเริ่มยืนล้อมเป็นวงพร้อมกับโยกตัวและส่งเสียง มันคล้ายกับการร้องเพลง คล้ายกับการท่องบทสวด แต่ทอยไม่เข้าใจในถ้อยคำเหล่านั้นแม้แต่คำเดียว ภาพทั้งหมดนี้เริ่มเลือนลาง เมื่อมีใครบางคนเดินเข้ามา วงล้อมมนุษย์นั้นแยกออก ปล่อยให้ผู้ที่มาใหม่เข้าไปสู่ที่ว่างภายใน วงล้อมในวงล้อม คนลึกลับยกชูบางอย่างขึ้น มันเป็นประกาย ซึ่งตอนแรกทอยเข้าใจว่าอาจเป็นเครื่องประดับบางอย่าง ก่อนที่มันจะถูกปักลงอย่างรวดเร็วบนบางสิ่งที่อยู่ตรงหน้า อยู่ตรงกลางของวงล้อมทั้งหมด

เสียงกรีดร้องบาดหู สีแดงที่สาดกระจายไปบนหิมะสีขาวโพลน สีแดงที่ละลายหิมะ สีแดงที่สามารถสลายความหนาวเย็น ก่อนที่สีขาวทั้งปวงจะถูกกลืนกินด้วยสีแดงอันแรงร้อน

“...คุณเป็นอะไรหรือเปล่า” สโนวส่งเสียงเรียก แต่ยังคงไม่กล้าเดินเข้ามาใกล้ตัวทอย มือของเขายังคงวางทาบอยู่บนบานประตู

“...เกิดอะไรขึ้น” เขาถาม คอแห้งผาก รู้สึกคล้ายกับว่าตัวเองกำลังจะหมดแรง มือของเขาตกลงที่ข้างตัว และน่าแปลกที่เมื่อมันหลุดออกจากบานประตู เขากลับรู้สึกดีขึ้นอย่างรวดเร็ว

“ฉันต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายถาม” ในชั่วพริบตาหนึ่งเขาน่ากลัวจนเธอไม่อาจหาคำใดใดมาอธิบายได้ แล้วเขาก็เอื้อมมือไปที่ประตู ซึ่งเธอคิดว่ามันจะระเบิดแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยทันที แต่หลังจากนั้นเขาก็เอาแต่ยืนนิ่ง และไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งสิ้น

“ผม...ผม...เปิด มันไม่ได้” เขาเกือบจะพูดคำว่า ฆ่า ออกไปอยู่แล้ว 'ประตูบานนี้มีอายุมานานแค่ไหน และเหลืออยู่อีกมากเท่าไรกันแน่' เขาไม่รู้

“ก็ ก็อย่างที่ฉันบอกไปแล้วว่ามันเปิดไม่ได้” เธอย้ำคำเดิม “มีแค่คุณครอส กับคุณฟรอสเพียงสองคนเท่านั้น บางทีถ้าเธออยากกลับมาในวันพรุ่งนี้ก่อนเที่ยง ก่อนที่ร้านจะปิด และถ้าคุณฟรอสแวะเข้ามาพอดี” ซึ่งเธอก็เริ่มรู้สึกกังวลมากขึ้นกับการที่ฟรอสไม่ได้กลับเข้ามาที่สำนักงานแห่งนี้อีกเลย ”...บางทีคุณฟรอสอาจจะยอมเปิดให้เข้าไปดูก็ได้”

เขาพยักหน้า เข้าใจในความหมายของการขับไล่อย่างสุภาพของเธอ และเขาเองก็ไม่มีอะไรที่จะทำได้อีกแล้ว เธอเดินไปส่งเขาที่ประตูของสำนักงาน

“ขอบคุณนะครับ บางทีพรุ่งนี้ผมอาจจะแวะมาอีกครั้ง” เขายิ้ม “และสัญญาว่าจะไม่ทำให้คุณตกใจแบบคืนนี้อีก”

'พอเขายิ้มแล้วก็ดูดีนะ' เสียงหนึ่งบอก 'น่ากลัว ลึกลับ ชวนค้นหา' อีกเสียงหนึ่งว่า 'แต่เขาเด็กเกินไปหน่อยนะ ว่าไหม' เป็นความเห็นของอีกเสียง 'ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย' นั่นจะใช่เสียงของเธอหรือเปล่า 'บ้า คิดไปกันใหญ่แล้ว' ใช่ นี่คงเป็นเสียงของเธอเอง

“ฉันก็หวังอย่างนั้น พรุ่งนี้ยังมีงานอีกเยอะ...คืนนี้ก็เหมือนกัน” เธอไม่แน่ใจว่าทำไมถึงได้พูดออกไปแบบนั้น

“คุณอาจต้องกลับดึกหรือครับ” เขาทำหน้าสงสัย

“ไม่ ฉันหมายถึง...ฉันอาจจะไม่กลับ ฉันนอนค้างที่นี่บ่อยๆ เวลามีงานที่จำเป็นต้องเร่งสะสาง ฉันเตรียมทุกอย่างมาพร้อมอยู่แล้ว”

“ถ้าอย่างนั้นผมต้องขอตัวก่อนนะครับ มีคนรออยู่” 'ผู้หญิง หรือผู้ชายล่ะ' เสียงที่เร็วที่สุดนั้นอีกครั้ง 'ต้องเป็นผู้หญิงแน่' อีกเสียงสนับสนุน “พอดีผมติดรถคนรู้จักมา เขาจอดรออยู่น่ะครับ” 'เขา ได้ยินไหม' เสียงเดิมไม่ยอมพลาดในรายละเอียด

“เดินทางปลอดภัยนะคะ” เขาโบกมือ เธอโบกมือ ก่อนจะปิดประตู

“เดี๋ยวนะครับ” 'มาแล้ว มาแล้ว' เกือบทุกเสียงร้องขึ้นพร้อมกัน เธอพยายามที่จะไม่ตื่นเต้น “ผมขอถามอะไรเป็นอย่างสุดท้ายนะครับ” เรื่องทั้งหมดนี้ทำให้เขานึกถึงรายละเอียดบางอย่างภายในห้องทำงานเก่าแก่เมื่อตอนเช้าที่ผ่านมาขึ้นได้ และมันคงจะรบกวนเขาไปตลอดหากยังไม่ได้คำตอบ

“ผมเป็นคนเดียวที่เข้ามาสัมภาษณ์งานในวันนี้หรือเปล่าครับ”

'อ้าว' ทุกเสียงพากันผิดหวัง เธอเองก็รู้สึกผิดหวังอยู่ลึกๆ เช่นกัน “ค่ะ ในช่วงนี้ไม่มีใครเข้ามาสมัครงานเลย มีแค่คุณคนเดียวเท่านั้น”

“คุณแน่ใจนะครับ” เขาถาม แล้วจึงรู้ตัวว่าไม่ควรถาม เธอยกมือขึ้นท้าวเอวก่อนตอบ “ฉันแน่ใจอย่างที่สุด” แน่นอนเพราะมันเป็นงานในความรับผิดชอบของเธอโดยตรง

“...ผมขอโทษ...ขอบคุณ และ เอ่อ ลาก่อนนะครับ” ประตูค่อยๆ ปิดลง “แล้วเจอกันนะครับ” เสียงของเขาดังลอดเข้ามาในช่วงสุดท้าย

คุณสโนวยืนยิ้มอยู่คนเดียวที่หลังบานประตูซึ่งปิดสนิท ดูเหมือนว่าการทำงานในค่ำคืนนี้ของเธอคงพอจะมีความรื่นรมย์ขึ้นบ้างสักเล็กน้อย


Create Date : 27 ตุลาคม 2556
Last Update : 27 ตุลาคม 2556 0:06:47 น. 0 comments
Counter : 644 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

zoi
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




..........
Friends' blogs
[Add zoi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.