ช่วงนี้ชีวิตวุ่นวายเกินพิกัด...แล้วจะกลับมาเขียนเรื่องที่ค้างไว้ให้จบครับ...สักวัน
Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2556
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
18 สิงหาคม 2556
 
All Blogs
 
ทอย (7)

“ผมสารวัตรโฮม”

เขาตอบกลับไปโดยไม่ได้ลุกขึ้นยืนตามมารยาท เพราะสไตน์เองก็บุกเข้ามาในห้องสอบสวนโดยไม่มีมารยาทเช่นกัน นั่นเป็นความเห็นของเขา ซึ่งที่จริงแล้วสไตน์หยุดยืนอยู่ที่หน้าประตู เขายังไม่ได้ก้าวเข้ามา ยังไม่ได้บุกรุก ยังไม่ได้ทำอะไรผิด ไม่ว่าเขาจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม 'และผมเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับคุณมาแล้ว' โฮมคิดในใจ

“คุณวสันต์ กลับไปทำงานของคุณได้” โฮมออกคำสั่ง

“แต่ว่า” แล้ววสันต์ก็เห็นสายตาของโฮม “ค่ะ” เธอปล่อยมือจากร่างของสไตน์ เหลือบมองดูโฮมแวบหนึ่งด้วยแววตาเสียใจ ก่อนเดินหายไปจากช่องประตูด้วยความรวดเร็ว

โฮมแปลกใจที่ตัวเองไม่ได้รู้สึกเอะใจเลยสักนิดเมื่อได้ยินทอยเอ่ยถึงชื่อของ เอฟ เค สไตน์ หรือที่พวกตำรวจเรียกกันลับหลังว่า ตัวประหลาด ในการโทรศัพท์ที่บ้านของคุณนายวิกเซ่นก่อนหน้านี้ มือสังหารที่ทำงานอยู่ในเส้นแบ่งบางๆ ของกฏหมาย ก็คงจำเป็นต้องรู้จักกับทนายความที่ไม่ธรรมดา

โฮมรู้มาว่าสไตน์เคยเป็นอดีตทหารรับจ้างฝีมือดีมาก่อน แต่ไม่รู้ด้วยเหตุใดจึงผันตัวเองมาสู่เส้นทางของกฏหมาย กลายมาเป็นทนายความเช่นนี้ บนร่างกายของเขายังคงหลงเหลือร่องรอยจากสงครามที่ผ่านมา รอยแผลที่ใต้คางนั้นเป็นเพียงส่วนเล็กๆ ที่มองเห็นได้เท่านั้น

สงครามของสไตน์ ไม่ใช่สงครามแบบที่คนทั่วไปนึกถึง มันไม่ใช่ความขัดแย้งระหว่างประเทศแบบในอดีต ไม่มีกองทหารเป็นพัน เป็นหมื่น แต่ก็ยังคงเป็นสงครามที่สร้างความสูญเสีย และเจ็บปวด ไม่แตกต่างจากสงครามเก่าแก่พวกนั้น

มันเป็นการขัดแย้งทางความคิด ความเชื่อ ผลประโยชน์ของกลุ่มคนที่มีอิทธิพล มีเงินทุน มันไม่มีสนามรบ เพราะทุกพื้นที่อาจถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นสนามรบได้ทุกเมื่อ มันไม่มีกองทหาร เพราะทุกคนที่เดินอยู่บนท้องถนนอาจเป็นทหารตามความหมายของสงครามแบบใหม่นี้

สไตน์เคยทำงานพวกนั้นได้ดี และวันหนึ่งเมื่อเขากลายมาเป็นทนายความ เขาก็ทำมันได้อย่างยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน โฮมนึกไม่ออกเลยว่างานทั้งสองอย่างนี้จะมีอะไรที่เหมือนกัน

“คงต้องขอบคุณลูกความของผมที่ได้เอ่ยถึงชื่อของคุณให้ทราบตั้งแต่แรก ผมจึงสามารถตามมาถูกที่ได้อย่างรวดเร็วโดยไม่เสียเวลามากนัก” สไตน์หยุดยิ้ม

โฮมเผลอขบริมฝีปากตัวเอง “ถ้าอย่างนั้นผมคงต้องขอแนะนำคุณว่า...”

“สารวัตรโฮมครับ” สไตน์พูดขัดขึ้น “ผมรู้จักคุณ และผมก็คิดว่าคุณเองก็คงเคยได้ยินเกี่ยวกับตัวผมมาบ้างแล้ว” เขายิ้มอีกครั้งแต่แววตานั้นไม่ได้ยิ้มด้วยเลย “อย่าทำให้เราต้องเสียเวลามากไปกว่านี้เลยครับ”

โฮมรู้ว่าเขาไม่สามารถสอบสวนทอย อย่างที่บอกเลี่ยงๆ ไปว่าเป็นเพียงการสอบถามแบบนี้ ไม่มีสิทธิที่จะกักตัวทอยเอาไว้ เพราะไม่มีหลักฐานใดๆ ที่ชี้ให้เห็นว่าทอยมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุร้ายที่เกิดขึ้นเลย ทั้งหมดมีแค่เพียงความสงสัยส่วนตัวของเขาเท่านั้น

'ที่จริงมันก็ยังไม่แน่ว่าจะมีเหตุร้ายเกิดขึ้นด้วยซ้ำ'

“...เอาล่ะคุณทอย คุณกลับไปได้แล้ว ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือกับทางเราเป็นอย่างดีด้วยครับ” โฮมกล่าวเบาๆ พร้อมกับทำท่าจะลุกขึ้นจากโต๊ะ

“ไม่ ผมยังกลับไม่ได้” ทั้งโฮม และสไตน์ต่างหันมามองเขาเกือบจะพร้อมกัน “สารวัตรยังไม่ได้บอกเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”

โฮมกระแทกนั่งลงอีกครั้ง ทั้งสองจ้องตากันนิ่ง

สไตน์ก้าวเข้ามาในห้องพร้อมกับปิดประตูลงเบาๆ แล้วยืนขวางมันเอาไว้ “ผมคิดว่าลูกความของผมมีสิทธิที่จะรู้เรื่องนี้ หลังจากความวุ่นวายทั้งหมดที่เกิดขึ้น”

โฮมไม่รู้ว่าเรื่องที่ดูเหมือนน่าจะเป็นความคิดที่ดีนี้ เริ่มกลายเป็นความผิดพลาดไปได้อย่างไร

#####

“บอกแล้วว่าเสียเวลาเปล่า” ผู้สวมสูทสีฟ้าในห้องที่อยู่ติดกันเบื้องหลังกระจกเอ่ยออกมาอย่างหัวเสีย

“ใจเย็นก่อนครับ” ลินคอนพยายามหาทางลดความรุนแรงของเหตุการณ์ตรงหน้า

“ไม่ พวกคุณมันไม่ได้เรื่อง” เขาลุกพรวดขึ้นจากโต๊ะ ลินคอนจึงต้องรีบลุกขึ้นเช่นกัน “ผมไม่น่าเชื่อเลยว่าพวกคุณอาจจะทำอะไรได้บ้าง เชอะ ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้วอย่างนั้นหรือ” ในตอนท้ายเขาพูดเพียงเบาๆ จนเหมือนเป็นการพึมพำกับตัวเอง “ถ้าอยากให้อะไรสำเร็จ ก็ต้องลงมือทำเองเท่านั้น”

“ใจเย็นๆ ก่อนครับ” ลินคอนยิ้มพร้อมกับเข้ามาขวาง ดูเหมือนเขาจะสามารถยิ้มได้ทุกที่ ทุกเวลา บางทีมันอาจเป็นความสามารถที่สำคัญสำหรับผู้ว่าอย่างเขาก็เป็นได้

“ถอยไป” คนผู้นี้ส่งเสียงตวาดเบาๆ ร่างนั้นคล้ายจะยืดขยายใหญ่โตขึ้นภายใต้แสงไฟสลัวลางอย่างไม่น่าเป็นไปได้ “ข้าคือ แจ็ค ฟรอส” เสียงคำรามอันเก่าแก่ซึ่งขัดกับอายุที่ร่างกายของเขาเป็นอยู่ ดังก้องราวกับเสียงสะท้อนจากภายในหุบเขาลึก มันมีทั้งเสียงของสายลมแรง หมู่เมฆดำทึบที่ลอยต่ำ และความเย็นเยียบที่น่าหวาดหวั่นรวมอยู่ในนั้น

ความเย็นที่เปลวไฟในเตาผิงอันแสนอบอุ่น กับที่อยู่อาศัยซึ่งก่อสร้างอย่างมิดชิดได้ทำให้ผู้คนลืมเลือนความโหดร้ายของมันไป ความหนาวที่ครั้งหนึ่งเคยทำให้ผู้ซึ่งอาศัยอยู่ภายในถ้ำ ในบ้านที่สร้างขึ้นจากดิน และไม้ ในค่ำคืนที่ลมหายใจของพวกเขาต้องกลายเป็นไอสีขาว เมื่อร่างกายสั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุม

ผู้คนเหล่านั้นต่างภาวนาถึงสิ่งเดียวกัน 'ขอให้มีโอกาสได้ตื่นขึ้นมาอีกครั้งในวันพรุ่งนี้ด้วยเถิด'

ชายในชุดสูทสีฟ้าผู้นี้ก็คือ แจ็ค ฟรอส หรือ คุณฟรอส ผู้เป็นเจ้าของอักษรตัวเอฟ เสมียนคนสำคัญแห่งร้านของเล่นซีเอฟนั่นเอง

ลินคอนต้องถอยกายไปอย่างลืมตัว ขนทั้งหมดบนร่างของเขาลุกขึ้นพร้อมกันอย่างไม่อาจควบคุม เมื่อต้องมาเผชิญหน้ากับความโกรธเกรี้ยวแห่งฤดูหนาวอันเก่าแก่

'แต่ฉันก็คาดไว้แล้วว่ามันจะเป็นแบบนี้'

ลินคอนรีบล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อโคทซึ่งสวมอยู่ เขาไม่ได้ถอดมันเก็บไว้ในตู้อย่างที่เคยทำ และอย่างน้อยมันก็ช่วยเขาได้บ้างเกี่ยวกับอุณหภูมิที่ลดลงอย่างเฉียบพลันนี้ แต่มันยังมีประโยชน์อย่างอื่นอีก นิ้วมือของเขาสัมผัสเข้ากับหนึ่งในสองสิ่งที่แอบซุกซ่อนเอาไว้ภายใน

หลังจากที่ลินคอนได้สาบานตนเพื่อเข้ารับตำแหน่งผู้ว่าการมหานคร หลังจากพิธีการอันแสนวุ่นวาย งานเลี้ยงทั้งหลายจบสิ้นลง หลังจากที่เหล่าแขกผู้มีเกียรติ บุคคลสำคัญ ซึ่งพูดราวกับนัดกันไว้ ถึงโอกาสที่จะได้ร่วมงานกับเขาในอนาคตอันใกล้ได้จากไปหมดแล้ว

ในยามที่เขาได้นั่งอยู่เพียงลำพังภายในห้องทำงานห้าเหลี่ยมเป็นครั้งแรก ได้ผ่อนคลาย ได้รับรู้ถึงความสำเร็จหลังจากที่ต้องสู้ศึกการเลือกตั้งอย่างดุเดือดยาวนานจนราวกับไม่มีวันสิ้นสุด และในขณะเดียวกันก็ได้รับรู้ถึงความรู้สึกเปลี่ยวเหงาอันแปลกประหลาดไปพร้อมๆ กัน

ลินคอนไม่เคยมีโอกาสได้อ่านงานเขียนของโศกาคิดที่ได้บันทึกเอาไว้เกี่ยวกับเรื่องนี้

'การบรรลุถึงจุดหมาย การประสบความสำเร็จ อาจไม่สามารถให้ประสบการณ์ความพึงพอใจได้ยาวนานอย่างที่เราคาดหวังเอาไว้ บ่อยครั้งที่ความรู้สึกเคว้างคว้างจะติดตามมาอย่างรวดเร็ว จนกว่าเราจะพบเจอกับเป้าหมายใหม่ที่ต้องไปให้ถึง ที่จะต้องพยายามฝ่าฟันอีกครั้ง

จุดหมาย กับ หนทาง จึงไม่อาจแยกออกจากกัน เพราะทั้งสองสิ่งต่างก็มีความสำคัญอยู่ในตัวของมันเอง และหนทางที่เราเลือกใช้ย่อมต้องส่งผลกระทบถึงคุณค่าแห่งจุดหมายที่เราก้าวไปถึงเสมอ'

แต่ลินคอนได้อ่านสิ่งอื่น ในหนังสือเล่มอื่นที่โผล่มาวางอยู่บนโต๊ะประจำตำแหน่งของเขาในวันนั้นอย่างลึกลับ สมุดเล่มเก่า กระดาษเก่า ปกทำจากหนังสัตว์เป็นสีน้ำตาลเข้มจนเกือบดำ เขานั่งจ้องมันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตัดสินใจเปิดออกอ่านด้วยความสงสัย ในหน้าแรกด้านในปก เขาได้พบกับข้อความที่เขียนด้วยตัวอักษรโบราณที่เขาไม่เข้าใจ แต่มันถูกกำกับไว้ด้วยตัวอักษรในยุคปัจจุบันที่เขียนด้วยลายมือเรียบร้อยสวยงาม

'บันทึกจากผู้นำชนเผ่า สู่ผู้นำชนเผ่า และรับรู้เพียงผู้นำชนเผ่าเท่านั้น'

มันคล้ายกับเป็นการกล่าวคำสาบานของผู้ที่ได้เปิดอ่านสมุดบันทึกเล่มนี้ เขารู้สึกได้ถึงพลัง ถึงน้ำหนักของพวกมันในทุกตัวอักษรที่อ่านผ่านไป พวกมันคอยย้ำเตือนลงในจิตใจของเขาว่า ข้อความที่ได้อ่านไปแล้วนั้นคือความเป็นจริงที่จะต้องทำตามอย่างไม่อาจบิดพริ้ว เขาเรียกมันในภายหลังว่าเป็น 'บันทึกแห่งมหานคร' ซึ่งไม่ค่อยถูกต้องตามความหมายดั้งเดิม แต่ก็คิดว่ามันเหมาะสมดีแล้ว

ช่วงต้นของสมุดบันทึกถูกเขียนด้วยตัวอักษรโบราณซึ่งเขาไม่เข้าใจ และมันไม่มีคำแปลกำกับไว้เหมือนข้อความนั้น เขาจึงเปิดต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งพบเจอตัวอักษรที่คุ้นเคย และเริ่มอ่านพวกมัน

ความคิดแรกก็คือเขาไม่อยากเชื่อเลยว่าสิ่งที่บันทึกอยู่ภายในนี้จะเป็นเรื่องจริง ส่วนใหญ่แล้วพวกมันฟังคล้ายกับนิทานหลายๆ เรื่องที่เขาเคยได้ยินมาตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นเด็ก และรู้ว่าพวกมันถูกเล่าสืบต่อกันมาจากอดีตอันแสนไกล จนไม่มีใครรู้ถึงจุดกำเนิดที่แท้จริงของพวกมันมาก่อน

เขามองดูหน้ากระดาษของสมุดบันทึกที่อยู่ในมือ พร้อมกับคิดถึงความเป็นไปได้ต่างๆ ถ้าสิ่งที่ถูกบันทึกเอาไว้นี้เคยเกิดขึ้นจริงในอดีตเมื่อนานมาแล้ว พวกมันก็อาจถูกเล่าขานต่อๆ กันมา จนกลายเป็นเรื่องราวที่ฟังเหมือนกับนิทานในทุกวันนี้ และนั่นอาจอธิบายเรื่องราวทั้งหมด แต่เขาก็ไม่มีหนทางที่จะพิสูจน์ความคิดของตนในเรื่องนี้ได้

เรื่องที่ถูกบันทึกไว้ส่วนใหญ่เกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว เรื่องสุดท้ายนั้นเป็นเหตุการณ์สำคัญในมหานครที่เกิดขึ้นเมื่อเกือบห้าสิบปีก่อน และหากสิ่งที่ถูกบันทึกไว้นี้เป็นความจริง ก็ไม่มีทางที่เขาจะเล่าให้ใครฟังอย่างเด็ดขาด

และในบันทึกแห่งมหานครนี้เองที่เขาได้อ่านพบเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับคนเก่าแก่ผู้หนึ่ง ชื่อที่ผู้คนในยุคปัจจุบันไม่ค่อยจะให้ความสนใจ แต่ในอดีตมันเคยเป็นชื่อที่น่าเกรงขาม เขายังคงพบเห็นร่องรอยแห่งความหวาดกลัวอยู่ในชื่อนั้นในยามที่พวกเขาเขียนบันทึกลงไป

แจ็ค ฟรอส

มือของลินคอนลูบไล้ไปตามความเรียบลื่นของวัตถุที่ซ่อนอยู่ในกระเป๋าเสื้อโคท ราวกับว่าเขาต้องการเรียกพลังจากสิ่งนี้

“ผมจะไม่ขวางคุณไว้เลย คุณฟรอส ถ้าคุณจะยอมทำอะไรบางอย่างกับสภาพอากาศอันเลวร้ายที่กำลังเกิดขึ้นกับมหานครอยู่ในเวลานี้”

คุณฟรอสจ้องหน้าเขาอยู่ครู่หนึ่งก่อนพูดช้าๆ “ผมไม่คิดว่าจะมีใครรู้เรื่องนี้อีกแล้ว...แต่ถ้าจะมีใครสักคนที่รู้ ผมก็คิดว่ามันจะต้องเป็นคุณ เพราะคุณเป็นผู้ว่า เป็นหัวหน้าของเมืองนี้” ร่างของคุณฟรอสกลืนหายเข้าไปในความมืดสลัว ก่อนยืดขยายใหญ่โตขึ้นอีกครั้ง

“ข้าขอสั่งพวกเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย จงรีบตามหา ซานต้า ครอส ให้พบก่อนที่คืนแห่งของขวัญจะมาถึง ไม่อย่างนั้นพวกเจ้าทุกคนจะได้ร่วมกันรำลึกถึงฤดูหนาวอันเก่าแก่...และมันอาจเป็นคืนกลางฤดูหนาวครั้งสุดท้ายสำหรับเมืองแห่งนี้”

ความหนาวเย็นแผ่กระจายไปทั่วห้อง ลินคอนรู้สึกราวกับว่าอากาศที่อยู่รอบตัว อากาศที่เขาหายใจเข้าไปภายในปอดกำลังจะจับตัวแข็ง เสื้อโคทที่สวมใส่อยู่นั้นแทบจะไม่อาจช่วยอะไรได้เลยภายใต้ความหนาวเย็นเช่นนี้ เขาหวนนึกวัยหนุ่ม นึกถึงช่วงเวลาที่เคยเสี่ยงชีวิตออกไล่ล่าผีดูดเลือด ในยามที่ความแตกต่างเหล่านั้นยังคงสร้างความไม่ไว้วางใจต่อกันขึ้น ในยามที่ความตายอยู่ใกล้ชิดกับทุกคนมากกว่าที่เคย

'ข้ายังยืนอยู่ข้างๆ พวกเจ้าเสมอ เพียงแต่พวกเจ้าไม่รู้ตัวกันเองก็เท่านั้น' มันเป็นเสียงที่เก่าแก่ยิ่งกว่าทุกสิ่ง เสียงที่ไม่ใช่เสียง และแม้แต่คุณฟรอสเองก็ไม่ได้ยินสิ่งนี้เช่นกัน

คุณฟรอสจ้องมองดูสิ่งที่ถูกลินคอนล้วงออกมาจากกระเป๋าเสื้อโคทอย่างคาดไม่ถึง มันคือลูกกลมที่ทำมาจากแก้ว ภายในนั้นมีเมืองจำลองขนาดเล็กอยู่ภายในตรงส่วนฐาน สิ่งที่ทำให้รู้ว่าเมืองนั้นเป็นมหานครก็คือตึกนคราภิวัฒน์อันโดดเด่น ผงละอองสีขาวภายในลูกแก้วฟุ้งกระจายเพราะถูกแรงเขย่า ก่อนที่พวกมันจะค่อยๆ ตกลงมาอย่างช้าๆ ผงสีขาวล่วงหล่นลงบนมหานครจำลองราวกับเป็นหิมะที่กำลังตก

มันคือ สโนวบอล ของที่ระลึกที่นักท่องเที่ยวต่างพากันควักกระเป๋าซื้อเมื่อได้พบเห็น ก่อนที่พวกมันจะถูกนำกลับไปแล้วตั้งทิ้งเอาไว้จนฝุ่นเกาะหนา จนกว่าจะมีใครสักคนไปพบเจอมันเข้าอีกครั้ง หยิบมันออกมาเขย่าดูสองสามครั้ง ก่อนวางมันกลับเข้าที่ แล้วลืมเลือนไปเช่นเดิม

ความหนาวเย็นภายในห้องเมื่อครู่หายไปราวกับว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แม้แต่ลินคอนเองก็ยังคาดไม่ถึง คุณฟรอสจ้องมองดูลูกบอลนั้นอย่างเกลียดชัง

“ผมขอร้องให้คุณช่วยหยุดพายุหิมะข้างนอกนั่น คุณฟรอส ได้โปรด” ลินคอนพูดอย่างสุภาพที่สุด

คุณฟรอสกำมือทั้งสองแน่นอย่างลืมตัว “ไม่ จนกว่าพวกคุณจะหาคุณครอสพบเสียก่อน”

“ถ้าอย่างนั้น ผมก็ไม่มีทางเลือก กรุณากลับไปนั่งในที่เดิมด้วย ผมจำเป็นจะต้องกักตัวคุณเอาไว้ภายในห้องนี้” เขาเดินเข้าไปพร้อมกับถือสโนวบอลโดยทำท่าราวกับว่ามันเป็นอาวุธร้ายแรงชนิดหนึ่ง


Create Date : 18 สิงหาคม 2556
Last Update : 18 สิงหาคม 2556 17:24:04 น. 1 comments
Counter : 496 Pageviews.

 
สวัสดีค่า คุณzoi ^^
อ่านที่กระทู้แล้วค่า อิอิ



โดย: lovereason วันที่: 20 สิงหาคม 2556 เวลา:0:02:01 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

zoi
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




..........
Friends' blogs
[Add zoi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.