ช่วงนี้ชีวิตวุ่นวายเกินพิกัด...แล้วจะกลับมาเขียนเรื่องที่ค้างไว้ให้จบครับ...สักวัน
Group Blog
 
<<
มีนาคม 2556
 
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
4 มีนาคม 2556
 
All Blogs
 

คนเฝ้าหนังสือ ตอนที่ 21

พอ ลืมตาขึ้น รู้ว่าความจริงแล้วตัวเขากำลังนอนหลับตาอยู่ โลกรอบกายนั้นแสนสดใส ท้องฟ้า ทุ่งหญ้า หมู่บ้าน ปราสาท ต้นไม้ ลำธาร สะพาน หรือแม้แต่สายลมที่พัดผ่าน ทุกสิ่งล้วนพร้อมที่จะเกิดเรื่องราวต่างๆ ได้ทุกเมื่อ ทุกสิ่งล้วนเก่าแก่ยิ่งกว่าที่มองเห็น ตอนนี้เขากำลังยืนอยู่ในความฝันพวกนั้นอีกครั้ง

‘เงียบ’ เขารู้สึกถึงมันได้เพราะการขาดหายไปของเสียงอื่นๆ ‘เงียบจนเกินไป’ เขาเริ่มมองสำรวจไปรอบๆ และได้พบกับภาพที่ไม่คาดฝัน

‘ฉันลืมพวกมันไปเสียสนิท’

เขาไม่ได้มองเห็นใครตัวใดตัวหนึ่งในพวกมันทั้งสาม เขามาถึงช้าเกินไป เรื่องราวของพวกมันดูเหมือนจะดำเนินมาจนผ่านเลยตอนจบไปเสียแล้ว

เศษหญ้าฟาง แผ่นไม้ และก้อนอิฐ ซึ่งถูกรื้อพังกระจัดกระจาย กับบางส่วนของตัวบ้านที่ยังสร้างไม่เสร็จ ถูกทอดทิ้งไว้กลางทุ่งรกร้าง พวกมันมองดูราวกับเป็นเศษชิ้นส่วนที่ถูกฉีกกระชากออกมาจากร่างของสิ่งมีชีวิต เป็นตัวแทนที่สื่อถึงวาระสุดท้ายของลูกหมูทั้งสามตัวซึ่งเป็นผู้ลงมือสร้างพวกมันขึ้นมา

ไม่ว่าจะเป็น บ้านฟาง บ้านไม้ หรือบ้านอิฐ ทั้งหมดล้วนมีจุดจบเหมือนกัน

ไม่รู้ว่าหมาป่าลูฟใช้วิธีการใด แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครรอดพ้นจากอุ้งมือ หรืออุ้งเท้าของมันได้เลย เขาถอนหายใจยาวด้วยความหดหู่ พร้อมกับความรู้สึกผิด ‘บางที มันอาจจะเป็นความผิดของตัวฉันเองก็เป็นได้’

“สวัสดี พอ คนที่ผ่านทางมา”

เขาสะดุ้ง ขนบนหลังลุกตั้งชันทันทีที่ได้ยินเสียงแหบห้าวนั้นดังขึ้น เขายืนนิ่ง ก่อนค่อยๆ เหลือบมองไปที่ข้างกาย ไม่รู้ว่ามีพุ่มไม้ขึ้นอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อใด และผู้ที่ซ่อนตัวอยู่ในนั้นคงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากหมาป่าเจ้าเล่ห์ตัวนั้น

‘แต่ครั้งนี้พุ่มไม้มีอะไรแปลกๆ บางอย่าง’

เขาบอกไม่ถูก บางทีอาจเป็นขนาด อาจเป็นสี แต่มันไม่เหมือนเดิม ‘มันดูซีด’ และหดเล็กลงอย่างช้าๆ ‘หรือเปล่านะ’ เขาไม่กล้าจ้องมองนานเกินไป เพราะกลัวที่จะได้พบกับดวงตาสีแดงซึ่งซ่อนลึกอยู่ภายในนั้น

ดวงตาของมันก็นับเป็นสิ่งที่แปลกประหลาดอีกอย่างหนึ่ง เมื่อเขาลองนึกทบทวนดูให้ดีแล้ว แววตาของมันก็ไม่ได้ดุร้ายเลยสักนิด แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใดเขาจึงไม่กล้าที่จะจ้องมองมันให้นานจนเกินไป มันไม่น่ากลัว แต่ก็ไม่น่ารื่นรมย์เช่นกัน

“เจ้ากำลังสงสัยว่าข้าจัดการกับพวกมันอย่างไร”

“...เปล่า ผมไม่ได้สงสัย”

“เจ้าอยากรู้ว่า ข้าทำตามแผนที่เจ้าคิดใช่หรือไม่”

“ไม่ ผมไม่อยากรู้” เขาขึ้นเสียง

“ช่าย เจ้าอยากรู้” มันลากเสียงแหบๆ อย่างยียวน “ข้าจัดการกับตัวไหนก่อนกันแน่นะ…” เขาได้ยินเสียงของคมเขี้ยวที่ฉีกออกเป็นรอยยิ้ม รอยยิ้มที่มีคราบสีแดงเปื้อนเปรอะ “…จะตัวไหนก่อนก็คงไม่สำคัญแล้ว จริงไหม”

กำลังมีสิ่งผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้นรอบๆ ตัวเขา

“ข้ามีข่าวดีมาบอก...”

มันหยุด และเขาได้ยินเสียงมันแลบลิ้นเลียริมฝีปาก เสียงของมันเหนียวเหนอะ จนราวกับว่าเขาได้เห็นลิ้นของมันค่อยๆ ลากไปตามริมฝีปากด้วยตาของตนเอง

“...หนังสือนิทานจบลงแล้ว”

“อะไรนะ” เขาสะดุ้ง ตอนที่มันพูดคำว่า ‘จบ’ ราวกับว่าโลกที่เขายืนอยู่นี้สั่นสะเทือนขึ้นอย่างฉับพลันแล้วก็หยุดนิ่ง แต่แรงนั้นยังคงส่งผลกับร่างกายของเขาอย่างต่อเนื่อง

สายลมเริ่มพัดแรง เมฆบนท้องฟ้าลอยล่องแข่งกันราวกับเป็นภาพที่ถูกใครบางคนเร่งความเร็วขึ้นหลายเท่าตัว

“แล้วจะเกิดอะไรขึ้น” เขาถาม เสียงสั่นอย่างไม่อาจควบคุม

“ไม่มี” มันหัวเราะ “ทุกอย่างจบแล้ว”

เขายังไม่แน่ใจว่าตนเองควรจะดีใจหรือไม่ เขายังคงรู้สึกไม่ไว้วางใจ ‘มันง่ายเกินไป’ ความแปลกประหลาดทั้งหมดนี้เพียงเพื่อให้ทุกอย่างจบลงเมื่อถึงเวลาอันควร มันไม่น่าจะเป็นแบบนี้

‘หรือจริงๆ แล้วมันก็เป็นเช่นนี้เอง’

สายลมเริ่มพัดหมุนวนขึ้นสู่ด้านบน ดูเหมือนว่ามันกำลังจะเกิดพายุหมุนขนาดยักษ์ และเขายืนอยู่ ณ จุดศูนย์กลาง ในตำแหน่งที่เรียกกันว่า ตาของพายุ จุดที่เชื่อว่ามีความสงบตั้งอยู่ในแกนกลางของหายนะที่หมุนวนไปรอบๆ

“แล้วหนังสือแท้อะไรนั่น หนังสือนิทานเล่มที่หายไปล่ะ”

“เจ้าจะพบมันเอง”

‘จะ’ เขานึก หมายความว่ายังไม่ใช่ตอนนี้

“แล้วทั้งหมดนี้เพื่ออะไรกัน” เขาตะโกนแข่งกับเสียงลมที่พัดดังขึ้นเรื่อยๆ

“ทั้งหมดนี้มีความจำเป็น แล้วสักวันเจ้าจะได้รู้เอง...หรืออาจจะไม่รู้ แต่มันก็ไม่สำคัญอีกนั่นแหละ” เสียงแหบๆ ของมันยิ่งฟังยากขึ้นเรื่อยๆ

การเปลี่ยนแปลงของพุ่มไม้ที่มันซ่อนตัวมาตั้งแต่ต้นยิ่งรวดเร็วขึ้น ภายใต้ลมพายุที่โหมกระหน่ำ สีเขียวของมันถูกแทนที่ด้วยสีน้ำตาลของใบไม้ที่แห้งเหี่ยว พวกมันเหี่ยวแห้งอย่างรวดเร็ว ใบไม้ร่วงปลิวหายไปในสายลมหลงเหลือเพียงกิ่งก้านอันเปลือยเปล่าราวกับเป็นโครงกระดูกหงิกงอ

นั่นเป็นครั้งแรก และครั้งสุดท้ายที่เด็กชายได้เห็นร่างที่แท้จริงของหมาป่าที่มีนามว่าลูฟ

‘จงจดจำไว้ ว่านี่คือความฝัน’

เสียงที่ไม่ใช่เสียงของมันดังกรีดเข้าไปในร่างของเขา ทุกสิ่งรอบกายกำลังจะถูกดูดหายขึ้นไปสู่หลุมกลางท้องฟ้าที่เกิดขึ้นจากพายุหมุน สิ่งใกล้เคียงที่สุดเท่าที่เด็กชายจะนึกเปรียบเทียบได้กับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นก็คือ หลุมดำ นั่นเอง

ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งพุ่งผ่านหน้าเขาไป ในจังหวะเดียวกับที่เสียงหัวเราะแหบห้าวบาดหูของมันดังขึ้นเป็นครั้งสุดท้าย ราวกับไม่ต้องการให้เขาพลาดรายละเอียดบางอย่างที่กำลังผ่านไป

ต้นไม้ต้นใหญ่ที่กำลังออกผลเต็มต้น ผลไม้ที่เขาควรจะนึกถึงทุกครั้งหากพูดถึงนิทาน

‘จบบริบูรณ์’

เมื่อคำนั้นพุ่งผ่านไป หรืออย่างน้อยเขาก็คิดว่ามันพุ่งผ่านไป เหลือทิ้งไว้เพียงความมืด และเงียบงัน ไม่มี ‘แล้วทุกคนก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขไปตลอดกาล’ หรือ ‘นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า’ อะไรแบบนั้น

พอ สะดุ้งลืมตามองขึ้นไปในความมืดมิดภายในห้องนอนที่แสนคุ้นเคยของตน ‘จบแล้ว’ ไม่จำเป็นต้องรอให้ถึงวันพรุ่งนี้อย่างที่เขาวางแผนเอาไว้ เขาถอนหายใจยาว ค่อยๆ หลับตาลงช้าๆ รอยยิ้มน้อยๆ ปรากฏขึ้นที่มุมปาก

ภาพผลไม้ในฝันพุ่งผ่านไปพร้อมกับนิทานเรื่องหนึ่งในความทรงจำ เขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง ตื่นจนถึงข้างใน รีบลุกขึ้นจากเตียง เปิดไฟ และพยายามลงมาถึงชั้นล่างให้เร็วที่สุดโดยที่ไม่กลิ้งตกบันไดไปเสียก่อน เสียงกรีดร้องของเขาดังลั่นตัดความเงียบของยามราตรีจนขาดสะบั้น

“คุณยาย”

แอปเปิ้ล เขาไม่เคยรู้จักต้นของมัน แต่ผลไม้ในฝันนั้นต้องเป็นแอปเปิ้ลอย่างไม่ต้องสงสัย ผลแอปเปิ้ลที่ถูกกัดไปคำหนึ่ง อันสามารถสื่อไปถึงได้หลายสิ่ง ที่เก่าแก่ที่สุดย่อมหนีไม่พ้น ผลไม้แห่งความรู้ในตำนานที่มนุษย์คู่แรกของโลกถูกลวงหลอกให้กัดกินจนต้องถูกขับไล่ออกมาจากสวนอีเดน

ความรู้ตัวตน ถูก ผิด ดี ชั่ว อันแบ่งแยกมนุษย์ออกจากธรรมชาติ ก้าวย่างที่ไม่มีวันหวนคืนไปได้อีกตลอดกาล

แอปเปิ้ลแห่งความรู้ลูกที่สอง อันหมายถึง คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล และอุปกรณ์เครือข่ายที่ถูกแทนด้วยรูปสัญลักษณ์เดียวกัน ความรู้ที่ทำให้สังคมมนุษย์เกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ขึ้นอีกครั้ง สิ่งที่ดึงดูดผู้คนให้เข้าใกล้กันอย่างฉาบฉวย แต่กลับแยกถ่างส่วนลึกของมนุษย์ให้ไกลห่างจากกัน

แล้วสำหรับในนิทานเล่า ย่อมเป็นอื่นใดไปไม่ได้นอกจากแอปเปิ้ลเคลือบยาพิษของราชินีแม่มด ซึ่งเจ้าหญิงขาวราวหิมะกัดกินแล้วหลับใหลไปตลอดกาลนั่นเอง

ผลไม้ในจานที่รับประทานกันไปเมื่อตอนเย็นนั้นมีแอปเปิ้ลรวมอยู่ด้วย แต่เนื่องจากมันถูกปอกเป็นชิ้นๆ เขาจึงไม่ได้เอะใจนึกถึงมันมาก่อน

กัดกินแล้วหลับใหลไปตลอดกาล ‘ต้องไม่ใช่แบบนี้ ต้องไม่ใช่แบบนี้’

“คุณยาย คุณยายครับ” เสียงอื้ออึงเอะอะดังขึ้น ไฟในบ้านถูกเปิดสว่าง

“...ยังหายใจอยู่ รีบพาไปโรงพยาบาลเร็ว” เสียงที่มีสติดังสั่งการเฉียบขาด เพียงไม่นานหลังจากนั้น รถของพ่อก็วิ่งออกจากบ้านไป

นับเป็นครั้งแรกที่ พอ เกิดความไม่แน่ใจในเรื่องหนึ่งขึ้นมา ตัวตนที่แท้จริงของลูฟในความฝัน แจ่มชัดอยู่ในความทรงจำ โครงกระดูกหมาป่าทั้งตัวที่มีดวงตาสีแดงแห่งความตาย

‘พรุ่งนี้อาจไม่มาถึงเสมอสำหรับทุกคน’

รถวิ่งผ่านบ้านที่ก่อนหน้านี้เพียงไม่นานยังคงเป็นที่ตั้งของร้านหนังสือฟูล แต่ถ้ามีใครสักคนมองออกมาจากภายในรถ หรือทันได้เห็นป้ายที่แขวนเอาไว้บนรั้วนั้น มันได้กลายเป็นป้ายประกาศขายบ้านที่สามารถพบเห็นได้ทั่วไปเสียแล้ว แม้แต่เหล่าตุ๊กตาปั้นรูปสัตว์ทั้งหลายก็ยังหายไปด้วย

ร้านหนังสือฟูลจะเคยมีตัวตนอยู่จริงหรือไม่ แล้วมันหายไปได้อย่างไร หลังจากนี้จะมีใครได้พบเห็นมันอีกหรือไม่ ที่แท้แล้วร้านหนังสือแห่งนี้คืออะไร หนังสือแท้คืออะไร มันเต็มไปด้วยคำถามมากมายแต่กลับไร้คำตอบ

แล้วทุกสิ่งก็ค่อยๆ กลับคืนสู่ความเงียบสงบของยามราตรีอีกครั้ง

#####

ในความมืดมิด ข้อมูลต่างๆ ที่รวมตัวกันอยู่ในจักรวาลอันมีสภาพแตกต่างไปจากจักรวาลที่มนุษย์คิดว่าตนเองรู้จักแล้วนั้น มีการเกิดขึ้น เปลี่ยนแปลง แล้วดับไปในทุกเศษเสี้ยวของวินาที พลันมีกลุ่มข้อมูลพิเศษปรากฏขึ้นอย่างไร้ที่มา และรู้จักกันภายใต้ชื่อว่า ‘ร้านหนังสือฟูล’

ภายในนั้นถูกอัดแน่นไปด้วยข้อมูลตัวอักษรจำนวนมากมายมหาศาลอย่างคาดไม่ถึง หนึ่งในนั้นเป็นข้อมูลพิเศษที่ไม่เหมือนกับข้อมูลใดๆ ซึ่งถูกระบุไว้ว่าเป็น 'หนังสือแท้'

มันเป็นข้อมูลที่ถูกส่งเข้ามาจากผู้ที่ใช้ชื่อว่า ‘พอ’ มันเริ่มต้นจากการเป็นข้อมูลตัวอักษรธรรมดา เป็นนิยายเรื่องหนึ่ง นิยายที่เกิดขึ้นจากนิทาน จากจินตนาการที่ผู้เขียนบอกเล่าว่า ‘เขียนขึ้นจากความทรงจำแปลกๆ ช่วงหนึ่งในวัยเด็ก’ ราวกับว่ามันได้เข้ามาอาศัยอยู่ แล้วเติบโตขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งวันหนึ่ง เขาก็เกิดความคิดที่จะเขียนมันออกมาในที่สุด

สิ่งมีชีวิตนั้นต้องกิน เพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือมันจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง ต้องวิวัฒนาการ ไม่เช่นนั้นมันก็จะสูญพันธุ์ไปในที่สุด หนังสือเองก็เช่นกัน เรื่องราวที่เล่าขาน ตำนาน นิทาน นิยาย ไม่ว่าเรื่องอะไร หากต้องการที่จะดำรงอยู่ ก็จำเป็นที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงทั้งสิ้น

หากเรื่องราวในหนังสือคือสิ่งมีชีวิต การถูกอ่าน ถูกคิด ถูกจินตนาการ และถูกเขียนขึ้นใหม่ด้วยรูปแบบ วิธีการ มุมมอง แนวคิด ที่ต่างออกไป ก็คือการวิวัฒนาการของพวกมันนั่นเอง

มนุษย์เป็นผู้ที่สร้างเรื่องราวต่างๆ ขึ้นมา หรือว่าเป็นเรื่องราวต่างๆ นั้นต่างหาก ที่อาศัยมนุษย์เป็นสื่อกลางเพื่อการคงอยู่ของพวกมันกันแน่

แล้วข้อมูลที่ถูกเรียกว่า ร้านหนังสือฟูล ก็ค่อยๆ หายไป

#####

รถแท็กซี่สีขาวที่ไม่น่าจะมีอยู่มากนักเลี้ยววนเข้ามาจอดนิ่งที่หน้าแผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในเวลากลางดึก ชายชราในชุดสีขาวตลอดตัวก้าวลงมาอย่างลังเล ท่าทีของเขาทำให้พยาบาลคนหนึ่งซึ่งเดินออกมาจากในแผนกฉุกเฉินพอดีตรงเข้ามาถาม

“เป็นอะไรหรือเปล่าคะ คุณตา”

“เอ่อ เปล่า ฉัน ฉันมาหาญาติ เธออาการไม่ค่อยดี พึ่งล่วงหน้ามาถึงก่อนไม่นานนี้เอง”

“ก่อนหน้านี้ เป็นคุณยายคนหนึ่งใช่ไหมคะ” พยาบาลสาวถาม

“ใช่ ใช่ คุณแดง เธออาการเป็นอย่างไรบ้าง”

“...คุณตาเป็นญาติกับคนไข้หรือคะ” คราวนี้พยาบาลสาวเริ่มระวังตัวมากขึ้น

“ใช่ ลูกสาว กับแฟน แล้วก็หลานชาย พากันออกมาก่อน ส่วนฉันก็รีบตามมา”

คุณตาสวมรอยอย่างคล่องแคล่ว เขาตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะความรู้สึกประหลาด กับเสียงเอะอะโวยวายจากข้างบ้าน และทันได้เห็นรถของพวกเขาวิ่งออกไป ซึ่งทำให้เดาเรื่องราวที่เหลือได้ไม่ยาก และเขาเองก็พอจะรู้จักกับโรงพยาบาลแห่งนี้เพราะเคยใช้บริการอยู่เหมือนกัน

“ถ้าอย่างนั้นเชิญด้านนี้เลยค่ะ...เอ่อ” เธอปิดปากหยุดสิ่งที่กำลังจะบอกต่อไปไว้ได้ทัน ‘อาการคนไข้ไม่ค่อยจะดีนัก’ ไว้รอให้ชายชราคนนี้ค่อยๆ รับรู้เองอาจจะดีกว่า

ประตูแผนกฉุกเฉินเปิดออก ‘หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า หก เจ็ด’ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร คุณตาจึงเริ่มนับจำนวนผู้คนที่อยู่แถวนั้น และด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้เขานับได้เพียงแค่เจ็ด

เจ็ดเป็นตัวเลขมหัศจรรย์ เหมือนกับสีทั้งเจ็ดของสายรุ้ง เหมือนกับคนแคระทั้งเจ็ด

‘ดูท่าทางคุณตาคนนี้ตอนหนุ่มๆ คงจะหล่อไม่เบา’ พยาบาลสาวไม่เข้าใจว่าทำไมเธอจึงคิดอะไรแบบนั้น

‘ท่าทางของคุณตาดูราวกับเป็นเจ้าชายรูปงามเลยทีเดียว’ เจ้าชายในชุดขาว ควบ ‘ม้า’ ขาว และมาถึงเมื่อเกือบจะสาย แต่ก็ทันเวลาที่จะช่วยเจ้าหญิงทุกครั้ง

#####

เวลาไหลผ่านไป แต่ฟูลไม่รู้ว่ามันไหลไปในทิศทางใด ไปสู่อดีต หรือว่าเป็นอนาคต เขาไม่เคยใส่ใจ ไม่เคยสนใจจนกระทั่งถึงตอนนี้ ‘ไม่สิ’ ความจริงแล้วต้องเป็นว่า

จนกระทั่งเมื่อเขาได้พบกับรอยยิ้มของหนูน้อยหมวกแดงคนนั้น ถึงจะถูก

เวลาหยุดลง ร้านหนังสือฟูลเริ่มการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เขาคุ้นเคยกับขั้นตอนพวกนี้ดี มันจะกลายสภาพเป็นอะไรสักอย่างที่เหมาะสม กลมกลืนกับสถานที่ที่อยู่ใกล้ๆ และครั้งนี้มันได้กลายเป็น

ร้านเช่าหนังสือ

ทุกสิ่งภายในร้านช่างดูคุ้นตา หนังสือแท้เล่มเดิมยังคงแอบมองเขาจากบนตู้หนังสือ เขางงงันกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น เขาไม่เคยเป็นอะไรอื่นนอกจาก คนเฝ้าหนังสือ ห้องหนังสือ คือความเป็นจริงเพียงหนึ่งเดียวที่เขามีอยู่ เขาไม่เคยคิดว่าชีวิตมีสิ่งใดที่น่าสนใจ จนกระทั่ง

เขาหลับตา แล้วลืมตาขึ้นอีกครั้ง

เขายืนอยู่ในร้านเช่าหนังสือเล็กๆ สิ่งซึ่งอยู่ผิดที่ผิดทางในยามที่สงครามครั้งใหญ่พึ่งยุติลง ชีวิตลำบากยากแค้น แต่กลับไม่มีใครคิดว่าร้านเช่าหนังสือแห่งนี้เป็นสิ่งแปลกประหลาดที่ไม่ควรมีอยู่ ตัวเขาเองก็เช่นกัน

เขาชื่อ เต็ม มีอดีตที่รันทด มีปัจจุบันที่แสนลำบาก และยังไม่รู้อนาคต

เขาไม่ควรมายืนอ้อยอิ่งอยู่ในร้านเช่าหนังสือแบบนี้ เขาหันหลังเพื่อกลับบ้าน แล้วก็ได้พบเจอกับใครคนหนึ่ง หญิงสาวตาคมในชุดเสื้อคลุมสีแดงสด ชุดที่ทำให้เขานึกไปถึงนิทานเรื่องหนูน้อยหมวกแดง ทั้งที่ไม่รู้ว่าเคยไปได้ยินนิทานเรื่องนี้มาจากที่แห่งใด

‘แล้วมันเป็นนิทานแบบไหนกันนะ’ เขาไม่รู้

เธอนำหนังสือเล่มหนึ่งมาคืน และเขามารู้ในภายหลังว่ามันเป็นหนังสือ นิยายรักเศร้า ซึ่งด้วยเหตุผลบางประการที่ไม่ชัดเจน เจ้าของร้านได้ยกมันให้กับเขาในที่สุด

‘เจ้าของร้าน’ ที่ว่า ก็เป็นอีกปริศนาหนึ่งที่เขาไม่อาจไข เขาไม่รู้แม้แต่ว่า เจ้าของร้านนั้นเป็นผู้ชาย หรือว่าผู้หญิง อายุ หน้าตา เขาจำอะไรไม่ได้สักอย่าง

มีเพียงหนังสือเล่มนั้นที่เขานำมันติดตัวออกมาจากร้าน แต่สุดท้ายมันก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยเช่นกัน เหลือทิ้งไว้เพียงเนื้อเรื่องที่เศร้าซึ้ง กับความรู้สึกราวกับว่ามันยังมีชีวิตอยู่ภายในตัวเขา และถึงแม้เขาจะยังคงไม่รู้ว่าอนาคตของตนจะเป็นเช่นไรต่อไป แต่เขากลับรู้สึกมั่นใจในเรื่องหนึ่ง

เขาจะต้องตามหาหนูน้อยหมวกแดง เจ้าของรอยยิ้มเดียวคนนั้นให้พบจนได้

จบบริบูรณ์




 

Create Date : 04 มีนาคม 2556
4 comments
Last Update : 4 มีนาคม 2556 21:36:12 น.
Counter : 1615 Pageviews.

 

ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่ติดตามมาจนถึงตอนจบ

คุณ อาณาจักรแห่งเรา ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า
จะตอบคำถามที่ค้างคาจากเรื่องได้เกือบหมดนะครับ

 

โดย: zoi 4 มีนาคม 2556 21:40:16 น.  

 

มารอคำตอบด้วยค่ะ เฉลยให้ด้วยนะคะ ^^

 

โดย: lovereason 4 มีนาคม 2556 22:49:44 น.  

 

ก็เคลียร์นะครับ ไม่รู้สิ ผมพอเข้าใจสไตยล์ของคุณอยู่บ้าง คุณจะเขียนในแนวปรัชญนิยาย สไตยล์โลกกลม ๆ คือเมื่อมีจุดเริ่มต้นย่อมมีจุดสิ้นสุด คือที่สงสัยก็คงจะเป็นความเป็นไปของพอกับพริ้มและอะตอมก็เท่านั้น โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนชายทั้งสองที่ดูเหมือนจะเห็นอกเห็นใจแต่ก็คล้ายไม่ลงรอย แต่นั่นอาจไม่ใช่ประเด็นหลัก และนิยายทุกเรื่องก็ไม่จำต้องเขียนอะไรให้ชัดสวยเสมอ ถือว่าบริบูรณ์แล้วล่ะครับในแง่ความรู้สึกด้านเนื้อหาต่าง ๆ ต่อเรื่องนี้

และขออภัยที่เข้ามาตอบช้า เพราะไม่คิดว่าจะมาอั๊บติด ๆ กันเลย วันที่สองแล้ววันที่สี่นี่นะ เร็วจัง

ว่าแต่เรื่องหน้าวางแผนเขียนหรือยัง แนวเด็กและเยาวชนอีกไหมครับ อยากอ่านแนวนี่อีก

 

โดย: อาณาจักรแห่งเรา 11 มีนาคม 2556 18:05:19 น.  

 

ขอบคุณมากครับ ที่แวะมาฝากความเห็นเอาไว้ให้
พอดีมันจะจบอยู่แล้ว พอมีเวลาว่าง อดไม่ได้ ก็นั่งเขียนไปจนเสร็จ

ตอนนี้ยังไม่มีแนวคิดใหม่สำหรับเรื่องใหม่ครับ
คงแต่งเป็นเรื่องสั้นๆ ทำให้หัวไม่ว่างคิดอะไรไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเจอ
(อยู่ใน กล่องโดนัท กับ รวมเรื่องสั้น ครับ)
แต่เรื่องหน้าคิดว่าจะลดส่วนที่เป็นอะไรหนักๆ ลง แล้วเน้นความสนุกแทนครับ
(ก็คงหนีไม่พ้นแฟนตาซีเช่นเดิม)

 

โดย: zoi 14 มีนาคม 2556 12:33:26 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


zoi
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




..........
Friends' blogs
[Add zoi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.