ช่วงนี้ชีวิตวุ่นวายเกินพิกัด...แล้วจะกลับมาเขียนเรื่องที่ค้างไว้ให้จบครับ...สักวัน
Group Blog
 
<<
มีนาคม 2556
 
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
2 มีนาคม 2556
 
All Blogs
 
คนเฝ้าหนังสือ ตอนที่ 20

แม่ตื่นขึ้นด้วยความรู้สึกไม่ค่อยสบายตัวนัก ในช่วงเย็น หรือพลบค่ำ เป็นเวลาที่อุณหภูมิลดต่ำลงจากช่วงกลางวันผ่านรอยต่อเข้าสู่ยามราตรี การปล่อยให้ร่างกายนอนหลับในช่วงเวลาเช่นนี้ อาจทำให้เกิดอาการไม่สบายขึ้นได้ง่ายๆ แม่ต้องบิดตัวเพื่อขับไล่ความเมื่อยล้า ก่อนลุกขึ้นไปหาน้ำดื่ม ซึ่งช่วยทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นอีกเล็กน้อย

บ้านทั้งหลังว่างเปล่าเงียบเหงาชวนหดหู่ การอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัวทำให้บางครั้งแม่คาดหวังถึงความสุขสบายที่จะได้รับจากการอยู่คนเดียวบ้าง แต่เมื่อมีโอกาสได้อยู่ตามลำพังขึ้นมาจริงๆ ครั้งใด มันก็ไม่ได้ดีอย่างที่คาดหวังไว้

'ออกจะรู้สึกเหงาๆ เสียด้วยซ้ำไป'

หากคิดให้ดีมันก็คงไม่ได้ต่างจากการคาดหวังต่างๆ นาๆ ที่เกิดขึ้นอยู่เสมอในชีวิต เราอยากได้สิ่งใหม่ๆ อยากมีสิ่งต่างๆ อยากออกไปเที่ยว อยากทำอะไร อยากเป็นอะไรที่ต่างไปจากเดิมเสมอ เพราะเราคาดหวังถึงความสุขที่จะได้รับจากสิ่งเหล่านั้น และมันดูจริงจัง มันน่าจะเป็นแบบนั้น จนกระทั่งเมื่อเราได้ครอบครอง ได้เป็นเจ้าของ ได้ทำตามความต้องการนั้น

แล้วความสุขที่เรากำลังจะคว้าเอาไว้ได้นั้นก็สลายหายไปราวกับหมอกควัน เป็นความสุขอันแสนสั้นที่ขัดแย้งกับการตั้งตารอคอย มันกลายเป็นสิ่งถัดไป เป็นเรื่องถัดไปที่หวังว่าจะทำให้เรามีความสุขได้แน่ และเป็นเช่นนี้เรื่อยไปไม่สิ้นสุด

‘คุณแม่หายไปไหนนะ’

หากเป็นคนอื่น แม่จะสามารถรู้ได้ในทันทีว่ามีใครอยู่ภายในบ้านด้วยหรือไม่ เพราะต้องมีหนึ่งในสองสามสิ่งนี้ที่ถูกเปิดทิ้งเอาไว้ โทรทัศน์ เครื่องเสียง พัดลม หรือไฟส่องสว่าง ไม่มีใครอยู่บ้านได้ โดยไม่ต้องอาศัยหนึ่งในสิ่งเหล่านี้เลย แต่คุณยายนั้นแตกต่างออกไป เมื่อไม่นานมานี้เองที่แม่คิดว่าตนอยู่บ้านเพียงลำพัง แต่ก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่าคุณยายกลับมานั่งเงียบๆ อยู่ในสวนตั้งนานแล้ว โดยที่แม่ไม่รู้

แม่เปิดประตูออกมาที่หน้าบ้าน คาดว่าอาจได้เห็นคุณยายนั่งอยู่ที่มุมม้านั่งเล็กๆ ใต้ต้นอะไรสักอย่างที่แม่ไม่รู้จัก มันเป็นหนึ่งในต้นไม้ที่ได้มาพร้อมกับการซื้อบ้านหลังนี้ มีสายลมพัดโชยมาเบาๆ แต่ตรงที่นั่งนั้นว่างเปล่า แม่มองค้นไปรอบๆ และได้พบเจอกับหลายสิ่งที่หลงลืมไปนานแล้วว่ามีพวกมันอยู่ รวมถึงเต่าดินเผาเก่าๆ ตัวโตที่ถูกตั้งซุกเก็บเอาไว้

เต่าที่แบกพาตัวตนอันแสนหนักไปทั่วทุกที่ มันมีใบหน้าอมทุกข์ บางทีอาจเป็นเพราะคราบที่เกิดขึ้นจากน้ำ และความเก่าจนทำให้มองดูคล้ายกับเป็นรอยน้ำตาที่ไม่มีวันจางหายตลอดกาล

ทุกสิ่งที่อยู่รอบกาย บางครั้งพวกมันก็คล้ายกับความทรงจำ มันตั้งอยู่ตรงนั้นเสมอแต่ว่าเราไม่เคยพบเห็น ที่เรามองไม่เห็นเพราะไม่ใส่ใจที่จะคิดถึงพวกมัน ภาพคืนวันอันเก่าก่อนฉายย้อนกลับมาอย่างลางเลือน ชีวิตวัยเด็กที่บ้านในต่างจังหวัด มันเต็มไปด้วยผู้คน มันมักจะเต็มไปด้วยผู้คนเสมอไม่เหมือนกับในตอนนี้ ความยากลำบาก ความสนุกสนาน ความไม่แน่นอน ทุกสิ่งถูกรวมเข้ากับความคิดความเข้าใจของวัยตัวเองในช่วงเวลานั้น

สิ่งที่ชัดเจนยังคงเป็นรอยยิ้มบนใบหน้าอันแสนเหนื่อยล้าของผู้เป็นมารดา ใบหน้าที่อ่อนวัยกว่าในตอนนี้มาก แต่ความห่วงใยนั้นไม่ได้แตกต่างกันเลย อาจมากขึ้นกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ

แม่รู้สึกว่าดวงตาทั้งคู่ร้อนผ่าวจนต้องใช้สองนิ้วกดลงที่หัวตาก่อนนวดคลึงไปมาเบาๆ 'หลายวันมานี้คงหนักหนาเกินไปสำหรับฉัน'

แม่พยายามที่จะไม่คิดถึงเรื่องพวกนี้อีก ‘บางที แม่อาจจะแค่ออกไปเดินเล่นแถวๆ นี้ก็เป็นได้’

รถกระบะสีขาวคันหนึ่งแล่นตรงมา แม้จะไม่มีเสียงประกาศจากลำโพงที่ดัดแปลงติดไว้บนหลังคารถ แต่จากการแล่นช้าๆ และสินค้าที่บรรทุกมาเต็มด้านหลังซึ่งมีหลังคาคลุมมิดชิด ก็ทำให้แม่พอจะเดาได้ว่ามันน่าจะเป็นรถขายผลไม้

ถึงแม้หมู่บ้านจินตนครแห่งนี้จะเคร่งครัดเรื่องรถเข้าออก แต่ก็มีบางครั้งที่รถขายสินค้าสามารถหลุดรอดเข้ามาได้ และส่วนใหญ่ก็จะทำเหมือนกับรถขายผลไม้คันนี้คือวิ่งช้าๆ และไม่ใช้เครื่องขยายเสียงเพื่อหลีกเลี่ยงการที่จะถูกขับไล่ออกไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะขายสินค้าอะไรได้บ้าง

แม่รู้สึกสนใจขึ้นมา อาหารเย็นนั้นซื้อเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่มีของหวาน ถ้าได้ผลไม้มาเพิ่มสักอย่างก็คงดี แม่จึงรีบกลับเข้าบ้านไปหยิบกระเป๋าสตางค์แล้วเดินก้าวยาวๆ ไปที่ประตูรั้ว รถกระบะคันดังกล่าวจอดเข้าข้างทางอย่างรู้งาน เมื่อคนขับมองเห็นแม่จากทางกระจกมองข้าง

“มีผลไม้หลายอย่าง เลือกได้เลยจ๊ะ” แม่ค้าส่งเสียงหวานต้อนรับจากในกระบะท้ายรถ

ใบหน้าที่งดงามราวตุ๊กตาของเธอซึ่งถูกขับเน้นให้โดดเด่นด้วยผ้าคลุมที่ใช้กันแดดลม ทำเอาแม่เผลอจ้องมองตาค้าง จนเมื่อรู้ตัวว่าเสียมารยาท จึงรีบเปลี่ยนเป็นก้มหน้าก้มตาเลือกผลไม้แทน

‘สวย’ แม้จะมองดูผลไม้ แต่ใจของแม่กลับยังคงวนเวียนอยู่ที่ใบหน้าของแม่ค้า ‘ทำไมฉันต้องสนใจถึงขนาดนั้นด้วย’ แม่เลือกผลไม้หยิบใส่ลงในถุงพร้อมกับความสงสัย เปลือกของผลไม้ทุกลูกเป็นเงาสวยงามอย่างที่มันควรจะเป็น แต่ไม่ใช่อย่างที่มันเป็นเมื่อยังอยู่บนต้นแน่นอน

‘มันสวยเกินไป’ แม่เหลือบตาขึ้นมองหน้าแม่ค้าคนงามอีกครั้ง ‘ใช่’ มันเป็นความงามที่ถูกสร้างขึ้นมา ‘แต่ก็สวย’ เหมือนกับผลไม้พวกนี้

“พวกนี้ก็ดีนะคะ สดสด หวานกรอบเลยทีเดียว” แม่ค้ายิ้มหวาน ชี้ไปที่ผลไม้ชนิดหนึ่งที่แม่ไม่ได้ตั้งใจจะซื้อตั้งแต่แรก พร้อมกับเชิญชวนว่าจะลดราคาให้เป็นพิเศษ

‘ได้ลดราคาก็ดีสิ’ แต่ต้องแลกกับการซื้อของที่มากกว่าความต้องการ ‘ก็ไม่เป็นไร ผลไม้พวกนี้กินได้ทั้งนั้น ซื้อมาก ก็ได้กินมากขึ้นอีกนิด’

ส่วนลด กับ สินค้าที่เกินกว่าความต้องการ การประหยัด ที่แลกมาด้วยการซื้อของเกินกว่าที่จำเป็น หรือตั้งใจไว้

“ถ้าอย่างนั้นเอาอันนี้ด้วยก็ได้” แม่ตกลงทันที

“ซื้ออะไรอยู่ล่ะ” คุณยายส่งเสียงทัก ส่วนตาเอกที่เดินกลับมาจากร้านหนังสือพร้อมกัน หยุดยืนรออยู่ที่หน้าประตูรั้วบ้านของตน

“อ้าว คุณแม่ จะเอาผลไม้อะไรเพิ่มอีกไหมคะ”

ยายมองดูผลไม้ที่แม่ซื้อ ก่อนจะส่ายหน้า “ไม่ล่ะ แค่นี้ก็เยอะแล้ว”

“แม่หายไปไหนมาคะ”

“แม่ไปร้านหนังสือกับคุณเอก ได้หนังสือน่าอ่านมาด้วย”

“ร้านหนังสือ” แม่ทวนคำด้วยความสงสัย

“นี่ลูกไม่รู้เลยหรือ ว่ามีร้านขายหนังสือเก่ามาเปิดอยู่ใกล้ๆ นี้ ขนาด พอ ยังรู้เลย” แม่เป็นเพียงคนเดียวในบ้านที่ไม่รับรู้ถึงการคงอยู่ของร้านหนังสือฟูลแห่งนั้น

รถขายผลไม้ค่อยๆ วิ่งจากไป แม่หันกลับไปมองเป็นครั้งสุดท้าย ในเศษเสี้ยวแห่งวินาทีนั้น แม่ค้าผลไม้แสนสวยที่นั่งอยู่ในกระบะท้ายรถกลับมองเห็นเป็นหญิงชราที่มีใบหน้าเหี่ยวย่นราวกับแม่มด 'ภาพลวงตา' แม่กระพริบตา แล้วรถสีขาวก็เลี้ยวหายไปในยามสนธยา และถ้ามันจะเป็นเรื่องสำคัญ หลังจากนั้นแม่ก็ไม่เคยได้พบเห็นรถคันนี้อีกเลย

ทั้งสามคนยืนพูดคุยกันอีกเล็กน้อยก่อนแยกย้ายกันกลับเข้าบ้านของตน

“อย่าคิดมากไปล่ะ”

ตาเอกพูดทิ้งท้ายกับคุณยาย ทั้งๆ ที่ก็รู้อยู่แล้วว่ามันต้องเป็นไปในทางตรงกันข้ามแน่นอน ยายเพียงยิ้มน้อยๆ ไม่ตอบคำ และรู้สึกแปลกใจเมื่อถูกแม่ตรงเข้ามากอดเอวเอาไว้ ทั้งคู่ต่างมองหน้า ส่งยิ้ม แล้วเดินไปด้วยกัน

“หนูรักแม่ค่ะ” แม่กระซิบเบาๆ ยายปั้นหน้าพิลึก แต่สุดท้ายก็กระซิบตอบกลับไปเช่นกัน ทั้งคู่ต่างส่งเสียงหัวเราะออกมา ก่อนพากันกลับเข้าไปในบ้านแล้วช่วยกันเตรียมอาหารเย็น

#####

“กลับบ้านกันเถอะ” อะตอมว่า พร้อมกับเร่งเดินแซงหน้าเพื่อน มุ่งตรงไปยังประตูโรงเรียน

“อื้อ” พอ รีบเดินตามไปไม่รอช้า

“รอก่อน ฉันไปด้วยคนสิ” เสียงหวานๆ แว่วมา พร้อมกับเสียงฝีเท้าเล็กๆ ที่ดังราวกับเป็นจังหวะการเต้นของหัวใจในหน้าอกค่อนไปทางด้านซ้ายของพวกเขา

‘ตึก ตัก ตึก ตัก’

ทั้งคู่หันกลับไปมองเจ้าของเสียงนั้นพร้อมกัน

“พริม” ชื่อนั้นหลุดออกมาจากปากที่ยิ้มไม่หุบของอะตอม เด็กทั้งสามมองหน้ากันไปมา สบตา ยิ้ม หัวเราะ แล้วเดินไปด้วยกัน

“ดูเหมือนจะจบลงด้วยดีอย่างที่เธอเคยบอกแล้วสินะ”

เสียงทักทายนั้นพุ่งเป้ามาที่ พอ เย็นวันนี้ครูอ้อมคอยทำหน้าที่เป็นครูเวรยืนอยู่ที่ประตูโรงเรียน เด็กทั้งสามรีบยกมือไหว้พร้อมกัน ครูอ้อมรับไหว้แล้วมองดูแต่ละคน โดยเฉพาะอะตอมที่พยายามก้มหน้าหลบสายตาเนื่องจากเรื่องวุ่นวายที่เขาเคยก่อเอาไว้

“...เกือบแล้วครับ”

คำตอบกำกวมของ พอ ทำให้คิ้วของครูอ้อมขมวดเข้าหากันเล็กน้อย เขาไม่ได้พูดถึงเรื่องการผิดใจระหว่างตัวเขากับเพื่อน แต่กำลังคิดไปถึงเรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้นหลังจากการที่ได้ก้าวเข้าไปในร้านหนังสือประหลาดนั้นต่างหาก

'ฉันรู้สึกว่ามันใกล้จะจบลงแล้ว' และแม้จะยังไม่มีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้น แต่เขาก็ยังรู้สึกไม่ดีเช่นเดิม

“พวกเธอเองก็รักกันไว้ให้ดีล่ะ ถึงแม้ว่าอาจจะต้องแยกย้ายกันไปเรียนคนละที่ก็ตาม มิตรภาพนั้นมีคุณค่ามากกว่าที่พวกเธอเข้าใจ”

'ฉันเองก็ดูเหมือนจะได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างจากเด็กๆ พวกนี้เหมือนกัน' อะไรหลายอย่างที่เธออาจหลงลืมไปในระหว่างขบวนการเติบโตขึ้นเพื่อเป็นผู้ใหญ่

มีเด็กโตอีกหลายคนเดินผ่านมา ทุกคนต่างยกมือขึ้นไหว้ครูอ้อม

“กลับบ้านกันดีๆ นะ” เธอบอกพร้อมรอยยิ้ม

'เจ็ดคนพอดี' ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร พอ ถึงได้นับจำนวนพวกเขารวมเข้ากับคนอื่นๆ ด้วย

'เจ็ดเป็นตัวเลขมหัศจรรย์' พ่อเคยพูดอยู่เสมอ แต่ไม่เคยอธิบายว่าเป็นเพราะเหตุใด บางทีมันอาจจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับสีทั้งเจ็ดของสายรุ้ง ม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดง ที่จะเกิดขึ้นเมื่อใช้ปริซึมส่องสะท้อนกับแสงอาทิตย์ก็เป็นได้ เขาไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะมีความหมายพิเศษอันใดซ่อนอยู่หรือไม่ บางทีอาจมีนิทานบางเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตัวเลขนี้

มันเป็นการเดินกลับบ้านอันแสนสุขของเด็กสามคน

ความรัก มีคนพยายามให้คำนิยามต่างๆ เอาไว้มากมาย แต่คำๆ นี้ก็ยังคงมีความหมายแตกต่างกันไปเสมอสำหรับแต่ละกลุ่มสังคม แต่ละวัฒนธรรม แต่ละประเพณี ในแต่ละช่วงเวลา และที่สำคัญที่สุดคือสำหรับแต่ละคน ส่วนมันจะมีความหมายอย่างไรกับเด็กหนุ่มสาวทั้งสามคนในตอนนี้นั้น ดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องที่พวกเขาใส่ใจเลยสักนิด

เมื่อถึงทางแยก ต่างก็ต้องแยกย้าย แต่ในความคิดของเด็กทั้งสาม ยังคงต้องมีวันพรุ่งนี้ ยังคงมีโอกาสให้ย้อนกลับมายังทางแยกแห่งนี้ได้เสมอ

“พริม...”

เด็กสาวหยุดเดิน หันกลับมาตามเสียงเรียกของเขา เธอไม่ได้พูดอะไรแต่ใช้ท่าทางแทนการเอ่ยถาม เด็กชายสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนตะโกนออกไป

“...ฉันชอบเธอ” พอ รู้สึกถึงความร้อนที่พุ่งขึ้นไปบนใบหน้า แม้แต่อะตอมก็ยังคาดไม่ถึงว่าเพื่อนจะกล้าทำแบบนี้

“ฉันก็ชอบเธอเหมือนกัน” เด็กสาวตอบกลับมาพร้อมรอยยิ้มสดใส “ชอบพวกเธอทั้งสองคนเลย แล้วเจอกันนะ”

“แล้วเจอกัน” เขาตอบกลับไปเบาๆ ด้วยความรู้สึกแปลกๆ แต่อย่างน้อยเขาก็ทำใจกล้า และพูดมันออกไปแล้ว แม้คำตอบของเธอนั้นจะไม่ได้ทำให้หัวใจของเขาพองโต หรืออะไรทำนองนั้น แต่มันก็ทำให้เขารู้สึกโล่งใจ

“ร้ายนักนะ” เพื่อนรักชกเข้าที่ต้นแขน และไม่ได้แค่เพียงเบาๆ “แต่ฉันยังไม่ยอมแพ้หรอกนะ นายก็ได้ยินคำตอบของเธอแล้ว”

“เออ” เขาตอบพร้อมรอยยิ้ม “อย่าลืมที่นัดกันไว้พรุ่งนี้ล่ะ”

“ไม่ลืมแน่ ว่าแต่นายจะบอกได้หรือยังว่ามีเรื่องอะไร หรือจะไปที่ไหน” อะตอมลองถามดูอีกครั้ง

“ไม่มีอะไรหรอก แค่อยากให้นายเป็นเพื่อนไปที่ใกล้ๆ นี้เท่านั้นเอง” ใช่แล้ว 'ใกล้มากเลย' เพราะพวกเขากำลังจะเดินไปถึงสถานที่แห่งนั้นแล้ว

'ร้านหนังสือฟูล' ป้ายเล็กๆ ที่ติดไว้ที่รั้ว ยังคงดูผิดที่ผิดทางเหมือนเดิม ตัวตึกที่เหมือนกับบ้านหลังอื่นๆ แต่แตกต่างออกไป มีอะไรที่ไม่ปกติเกี่ยวกับอาคารหลังนี้

ยามที่ พอ เงยหน้าขึ้นมอง ดูราวกับว่าหลังคาของมันจะยืดตัวสูงขึ้นไปบนท้องฟ้า และเมื่อพยายามเพ่งตาเพื่อมองดูสิ่งที่เกิดขึ้นภายในนั้น กลับดูเหมือนว่าทุกสิ่งพยายามที่จะหนีออกจากจุดรวมสายตาของเขา จนทำให้ไม่อาจมองเห็นรายละเอียดใดๆ ได้เลย

“ตุ๊กตาพวกนั้นยังดูน่ากลัวเหมือนเดิม” อะตอมหมายถึงเหล่าตุ๊กตาปั้นรูปสัตว์ต่างๆ ที่ตั้งกระจัดกระจายหลบซ่อนอยู่ภายในบริเวณสวน

'เข้าไปหาเขาตอนนี้เลยดีไหม'

แผนของ พอ นั้นเรียบง่าย เขาคิดที่จะเข้าไปหาฟูลภายในร้าน ไปถามเขาตรงๆ เกี่ยวกับหนังสือนิทานที่หายไป รวมถึงข้อความที่เขียนเอาไว้ในหนังสืออีกเล่มเกี่ยวกับหนังสือแท้พวกนั้น

สิ่งสำคัญคือ คำถาม เขาต้องตั้งคำถามที่ถูก เพื่อให้ได้คำตอบตามต้องการ

บรรยากาศที่โอบล้อมบ้านหลังนี้เอาไว้ทำให้เขาลังเล และโน้มเอียงที่จะทำไปตามแผนเดิมที่วางเอาไว้ นั่นคือกลับมาอีกครั้งพร้อมกับเพื่อนในวันพรุ่งนี้ 'อะไรก็ได้ที่ยังไม่ใช่ตอนนี้' และหวังว่าความกล้าของเขาจะมีมากขึ้น หรืออย่างน้อยแผนที่เขาพูดกับเพื่อนจะบังคับให้เขาต้องทำตามนั้น

บางทีนั่นอาจเป็นเหตุผลแท้จริงที่จนถึงตอนนี้ เขาก็ยังไม่ยอมบอกอะไรเพื่อนเกี่ยวกับเรื่องแผนก็เป็นได้

“เฮ้ นายจะยืนอยู่อีกนานไหม” อะตอมสะกิด “ฉันรู้สึกไม่ค่อยดีเลย ไม่ใช่กลัวนะ แต่มัน มันรู้สึกแปลก”

“ไปกันเถอะ” เขายอมแพ้ต่อความหวาดกลัว 'ไว้พรุ่งนี้ดีกว่า' อย่างที่บอกไว้ สำหรับพวกเขาแล้วมันจะยังคงมีวันพรุ่งนี้อยู่เสมอ แต่มันจะเป็นเช่นนั้นหรือไม่

เด็กทั้งสองแยกจากกัน พอ รีบตรงกลับบ้าน

“ว่าไงพ่อหนุ่ม” เสียงทักดังออกมาจากในรั้วบ้านที่อยู่ติดกัน

“สวัสดีครับคุณตา” เขายกมือไหว้ จำชายชราคนเดิมที่ยืนซ่อนอยู่หลังรั้ว

“ถ้ามีอะไรจะให้ช่วย เรียกฉันได้ทันทีเลยนะ” ตาเอกยิ้ม

“...ครับ” เขายังไม่แน่ใจว่าชายชรากำลังพูดถึงเรื่องอะไร

“ฉันอยู่บ้านตลอด ตื่นง่าย ถ้ามีอะไรก็ตะโกนเรียกได้เสมอ ไม่ต้องเกรงใจ รู้ไหม” ชายชราย้ำ

“...ครับ” เขารับคำไปอย่างนั้น “ผมขอตัวเข้าบ้านก่อนนะครับ”

ทั้งสองแยกจากกัน และเขาไม่ทันได้เห็นว่าเป็นอีกครั้งที่ตาเอกสวมใส่กางเกงขาสั้นสีขาว เสื้อยืดสีขาว ชุดสีขาวเหมือนกับในครั้งนั้น

พ่อกลับมาแล้ว อาหารเย็นเริ่มต้นขึ้น และทุกคนค่อยๆ เริ่มเปิดใจพูดกันถึงสิ่งที่เกิดขึ้น บางครั้งคนหนึ่งอาจจะรู้สึกว่าตัวเองโตขึ้นจนคับบ้าน บางครั้งก็หดเล็กลงจนเหลือตัวจิ๋ว แต่สิ่งที่ดีคือทุกคนต่างได้เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น ในสิ่งที่คนอื่นคิดจริงๆ ไม่ได้เป็นเพียงแค่คนอื่นที่เป็นความคิดในหัวของเราเอง

ความเข้าใจ เป็นคำสั้นๆ ง่ายๆ ที่ใช้อธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี

คุณยายจะเข้ารับการรักษา ทั้งหมดจะดำเนินไปจนกว่าเงินเก็บที่มีจะลดลงถึงระดับอันตราย ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นพวกเขาคงมีความยากลำบากรออยู่ แต่ก็คงไม่มีอะไรยากเกินกว่า หากว่าพวกเขายังคงมีความเข้าใจกันอยู่

“ยายอายุมากแล้ว ดีใจที่อยู่มาจนถึงป่านนี้ และรู้สึกเสียใจที่ทำให้ทุกคนต้องมาลำบาก หรืออาจต้องจากทุกคนไปแบบนี้” ยายเอื้อมมือมาลูบหัว พอ ที่นั่งอยู่ข้างๆ

“แม่คะ อย่าพูดแบบนี้เลย” แม่พึมพำ ทำท่าเหมือนน้ำตาจะไหล “พอ ลุกไปหยิบผลไม้ในตู้เย็นออกมาให้แม่หน่อยสิ”

เสียงพูดคุยกันเบาๆ ที่โต๊ะยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง เมื่อเขาเปิดตู้เย็นออกก็พบกับจานใบใหญ่ใส่ผลไม้ซึ่งปอกเป็นชิ้นๆ เรียบร้อย ปิดเอาไว้ด้วยฝาพลาสติกอีกที เขาหยิบจานออกมา เปิดฝา แล้วหยิบขึ้นกัดชิ้นหนึ่ง

มันหวาน กรอบ 'อร่อย' จริงๆ

ทุกอย่างกำลังดำเนินไปด้วยดี หรืออย่างน้อยก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างในครั้งแรก

'ถ้าหากวันพรุ่งนี้ทุกอย่างจะดำเนินไปด้วยดี' ถ้าหมดเรื่องหนังสือที่หายไปเล่มนั้น ถ้านิทานทั้งหมดจบลง ถ้าเหตุการณ์ทั้งหมดนั้นเป็นแค่เพียงความวิตกจนเกินกว่าเหตุของตัวเขาเองก็คงดี

พอ ยกจานผลไม้ออกไป ชิ้นผลไม้ที่วางเรียงรายดูเป็นประกายสวยงามน่ากินเหลือเกิน


Create Date : 02 มีนาคม 2556
Last Update : 2 มีนาคม 2556 20:26:09 น. 3 comments
Counter : 536 Pageviews.

 
ตอนหน้าจะเป็นตอนจบแล้วครับ
หวังว่าจะไม่ทำให้คนที่ติดตามอ่านมาตั้งแต่ต้นรู้สึกผิดหวัง(นะ)


โดย: zoi วันที่: 2 มีนาคม 2556 เวลา:20:30:59 น.  

 
ไม่ผิดหวังหรอกค่ะ รออ่านนะคะ ^^



โดย: lovereason วันที่: 2 มีนาคม 2556 เวลา:23:26:40 น.  

 
เร็วกว่าที่ผมคิดไว้เยอะเลย ดูเหมือนอะไรจะยังไม่เคลียร์เลยด้วยซ้ำในแง่ของปมต่าง ๆ


โดย: อาณาจักรแห่งเรา วันที่: 4 มีนาคม 2556 เวลา:12:38:40 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

zoi
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




..........
Friends' blogs
[Add zoi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.