ช่วงนี้ชีวิตวุ่นวายเกินพิกัด...แล้วจะกลับมาเขียนเรื่องที่ค้างไว้ให้จบครับ...สักวัน
Group Blog
 
<<
มกราคม 2556
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
27 มกราคม 2556
 
All Blogs
 
คนเฝ้าหนังสือ ตอนที่ 15

เด็กชายเดินเคียงคู่ไปกับผู้ที่มาด้วยกัน ท่าทางเขาอึดอัดเหมือนอยากพูดอะไรหลายเรื่อง แต่ก็ไม่อาจพูดออกมาได้ ในช่วงเวลาหนึ่ง เขาทอดสายตามองพื้นคอนกรีตที่อยู่เบื้องหน้า สิ่งที่ปรากฏขึ้นในความคิดของเขาอาจไม่ใช่พื้นถนนที่แสนน่าเบื่อ มันอาจเป็นทุ่งดอกไม้แสนสวย เป็นผืนป่าลี้ลับ เป็นแม่น้ำไหลเชี่ยวแสนอันตราย หรือแม้กระทั่งเป็นทางเดินที่ปูด้วยก้อนอิฐสีเหลืองอันน่าอัศจรรย์

ไม่แน่ว่าในระหว่างการเดินทางของชีวิต เขาอาจได้พบเจอกับเด็กหญิงกำพร้าที่มีชื่อว่า โดโรธี กับสุนัขของเธอ โตโต้ และสหายทั้งสามอันประกอบไปด้วย หุ่นไล่กาที่อยากมีสมอง หุ่นกระป๋องที่อยากมีหัวใจ กับสิงโตขี้ขลาดที่อยากมีความกล้าหาญ ด้วยก็เป็นได้

เหล่าตัวละครในนิทานที่เขาเคยชอบอ่าน ชอบฟังตั้งแต่ครั้งที่ยังเป็นเด็ก อย่างน้อยก็ยังเด็กกว่าในตอนนี้ แล้วเกิดอะไรขึ้นกับเพื่อนเก่าเหล่านี้บ้าง เมื่อเรื่องราวดำเนินไปถึงตอนจบ

หุ่นไล่กาที่มีความคิด คิดได้แม้กระทั่งว่ามันต้องการสมองเพื่อที่จะคิด

หุ่นกระป๋องที่มีความรู้สึก และอ่อนไหวไปกับความรู้สึกจากข้างในจนมันต้องการหัวใจสักดวง

สิงโตแสนขี้ขลาดที่รู้ว่าตัวเองหวาดกลัว และยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็น

ทั้งหมดได้รับในสิ่งที่ต้องการ แต่ไม่ใช่เพราะการก้าวไปถึงจุดหมาย แต่เป็นเพราะการได้ร่วมผจญภัยไปด้วยกัน การเดินทางต่างหากที่สำคัญ ถนนอิฐสีเหลืองกับสิ่งที่เกิดขึ้นต่างหากที่สำคัญ ไม่ใช่ มรกตนคร ไม่ใช่ พ่อมดแห่งออซ หรือการปราบแม่มดที่ชั่วร้าย

สุดท้ายแล้ว รองเท้าสีเงิน ซึ่งโดโรธีได้รับมาตั้งแต่ต้น และสวมใส่ไปตลอดการเดินทางนั่นเอง ที่มีพลังสามารถพาเธอกลับคืนสู่บ้านเก่าในแคนซัส หรือบ้านที่แท้จริงของเธอไม่ว่ามันจะอยู่ที่ใดก็ตาม

เจ้าสิงโตขยิบตาพร้อมกับเอื้อมมือมาสะกิดเขา

“พริม...เธอ...เธอคิดอย่างไรกับฉัน” จู่ๆ เขาก็พูดออกมา แต่ดูเหมือนผู้ที่เดินมาด้วยกันนั้นจะไม่สนใจเลยสักนิด

หุ่นกระป๋อง กับหุ่นไล่กาลงมือช่วยด้วยอีกแรง

“ฉันแอบ...แอบชอบเธอมาตั้งนานแล้ว” ใบหน้าของเขาเข้มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเมื่อพูดจบ แต่ขายังคงก้าวเดินต่อไปไม่ยอมหยุด

ถึงตอนนี้ทั้งหุ่นไล่กา หุ่นกระป๋อง กับเจ้าสิงโต ต่างพากันวิ่งวุ่นปั่นป่วนอยู่ภายในท้อง

“ฉัน...ฉัน...” ในหัวของเขาไม่มีอะไรให้หยิบฉวยออกมาใช้ได้มากนัก นอกจากบางอย่างที่เขาพบเจอจากในละครที่แม่ชอบดู คำพูดจากการแอบได้ยินเวลาที่รุ่นพี่คุยกัน ซึ่งมักมีเสียงโห่ กับเสียงหัวเราะแปลกๆ ดังแทรกอยู่ตลอดเวลา บางสิ่งจากในหนังสือ และจากที่อื่นๆ อีกอย่างละนิดอย่างละหน่อย

แล้วเขาก็คิดว่ามันน่าจะเป็นแบบนี้

เขาหยุดเท้า และในตอนนั้นเองที่ผู้ซึ่งเดินเคียงคู่กันมาตลอดทางรู้สึกตัว และหันมาสนใจ เขาจ้องมองดวงตาโตคู่นั้นแน่วนิ่ง ก่อนที่ทั้งคู่จะถูกดึงดูดให้เคลื่อนใกล้เข้าไป ใกล้เข้าไป จนกระทั่งใบหน้าของทั้งสองแทบจะแนบชิดติดกัน

‘แผลบ’

ลิ้นสากๆ กับน้ำลายวิ่งผ่าน ริมฝีปาก และจมูกของเขาไปอย่างรวดเร็ว เขาพยายามผลัก แต่มันก็ยังทุ่มแรงดันเข้ามาเต็มที่เพื่อจะเลียใบหน้าของเขาต่อไป

“หยุด ฉันบอกให้...หยุด” ความชุลมุนวุ่นวายระหว่างมือ ลิ้น ใบหน้า กับน้ำลายพวกนั้นยังดำเนินต่อไปอีกครู่หนึ่ง

“หยุด” อะตอมตะโกนลั่น และขนุน หมาพันธุ์ทางตัวโตก็ยอมถอยกลับไป แต่มันยังคงจ้องมองดูเขา ทำหน้าไม่เข้าใจ ราวกับว่าสิ่งที่มันทำลงไปนั้นถูกต้องที่สุดแล้ว

“ถ้ายังทำแบบนี้ วันหลังฉันจะไม่พาแกออกมาเดินเล่นอีกแล้ว เข้าใจไหม” เขาดุเสียงดัง ในขณะที่พยายามใช้มือปาดเช็ดน้ำลายที่เลอะอยู่บนใบหน้าออก ‘คราวหลังต้องอย่าลืมพกผ้าเช็ดหน้ามาด้วย’ เขาเตือนตัวเองในใจ

มันมองดูการกระทำของเขาด้วยดวงตาที่ใสกระจ่าง ลิ้นสีชมพูห้อยออกมาจากริมฝีปากที่มองเหมือนกับว่ากำลังยิ้มอยู่ตลอดเวลา เขาคิดว่า ‘มันไม่เข้าใจเลยสักนิด’

ความคิดของเขาล่องลอยกลับไปในตอนที่ทั้งสองพึ่งได้พบกันเป็นครั้งแรก เขาเดินผ่านหน้าบ้านหลังหนึ่งพร้อมกับลูกชิ้นหนึ่งไม้ในมือขวา กับถุงใส่ลูกชิ้นที่เหลืออีกสามไม้ในมือซ้าย

“โฮ่ง”

เสียงเห่าที่ฟังดูเป็นมิตรดังออกมาจากภายในบ้านที่เขากำลังเดินผ่านไป มันทำให้เขานึกถึงสุนัขตัวเล็กๆ น่ารัก เขาหยุดเดิน ก่อนที่เจ้าของเสียงเห่าจะค่อยๆ ปรากฏกายออกมา

‘ตัวมันไม่เล็กเลยนะ’ นั่นเป็นความประทับใจครั้งแรกที่เกิดขึ้น

ขนุนเป็นสุนัขตัวโตที่มีขนยาวปานกลาง ตัวมันมีสีไล่ตั้งแต่ ขาว เทา ไปจนถึงดำ สีทั้งหมดนั้นปนกันอยู่ทั่ว จนมองดูเหมือนกับว่าตัวมันมอมแมมอยู่ตลอดเวลา หูทั้งสองห้อยตกลงข้างหัว ขนบนหน้าถูกตัดแต่งจนดูเหมือนไว้หนวดเครา มันเดินมาจนถึงริมรั้วซึ่งเป็นลูกกรงเหล็ก ก่อนส่งเสียงเห่าทักทายอีกครั้ง

เขาเดินเข้าไปหา บางทีอาจเป็นเพราะริมฝีปาก หรือไม่ก็ดวงตาที่เหมือนกับมีรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลานั้น ที่ทำให้เขากล้าที่จะเก็บลูกชิ้นลงในถุง แล้วเอื้อมมือรอดลูกกรงรั้วเข้าไปเพื่อลูบหัว ‘ขนนิ่มกว่าที่คิดอีก’ มันพยายามเงยหน้าขึ้นเพื่อดมมือ หรือถ้าจะพูดให้ถูกต้องคือ ดมกลิ่นลูกชิ้นที่ยังเหลือติดค้างอยู่บนมือของเขา

จมูกชื้นๆ เย็นๆ ของมันทำให้เขารู้สึกจั๊กกะจี้จนต้องส่งเสียงหัวเราะออกมา ตอนนั้นเขาไม่คิดเลยสักนิดว่า มันอาจจะกัดมือของเขาเข้าเมื่อไรก็ได้

“ลูกขนุนของป้าน่ารักใช่ไหม”

เขารีบลุกขึ้นยืนมองหาเจ้าของเสียงนั้น คุณป้าคนหนึ่งเดินออกมาจากทิศทางเดียวกันกับที่ขนุนวิ่งมาเมื่อครู่นี้ บนใบหน้านั้นมีรอยยิ้มที่แทบจะไม่แตกต่างจากสุนัขของเธอ ร่างท้วมนั้นก้าวช้าๆ มาที่ริมรั้ว

“สวัสดีครับคุณป้า มันชื่อว่าลูกขนุนหรือครับ”

“เขา ชื่อขนุนเฉยๆ แต่ป้าชอบเรียก เขา ว่าลูกขนุน” ป้าตอบ เน้นเสียงที่คำว่า ‘เขา’ ทั้งสองคำ

“เอ่อ...ครับ ม...เขา น่ารักดีนะครับ” ถึงจะแปลกใจที่ป้าเรียกสัตว์เหมือนกับว่ามันเป็นคน ‘แต่ก็ยังดีกว่าในกรณีกลับกัน’ และถ้ามันจะทำให้พวกเขารู้สึกดี ‘ก็จะเป็นอะไรไป’

“จ๊ะ เขาน่ารักมากๆ เลย” ป้าตอบอย่างยินดี ก่อนค่อยๆ ย่อตัวลงกอดมันเอาไว้ด้วยแขนทั้งสอง “ไม่รู้ว่าคนใจร้ายที่ไหนเอาเขามาทิ้งไว้ตั้งแต่ตอนที่ยังเล็ก ยังไม่ลืมตาเลยด้วยซ้ำ”

เขามีปัญหานิดหน่อยในการพยายามนึกภาพว่าสุนัขตัวโตนี้เคยเป็นเพียงลูกหมาตัวเล็กๆ น่ารักมาก่อน บางทีมันอาจจะเคยมีขนาดตัวพอๆ กับฝ่ามือของเขาเท่านั้นเอง

“ป้าเก็บเขามาเลี้ยงหรือครับ”

“เขาถูกทิ้งไว้ที่หน้าบ้าน ตอนแรกป้าก็พยายามหาคนอื่นให้รับไป ป้าไม่เคยเลี้ยงสุนัขมาก่อน แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครเอา ป้าก็เลยต้องเลี้ยงเอาไว้เอง” ป้าคงชอบเล่า ชอบนึกถึงเรื่องในอดีตเหมือนกับคนสูงอายุทั่วไป สำหรับพวกเขาแล้ว อดีตบางเรื่องนั้นชัดเจน น่าจดจำ น่าหลงใหลยิ่งกว่าอนาคตที่เต็มไปด้วยความเสื่อมถอยของร่างกาย กับโรคภัยไข้เจ็บนานาที่รอคอยอยู่

“แล้วป้าก็ดีใจจริงๆ ที่วันนั้นตัดสินใจเลี้ยงเขาเอาไว้” ป้ากอดมัน แล้วมันก็หันมาเลียใบหน้าซึ่งป้าก็ไม่ว่าอะไร นอกจากผลักหัวมันออกไปเบาๆ เท่านั้น

“ป้ารู้ว่าเขาจะดีใจทุกครั้งที่ได้ออกไปเดินเล่นข้างนอก แต่น่าเสียดายที่เดี๋ยวนี้เข่าป้าไม่ดีเหมือนเมื่อก่อน เลยไม่ค่อยได้พาเขาออกไปเดินเที่ยวอีกแล้ว” ป้ายังพูดต่อไปเรื่อยๆ

แล้วความคิดอย่างหนึ่งก็เกิดขึ้นในหัวของเขา

“เอ่อ ถ้าผมจะขออาสาพาเขาไปเดินเล่น ป้าจะว่าอะไรไหมครับ”

“อะไรนะจ๊ะ” ป้าทำหน้างง ก่อนที่ริมฝีปากจะเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มที่กว้างกว่าเดิม “จริงหรือ” ป้าถามย้ำให้แน่ใจ

“จริงสิครับ” เขาว่า “ว่าแต่ คุณป้ามีสายจูงใช่ไหมครับ”

หลังจากนั้นเพียงไม่นาน ขนุนที่ใส่สายจูงเรียบร้อยก็นั่งหันมองคนนั้นทีคนนี้ที หางกระดิกไปมาด้วยความคาดหวัง เพราะมันรู้ตัวแล้วว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น

การพบหน้ากันเป็นครั้งแรกของทั้งคู่นั้นผ่านไปอย่างเรียบร้อย จริงๆ ก็เกือบเรียบร้อย หากไม่นับเรื่องที่มันพยายามวิ่งไล่แมวจนลากเขาไปไกล กับการที่มันกระโจนเข้าใส่สุนัขเล็กๆ อีกตัวที่มีคนจูงเดินสวนมา และสุดท้ายคือการที่มันแย่งถุงลูกชิ้นที่เหลือไปจากมือของเขาในตอนที่เผลอได้สำเร็จ นอกจากนั้นแล้วก็พอนับได้ว่าเรียบร้อยดี

ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองเริ่มต้นขึ้นอย่างนั้น และนับตั้งแต่วันนั้น เขาก็แวะมาพามันไปเดินเล่นตอนเย็นอยู่บ่อยๆ และคุณป้าก็เริ่มให้เงินเล็กๆ น้อยๆ หรือในบางครั้งก็ขนมเพื่อเป็นการตอบแทน

“หมาดื้อ” เขาว่า แต่มันก็ยังนั่งมองเขาด้วยดวงตาใสกระจ่างเช่นเดิม

'ทำไมฉันถึงไม่ได้เป็นคนที่เดินไปกับพริมนะ' เขาแอบเห็นเสมอว่าเกิดอะไรขึ้นกับสองคนนั้น รวมถึงเย็นวันนี้ที่ทั้งสองเดินออกจากโรงเรียนไปด้วยกัน มันเริ่มชัดเจนขึ้นนับตั้งแต่วันนั้นที่สระว่ายน้ำ เขาเองก็พึ่งรู้ตัวว่าสายตาที่เธอมอง พอ เพื่อนรักของเขานั้นเป็นเช่นไร

เขาทอดถอนใจ

“โฮ่ง” มันส่งเสียงเหมือนกับพยายามจะให้กำลังใจ เขาเอื้อมมือออกไปลูบหัวมันแรงๆ ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินเล่นต่อไป

'ฉันควรทำแบบนั้นหรือเปล่านะ' เขาหมายถึงการกลั่นแกล้งเพื่อนที่ได้ทำลงไปทั้งหมด 'ใช่ ฉันทำถูกแล้ว' เขาพยายามย้ำกับตัวเอง ทั้งๆ ที่รู้ว่าคำตอบที่แท้จริงนั้นคืออะไร

พวกเราทุกคนต่างรู้คำตอบอยู่แล้วเป็นส่วนใหญ่ แต่มักมีปัญหากับการยอมรับมัน โดยเฉพาะการยอมรับว่าตนเองได้ทำอะไรโง่ๆ ลงไป

เขาเดินใจลอยต่อไปโดยไม่รู้ตัวเลยว่าที่ข้างกายกำลังมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้น

ใบหูของขนุนที่เคยตกแนบข้างหัวกำลังค่อยๆ ยกชูขึ้นทีละน้อย พร้อมกับมีประกายสีแดงจางๆ ราวกับจุดดวงไฟเล็กๆ จากที่ไกลแสนไกลค่อยๆ ลุกโชนขึ้นภายในดวงตาที่เคยอ่อนโยนของมันคู่นั้น

ในหูของมันพลันแว่วยินเสียงหอนโหยหวนดังออกมาจากในหุบเขาลึกแห่งความทรงจำของอดีตกาล

#####

เด็กชายเดินเคียงคู่ไปกับผู้ที่มาด้วยกัน ท่าทางเขาอึดอัดเหมือนอยากพูดอะไรหลายเรื่อง แต่ก็ไม่อาจพูดออกมาได้ ในช่วงเวลาหนึ่ง เขาทอดสายตามองพื้นคอนกรีตที่อยู่เบื้องหน้า และมันเหมือนกับว่าปัญหาต่างๆ มากมายนั้นขีดเขียนเรียงรายต่อเนื่องอยู่ตามเส้นทาง

อาการเจ็บป่วยของคุณยาย

เรื่องการเรียนต่อในปีหน้า

ปัญหาระหว่างตัวเขากับอะตอม

ความรู้สึกประหลาดที่เขามีให้กับพริม

เรื่องของ นิทาน ความฝัน ร้านหนังสือพิลึก ผู้ชายแปลกๆ ที่ชื่อฟูล คำเตือน และหนังสือที่หายไปเล่มนั้น

แม้จะดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ แต่เขารู้สึกราวกับว่าเรื่องราวทั้งหมดนี้มีความเกี่ยวพันกันบางอย่าง ยังมีเงื่อนปมสำคัญบางอย่างที่เขายังไม่รู้ มันเป็นเหมือนกับเนื้อเรื่องในนิทานไม่ธรรมดาที่เขายังเดาไม่ถูกว่ากำลังจะหักมุมอย่างไร

“ฉันไปก่อนนะ” เสียงของพริมดังขึ้นที่ข้างกาย

เวลาแห่งความสุขนั้นแม้ว่าเราจะรู้ตัวอยู่เสมอว่ามันต้องมีวันจบ แต่เราจะรู้สึกเคว้งคว้างทุกครั้งที่มันเป็นเช่นนั้น เราหลอกตัวเองโดยที่แม้แต่ตัวเราเองก็ยังไม่รู้ เรารู้ว่ามันต้องสิ้นสุด เรารู้ว่าเราหลอกตัวเองว่ามันจะคงอยู่ตลอดไป และเราก็มีความสุขอยู่กับการโกหกนั้น ทั้งๆ ที่รู้ว่ามันไม่ใช่ความจริง

ฟังดูเหมือนกับว่าความสุขนั้นจะซับซ้อนมากกว่าที่เราคิด

ทางแยกหวนกลับมาอีกครั้ง เส้นทางหนึ่งในนั้นจะนำไปสู่บ้านของพริม ส่วนอีกทางหนึ่งคือเส้นทางกลับคืนสู่บ้านที่เขาคุ้นชินมาทั้งชีวิต

'ทางเดินที่ไม่จำเป็นต้องแอบทิ้งก้อนหินเล็กๆ หรือโปรยเศษขนมปังเอาไว้เพื่อใช้บอกทางเลย'

แค่เขาตอบเธอไปว่า 'ลาก่อน' หรือ 'แล้วพบกันใหม่' เขาก็จะได้กลับคืนสู่ชีวิตเดิมๆ เหมือนกับที่เคยเป็นมาตลอด ชีวิตเก่าๆ ที่แสนดึงดูดใจ

“ให้ฉัน...ให้ฉันไปส่งเธอที่บ้านได้ไหม” เขาตัดใจถามออกไป พร้อมกับได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นรัวตึกตักดังราวกับกลองใหญ่อยู่ภายในอก

“ก็ได้ ไปสิ” พริมว่า

'แค่นี้เองหรือ' เขาเคยหลงกลัวอะไรต่างๆ ตั้งมากมาย 'ง่ายๆ แค่นี้เอง ก็แค่ถามออกไปเท่านั้น'

“เอ้า จะไปหรือเปล่า” เธอหันกลับมาถาม เมื่อเห็นว่าเขาเอาแต่ยืนนิ่ง ไม่ได้เดินตามไป

เขายิ้ม “ไปสิ” แล้วเร่งก้าวติดตามเธอไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ทั้งคู่จะหัวเราะออกมาพร้อมๆ กันโดยไม่มีเหตุผล หรือจริงๆ แล้วความสุขนั้นจะเป็นสิ่งเรียบง่ายกว่าที่ใครเคยคาด

'...ช่วย...'

มันเป็นเสียงลมพัดเขาบอกกับตัวเองอย่างนั้นโดยไม่รู้ตัว เขาได้รู้จักกับบ้านของพริมในที่สุด บ้านหลังที่อยู่ในซอยสาม มันเป็นเรื่องธรรมดาที่ทำให้เขารู้สึกว่าหัวใจพองโตจนแน่นหน้าอก

'...ด้วย...'

เสียงลมพัด เขาย้ำกับตัวเองอีกครั้งในใจ ในขณะที่ก้าวเดินไปตามเส้นทางกลับบ้าน ที่ถึงแม้จะมีร้านหนังสือฟูลเข้ามาแทรกอยู่ แต่มันก็ไม่ถึงกับเปลี่ยนแปลงอะไรไปมากนัก ถนนในหมู่บ้านยามเย็นที่ว่างเปล่า ถนนวังเวงไร้ผู้คน มีเพียงเสียงนกร้อง เสียงลมพัด กับเสียง

'...ช่วย...ด้วย...'

ที่คุ้นหูดังลอยมาในสายลม 'เสียงใครบางคนกำลังร้องขอความช่วยเหลือ' ไม่ใช่ 'มันเป็นเพียงเสียงลมพัดต่างหาก' ความคิดทั้งสองเริ่มต่อสู้กัน เขาหยุดเดินในที่สุด ตำแหน่งของเขาในตอนนี้อยู่ห่างจากร้านหนังสือฟูลเพียงไม่ไกล ถึงแม้เสียงร้องดังกล่าวจะไม่ได้ดังมาจากทิศทางนั้น แต่มันก็ช่วยไม่ได้ที่เขาจะผูกโยงมันเข้ากับเรื่องแปลกๆ ทั้งหมด

เขาพลันรู้สึกมั่นใจขึ้นมาว่า ใครน่าจะเป็นเจ้าของเสียงร้องนั้น

'ช่วยด้วย' เขาเคยได้ยินมันที่สระว่ายน้ำ ตอนที่เขาถูกแกล้งดึงจนเกือบจมน้ำไปจริงๆ

'ช่วยด้วย' ครั้งนั้นเขาไม่ได้ยินมัน แต่ก็ถูกหลอกให้เข้าไปในห้องพยาบาลเพื่อพบกับเรื่องน่าอาย

'ช่วยด้วย' ที่พึ่งผ่านไป มันไม่ใช่เสียงร้อง แต่เป็นตัวอักษรที่ถูกเขียนเอาไว้บนกระดาษด้วยตัวหนา เพื่อให้เขาถูกขวดน้ำหล่นใส่หัวจนตัวเปียกปอน

'มันเป็นเสียงของอะตอมหรือเปล่านะ' เขาค่อนข้างแน่ใจ บางทีมันอาจจะเป็นแผนแกล้งกันครั้งใหม่ของเพื่อนก็เป็นได้ 'เมื่อไรเขาจะเลิกสักที'

เขาเดินต่อไป ทำเป็นไม่สนใจเสียงร้องดังกล่าว 'มันคงไม่เกี่ยวกับนิทาน ความฝัน หรือ ฟูล' และเขาก็เริ่มจะเชื่อไปตามนั้น 'มันก็เป็นแค่เพียงเรื่องหลอกแกล้งกันของอะตอมอีกครั้งเท่านั้น' เขายิ่งคิด ยิ่งมั่นใจ

ภาพของทุ่งหญ้าเวิ้งว้างในความฝัน กับภาพดวงตาของหมาป่าที่ชื่อลูฟปรากฎขึ้นมาในความคิด

'ไม่' ครั้งนี้มันไม่เกี่ยวกับความฝันพวกนั้น 'อะตอมแค่ต้องการจะแกล้งฉัน' เขามั่นใจ ไม่มีอะไรมากกว่านั้น ถ้าเขาไปตามเสียงร้องนั้นก็จะได้พบเจอกับเสียงหัวเราะของคนอื่น เขาจะถูกแกล้ง 'ฉันจะกลายเป็นตัวตลก' เหมือนกับครั้งที่ผ่านๆ มา มันไม่มีความจริงอะไรสักนิดในเสียงร้องขอความช่วยเหลือพวกนั้น

'นิทาน ทุ่งหญ้า หมาป่าลูฟ กับเสียงร้อง' มันไม่เกี่ยวกันเลยสักนิด

'...ช่วย...ด้วย...'

เขารีบเดินจนมาถึงหน้าประตูบ้านของตน รถของพ่อจอดอยู่เรียบร้อย แสดงว่าแม่ กับคุณยายต้องกลับมาจากโรงพยาบาล ไม่แน่ว่าพ่อเองก็อาจมาถึงบ้านแล้วเช่นกัน

'ฉันอยากรู้เรื่องอาการป่วยของคุณยายมากกว่า' เขาย้ำกับตัวเองด้วยความสงบ พร้อมกับเอื้อมมือไปยังประตูรั้ว


Create Date : 27 มกราคม 2556
Last Update : 27 มกราคม 2556 16:48:44 น. 4 comments
Counter : 716 Pageviews.

 
Thank you very much


โดย: Kai (nookookai8 ) วันที่: 27 มกราคม 2556 เวลา:19:18:02 น.  

 
ใครร้องให้ช่วยน๊า
น่าสงสัยๆๆ


โดย: lovereason วันที่: 27 มกราคม 2556 เวลา:22:27:42 น.  

 
มาทักทาย คุณ Kai กับ คุณ Lovereason ที่แวะทักทายกัน

กับจะมาดักถาม คุณ อาณาจักรแห่งเรา ด้วย
ว่าเรื่องนี้อ่านแล้วรู้สึกอย่างไร
เนื่องจากแนวเรื่องที่ผมเขียน เปลี่ยนไปจากเดิมค่อนข้างมาก
และจะบอกว่า เรื่องนี้คงไม่ยาวอย่างที่ตั้งใจไว้แต่แรกเสียแล้วครับ


โดย: zoi วันที่: 28 มกราคม 2556 เวลา:9:24:47 น.  

 
ก่อนตอบคำถาม

อยากบอกว่า ประเดี๋ยวตอนหน้า พอพอเปิดประตูบ้านปึ๊บ น้ำจากขวดน้ำจะหล่นทับพอ จากนั้น เสียงหัวเราะก็จะตามมา...ชิป้ะ

ตอบคำถาม

แนวเรื่องที่คุณเขียน เรื่องนี้ต่างจากเรื่องอื่น ๆ จริง ๆ
อ่านแล้วชวนติดตามแต่ก็ชวนสับสนไม่น้อย คงเพราะคุณอาศัยลูกผสมระหว่างนิทานกับเรื่องจริง ผสมกันจนต้องตีความ แต่ก็ยังพอเข้าใจ แถมมีการปูและขมวดตัวละครไว้ตั้งหลายตัว จะคลายลำบากหรือเปล่า ที่สำคัญจะเขียนจบได้เร็วขนาดนั้นจริงหรือ


โดย: อาณาจักรแห่งเรา วันที่: 29 มกราคม 2556 เวลา:18:54:10 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

zoi
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




..........
Friends' blogs
[Add zoi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.