ช่วงนี้ชีวิตวุ่นวายเกินพิกัด...แล้วจะกลับมาเขียนเรื่องที่ค้างไว้ให้จบครับ...สักวัน
Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2555
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
18 พฤศจิกายน 2555
 
All Blogs
 
คนเฝ้าหนังสือ ตอนที่ 10

พอ เห็นเธอแล้ว แต่ก็ทำเป็นเดินต่อไป ไม่หยุดทักทาย ทำท่าเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งสิ้น เขาไม่รู้ว่าทำไมตัวเองจึงตัดสินใจทำแบบนี้ แต่ในช่วงเวลานั้นมันเป็นสิ่งที่เขารู้สึกว่าสมควรทำมากที่สุด โดยไม่สนว่าจะถูกต้องหรือไม่ก็ตาม

เขาไม่ได้เหลียวกลับไปมอง แต่ความรู้สึกบอกกับเขาว่าเธอกำลังเดินตามมา และแม้เขาจะพยายามทำหน้าให้ดูบึ้งตึงเข้าไว้ แต่ข้างในนั้นกำลังแอบดีใจอยู่เหมือนกัน

การเดินที่ไม่เคยน่าสนใจ การก้าวเท้าไปข้างหน้าสลับกันไปมา การเคลื่อนไหวแสนธรรมดาที่ทุกคนจำเป็นต้องทำอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน กลับกลายเป็นการเคลื่อนที่ที่สลับซับซ้อน มีขั้นตอนมากมาย เมื่อเขาใส่ใจ และพยายามจะทำให้มันดูเป็นธรรมชาติมากที่สุด แต่กลับยิ่งทำให้มันขัดเขินเลวร้ายลงกว่าเดิม

เขาคิดว่าท่าทางของตัวเองในตอนนี้ คงไม่ต่างจากหุ่นกระบอก เป็นหุ่นไม้ไร้ชีวิตที่เคลื่อนไหวได้ด้วยการชักเชิดจากนักแสดงฝึกหัดที่ฝีมือยังไม่ถึงขั้นสักคน

ภายในหัวของเขามีความคิดต่างๆ เกิดขึ้น เขาควรจะทำอย่างไร ควรพูดอะไร มีคำตอบที่แตกต่างอยู่มากมาย แต่ปัญหาคือเขาไม่รู้ว่าข้อใดคือคำตอบที่ถูกต้อง และเขาไม่กล้าที่จะลองดูว่าหากใช้คำตอบที่ผิดออกไปแล้วจะเกิดอะไรขึ้น เขาจึงไม่ตัดสินใจ และใช้ความเงียบแทน

“ฉัน...ฉันไม่ได้ทำอย่างที่เธอคิดหรอกนะ”

ข้างหน้าคือทางแยกที่จะไปซอยสาม หลังจากที่เดินตามมาเงียบๆ ตลอดทาง ในที่สุดพริมก็ตัดสินใจเป็นฝ่ายเอ่ยปากพูดขึ้น ก่อนที่เธอจะเลี้ยวไปเพื่อกลับบ้านของตน

“เดี๋ยว...” เขารู้สึกโล่งใจอย่างประหลาดที่ได้ส่งเสียงพูดออกมาในที่สุด แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมตนเองจึงไม่ตัดสินใจเอ่ยปากไปตั้งแต่ก่อนหน้านี้ “...เธอไม่ได้ทำอะไรหรือ”

ทั้งสองหยุดยืนอยู่ห่างๆ ต่างอยู่ในระยะของตน เธอก้มมองพื้นก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาเขา

“เธออาจคิดว่าฉันโกหก แต่ฉันไม่ได้ร่วมมือกับพวกนั้นแกล้งเธอ”

เขาเงียบ

“ที่ฉันตามไปด้วย เพราะเขาบอกว่ามีเรื่องสนุกเท่านั้นเอง”

“อือ ฉันเชื่อเธอ” เขาตอบไปเพียงสั้นๆ แค่นั้น และมันก็เพียงแค่นั้นจริงๆ ความขุ่นข้องหมองใจบางส่วนได้หายไปแล้ว เขาไม่ทันรู้ตัว เขาไม่ทันได้คิด ว่ามันจะง่ายดายเพียงแค่นั้น

ทั้งคู่ต่างยิ้ม และก่อนที่จะแยกจากกันนั้น เขาก็ตัดสินใจเอ่ยถาม

“ใครที่ว่านั่น คืออะตอมใช่ไหม...ทั้งหมดเป็นแผนของเขาใช่ไหม”

เธอนิ่งไปครู่หนึ่ง “ฉัน...ไม่รู้” เธอส่ายหน้า แต่อะไรบางอย่างทำให้เขาคิดว่า คำตอบของเธออาจมีความหมายตรงกันข้ามก็เป็นได้

“ไปก่อนนะ”

'ให้ฉันเดินไปส่งเธอที่บ้านได้ไหม'

น่าเสียดายที่คำถามนั้นได้เพียงแค่ผุดขึ้นมาในห้วงความคิด แต่ไม่อาจหลุดออกจากปากของเขา สุดท้ายแล้วเขาจึงยังคงไม่รู้จักบ้านของเธอต่อไป เธอเดินจากไปแล้ว ณ ทางแยกแห่งนั้น ทางแยกที่จะยังคงตั้งอยู่ในที่เดิม เพียงแต่ทั้งสองคนจะได้กลับมาพบเจอกันแบบนี้อีกหรือไม่ โอกาสแบบนี้จะเกิดขึ้นอีกครั้งได้หรือไม่

คงไม่มีใครรู้

พอยังคงหลงเหลือความขัดข้องหมองใจอยู่อีกอย่าง และเขาก็เดินกลับบ้านไปพร้อมกับมัน เขายังคงไม่เข้าใจว่าเหตุใดอะตอมเพื่อนรักจึงต้องตั้งใจกลั่นแกล้งเขาถึงขนาดนั้นด้วย และเขาไม่นึกเฉลียวใจเลยว่า มันอาจจะมีวิธีแก้ปัญหานี้ได้ง่ายๆ เหมือนที่พึ่งเกิดระหว่างเขากับพริมเมื่อครู่

ณ มุมมืดไม่ไกลจากทางแยกสายนั้น มีสายตาคู่หนึ่งแอบเฝ้าดูเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่เงียบๆ

#####

“สวัสดีครับ” พอส่งเสียงเมื่อกลับมาถึงบ้าน แต่ไม่มีเสียงตอบรับจากคุณยายเหมือนเคย มีเพียงความเงียบที่ไม่น่าไว้วางใจ กับความรู้สึกผิดปกติบางอย่าง

“คุณยายครับ” พอเดินหา พร้อมกับส่งเสียงเรียกอีกครั้ง และเขาก็ได้พบกับคุณยายในที่ที่คาดไม่ถึง เขาไม่เคยเห็นคุณยายนอนกลางวันมาก่อน คุณยายมักกำลังทำอะไรอยู่เสมอเมื่อเขากลับมาถึงบ้าน

“คุณยายครับ” พอส่งเสียงเรียกเบาๆ แต่เมื่อเห็นว่าลมหายใจของคุณยายนั้นยาว และสม่ำเสมอ เขาจึงหายกังวล

“...มันพบฉันจนได้...” นั่นเป็นเสียงของยาย ท่านนอนกระสับกระส่าย แต่ยังหลับตาอยู่เหมือนเดิม

“...มันเจอฉันแล้ว...”

'หรือว่าคุณยายจะฝันร้าย' เขาก็เคยฝันร้าย ฝันเกี่ยวกับสัตว์ประหลาด ภูติผี แม้แต่การสอบ เขาแน่ใจว่าผู้ใหญ่เองก็คงฝันร้ายได้ เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าฝันร้ายของพวกพ่อแม่นั้นจะเกี่ยวข้องกับสิ่งใด ฝันร้ายของคุณยายนั้นจะเป็นเรื่องแบบไหน

แล้วคุณยายก็ลืมตาขึ้น ชั่วพริบตานั้น ช่วงเวลาที่คุณยายยังไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ใด ในความฝัน หรือความเป็นจริง และอะไรกันแน่ที่เป็นความจริง หรือความฝัน ช่วงเวลาที่ไม่อาจมั่นใจในสิ่งใด เขามองเห็นความหวาดกลัวในแววตาที่เต็มไปด้วยประสบการณ์ชีวิตคู่นั้น

คุณยายกำลังหวาดกลัวอย่างที่สุด

“...สวัสดีครับคุณยาย” เขายกมือไหว้ นั่นเป็นการกระทำเพียงสิ่งเดียวที่เขาพอนึกออก

ยายกระพริบตา แล้วมันก็หายไป ความหวาดกลัวนั้นหนีกลับเข้าไปสู่โลกแห่งความฝัน โลกแห่งจินตนาการ ที่ที่มันจะเฝ้ารอ เพื่อจะได้พบเจอกับผู้ที่สร้างมันขึ้นมา อีกครั้ง หรืออีกหลายครั้ง

“กลับมาแล้วหรือ” คุณยายแลบลิ้นเลียริมฝีปากที่แห้งฝากอย่างลืมตัว “ยายว่าจะแค่หลับตาพักสักครู่ ไม่รู้ว่าเผลอนอนหลับไปได้อย่างไร”

“คุณยายหิวน้ำไหมครับ เดี๋ยวผมไปเอามาให้” เขาเอ่ยถาม

“ไม่เป็นไร” ยายลุกขึ้นจากเตียง ท่าทางคล่องแคล่วที่เขาคุ้นเคย ค่อยๆ กลับคืนมาสู่ร่างของคุณยายอีกครั้ง “ยายจัดการเองได้ ว่าแต่กินอะไรมาหรือยังล่ะ”

“ยังเลยครับ” อาหารฝีมือคุณยายเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เขารีบตรงกลับบ้าน

“แย่จริง ยายยังไม่ได้เตรียมอะไรไว้ให้เลย” สองยายหลานพากันเดินไปทางห้องครัว ยายเอื้อมเปิดตู้หยิบแก้วออกมาเพื่อเทน้ำ ยายไม่ดื่มน้ำที่แช่อยู่ในตู้เย็น แต่เทจากขวดน้ำที่ตั้งไว้บนชั้นใกล้ๆ ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่เคยมีอยู่ คุณยายเป็นเพียงคนเดียวในบ้านที่ไม่ดื่มน้ำเย็น

“พอ อยากกินอะไรล่ะ” ยายเอ่ยถาม น้ำเสียงเต็มไปด้วยความห่วงใย

“เดี๋ยวผมอุ่นอาหารสำเร็จกินเองก็ได้ครับ” เขาตอบ

“อย่าเลย ไม่เห็นจะน่ากินสักนิด” ยายว่าพร้อมกับหันไปเปิดตู้เย็นออกดู ตอนนี้มันแตกต่างจากตู้เย็นที่เขาเคยเห็นมาจนชินตา เหล่าอาหารสำเร็จถูกเบียดไปอยู่ทางด้านหนึ่ง แทนที่ด้วยของสด เนื้อสัตว์ ผัก เครื่องปรุงสำหรับการประกอบอาหาร แถมยังมีผลไม้อีกด้วย

“จะทำอะไรดีล่ะ” ยายบ่นพึมพำ

เขาคิดอย่างรวดเร็ว ไม่อยากให้คุณยายต้องยุ่งยาก “เอ่อ ไข่เจียวดีไหมครับ ผมอยากกินไข่เจียว”

“เอ้า ไข่เจียวก็ไข่เจียว” ยายยิ้ม พร้อมกับหยิบไข่ไก่ออกมาสามฟอง กวาดตามองอีกครั้ง แล้วล้วงเอาหมูสับ หอมใหญ่ กับขวดน้ำมันหอยติดมือออกมาด้วย “แต่ยายขอเติมอะไรสักหน่อยนะ”

ไข่เจียวหมูสับใส่หอมใหญ่กับข้าวสวยร้อนๆ ทำให้สองยายหลานอร่อยกับมื้อเย็นได้อย่างรวดเร็ว ทั้งสองคนนั่งทานข้าวด้วยกันที่โต๊ะใหญ่ภายในห้องนั่งเล่น ซึ่งเป็นทั้งโต๊ะกินข้าว ที่วางคอมพิวเตอร์ โต๊ะทำงาน และอะไรอื่นๆ ตามแต่สมาชิกจะใช้ ที่ซึ่งเขามักจะนั่งทานอาหารอยู่เพียงลำพัง กับโทรทัศน์ที่เปิดทิ้งไว้

“เสื้อสีแดงตัวนั้นคุณยายซื้อให้แม่ใช่ไหมครับ” เขาหาเรื่องชวนคุยเมื่อเหลือบไปเห็นเสื้อสีแดงตัวดังกล่าววางพาดอยู่บนพนักเก้าอี้ตัวที่คุณยายกำลังนั่งอยู่ ซึ่งปกติแล้วจะเป็นที่ประจำของแม่

เขาเห็นแม่ใส่มันทุกวันตั้งแต่ได้มา แต่วันนี้แม่กลับลืมทิ้งไว้

“ใช่...” ยายตอบพร้อมกับทอดสายตามองออกไปในที่ไกลตา ซึ่งอาจจะเป็นอดีตในความทรงจำเมื่อนานมาแล้ว “...แต่ตอนเด็กๆ ยายก็มีเสื้อสีแดงแบบนี้เหมือนกัน พอเห็นมันครั้งแรก ยายก็นึกถึงเสื้อตัวเก่าตัวนั้นขึ้นมาทันที”

“ยายคงใส่เสื้อแบบนี้ไม่ได้แล้ว” ยายว่า

“ไม่หรอกครับ ผมว่ายายยังใส่ได้อยู่”

ยายหันไปหยิบมันขึ้นมาลองใส่ดู แถมยังยกหมวกคลุมขึ้นมาสวมด้วย ทั้งคู่ต่างหัวเราะ แล้วชั่วพริบตานั้น เขาก็รู้สึกราวกับว่าตัวเองได้เห็นคุณยายเป็นใครอีกคนหนึ่ง เป็นหนูน้อยสดใสน่ารักภายใต้หมวกแดงที่กำลังมีความสุข

'แล้วหนูน้อยหมวกแดงก็มีความสุขตลอดกาล'

ความสุขตลอดกาล นิทานทุกเรื่องมักจบลงแบบนั้น แต่มันไม่มีทางเป็นจริงไปได้เลย ไม่มีใครจะสามารถมีความสุขตลอดกาลได้ ถ้าจะมี ก็คงมีแต่เพียงในนิทานเท่านั้น

“ตอนที่ยายยังเด็ก เคยมีสงครามครั้งใหญ่เกิดขึ้นรู้ไหม” คุณยายเล่าในขณะที่ถอดเสื้อตัวนั้นออก

เขาพยักหน้า เขาเคยเรียนในวิชาสังคม และประวัติศาสตร์ มันถูกเรียกว่า สงครามโลก ทั้งที่จริงๆ แล้วเป็นความขัดแย้งที่เกิดจากรัฐบาลของไม่กี่ประเทศ แต่ส่งผลประทบไปทั่วทั้งโลก เป็นสงครามที่มีการใช้กำลังทหาร ใช้อาวุธสงครามเข้าต่อสู้กัน มีผู้คนล้มตายมากมาย

“ยายยังเป็นเด็ก แต่ก็จำได้ว่าชีวิตในช่วงนั้นลำบากมาก”

แตกต่างจากสงครามในยุคนี้ ที่ต่อสู้กันทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรม ศาสนา ด้วยกลไกการค้า การตลาด ค่านิยม ความบันเทิง ความเชื่อ และอื่นๆ แต่ความเสียหายจะแตกต่างจากสงครามในอดีตหรือไม่ จะมีผู้คนล้มตายจากผลกระทบของมันมากน้อยกว่ากันแค่ไหน เขาไม่แน่ใจ

“ตอนนั้นกระดาษขาดแคลนมาก หนังสือกลายเป็นของหายาก” ยายมองดูหนังสือจำนวนมากที่เรียงรายอยู่บนตู้ มีความรู้สึกแปลกๆ บางอย่างเกิดขึ้น ความรู้สึกที่ราวกับว่าตัวเองกำลังเป็นฝ่ายที่ถูกจับจ้อง

“...มีร้านเช่าหนังสือมาเปิดใกล้ๆ บ้านยาย มันเลยเป็นที่นิยมอย่างมาก” ยายเล่าแล้วก็รู้สึกแปลกใจขึ้นมา

'ร้านหนังสือเช่าในช่วงเวลาแบบนั้น มันน่าจะเป็นเรื่องแปลกไม่ใช่หรือ' แต่ใครๆ หรือแม้แต่ตัวยายเอง ก็ไม่เคยคิดแบบนั้นเลย จนกระทั่งถึงตอนนี้

เขานั่งฟังคุณยายเล่าไปเรื่อยๆ โดยไม่ขัดคอ

“ยายก็แอบไปเช่านิยายมาอ่านเหมือนกัน”

ถึงแม้ค่าเช่าจะเพียงแค่ไม่กี่สตางค์ แต่มันก็เป็นจำนวนเงินที่ไม่ควรจะเสียไปในช่วงเวลานั้น ยายยังจำได้ถึงความสนุกที่เกิดขึ้นภายในโลกแห่งหนังสือ จากเรื่องราวที่อยู่ภายใน และไม่อาจลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นในโลกแห่งความเป็นจริงของยาย ในยามที่ถูกจับได้ว่าแอบนำเงินไปเช่าหนังสือพวกนั้นมาอ่านเช่นกัน

ยายตัดสินใจที่จะไม่เล่าถึงพวกมัน

“รู้ไหม ในช่วงนั้นเราอ่านหนังสือได้แค่ตอนกลางวันเท่านั้นเอง”

“ทำไมหรือครับ” เขาถามด้วยความสงสัย

“ก็แม้แต่เทียนไขยังหาได้ยากเลย ตอนกลางคืนเราจึงแทบทำอะไรไม่ได้นอกจากนอนรอให้ถึงเช้า ให้มีแสงอาทิตย์อีกครั้ง” ยายว่า

เขานึกสงสัยขึ้นมา ทำไมจึงไม่เคยมองเห็นประโยชน์ของแสงอาทิตย์มากถึงเพียงนั้นมาก่อนเลย อาจเป็นเพราะแสงสว่างในยุคปัจจุบันนี้อยู่ใกล้แค่เพียงปลายนิ้วก็เป็นได้ แต่เมื่อคิดถึงสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบตัว เขาก็เกิดความรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา

'แล้วถ้าไม่มีไฟฟ้า อะไรจะเกิดขึ้น'

แน่นอนที่คนในสมัยก่อนก็ยังอยู่กันมาได้ แต่เขาไม่อยากคิด ไม่กล้าคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับคนในยุคปัจจุบันนี้ถ้าต้องไร้ไฟฟ้าขึ้นมา

คุณยายกลับนึกไปถึงอีกเรื่อง 'บางทีอาจเป็นเพราะหนังสือเล่มนั้น'

'นิยายรักเศร้า' ที่เจอในร้านหนังสือฟูล ความจริงแล้วมีนิยายรักเศร้าอยู่จำนวนมากมาย แต่เธอคิดว่าทั้งหมดต่างมีอยู่ในหนังสือเล่มนั้น นิยายเล่มเดียวกับที่เธอเคยแอบเช่ามาอ่าน นิยายที่ได้ดื่มกินหยาดน้ำตาจากเธอ หรืออาจจะของใครๆ อีกหลายคน โดยเฉพาะกับคำพูดที่แสนธรรมดานั้น

'ฉันรักเธอ'

คำพูดที่ต้องมีอยู่ในนิยายรักทุกเล่ม คำพูดแสนธรรมดา แต่มันได้รวบรวมเอาสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดภายในเรื่องราวตั้งแต่ต้น ทั้งความสุข ความเศร้า ความโกรธ ความไม่เข้าใจ ความยากลำบาก และอะไรอื่นๆ อีกมากมาย จนกลายมาเป็นคำพูดนั้น

'ฉันรักเธอ' คำนั้น หมายถึงชีวิตทั้งหมดของตัวละครภายในเรื่องเลยทีเดียว และมันยิ่งน่าเศร้า โดยเฉพาะเมื่อมีชีวิตในความเป็นจริงโลดแล่นคู่ขนานกันไป

ยังมีอย่างอื่นอีก 'ผู้ชายคนนั้น' คนที่ชื่อฟูล 'ทำไมจึงรู้สึกว่าเขาดูคล้ายกับเจ้าของร้านเช่าหนังสือเมื่อตอนนั้นเหลือเกิน' แต่มันไม่มีทางเป็นไปได้ ไม่มีทาง

'แน่หรือ' เธองงกับความคิดของตนเอง

“...คุณยายครับ” เขาทักเมื่อเห็นคุณยายนั่งใจลอย ทำให้ท่านย้อนกลับมาสู่โลกในปัจจุบัน คุณยายยิ้มแก้เก้อ ก่อนที่ทั้งคู่จะรับประทานอาหารต่อจนเสร็จ แล้วช่วยกันเก็บโต๊ะ และล้างจานด้วยกัน

“มีการบ้านต้องทำหรือเปล่า” ยายเรียนรู้แล้วว่าเด็กในทุกวันนี้มีการบ้านมากเพียงใด ถึงแม้จะรู้สึกไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไรนักก็ตาม

“ยังเหลืออีกนิดหน่อยครับ” เขาใช้ที่นั่งตัวเดิมเพื่อทำการบ้านของตน ยายมองดูเขาเปิดใช้คอมพิวเตอร์อย่างสนใจ มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่เห็นเขาเปิดใช้มัน 'เหมือนกับโทรศัพท์มือถือของสองคนนั้น' ที่จะต้องเห็นพวกเขายกมันขึ้นดูอยู่เป็นประจำ

แล้วคุณยายก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้

“วันนี้ยายเจอกับคุณตาที่อยู่บ้านข้างๆ เราด้วย เขาชื่อ เอก เขามีสวนครัวเล็กๆ อยู่ในบ้าน ยายเองก็ว่าจะลองปลูกดูบ้างเหมือนกัน...” คุณยายว่า พร้อมกับเดินไปยังพื้นที่ที่ถูกกั้นให้เป็นห้องนอนของท่าน

“...ยายยังเดินเลยไปถึงร้านหนังสือที่ชื่อ ฟูล นั่นด้วย”

เขาหยุด เผลอลืมหายใจ แล้วเงยหน้าขึ้น คุณยายเดินกลับออกมาพร้อมกับถุงพลาสติกใบหนึ่งที่ดูคุ้นตา

'คุณยายอาจจะซื้อหนังสือมาจากร้านนั้นเหมือนกัน' เขาคิดและเพราะอะไรบางอย่าง เขาไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้น เขายังคงหาหนังสือเล่มนั้นไม่เจอ

หนังสือที่มีขางอกออกมาแล้วเดินหายไปจากห้องของเขา 'ไม่ มันไม่ได้เป็นอย่างนั้น'

คุณยายเปิดถุงแล้วล้วงหนังสือในนั้นออกมา และเขามองดูมันด้วยความประหลาดใจ

'มันคือหนังสือเล่มนั้น' หนังสือเล่มที่หายไป หนังสือที่เขาตามหาอยู่ เขาไม่คิดว่ามันจะเป็นหนังสืออีกเล่มที่เป็นเรื่องเดียวกัน ทันทีที่เห็นเขาก็รู้ว่ามันต้องเป็นหนังสือเล่มนั้นแน่นอน

“เขาบอกว่าเขาหยิบหนังสือผิดเล่มให้มา เลยฝากยายเอามาให้”

เขารับมันมาอย่างงงๆ 'หนังสือผิดเล่ม' หมายความว่ามีหนังสืออีกเล่มหนึ่งที่มาจากร้านนั้น 'กำลังหลุดเพ่นพ่านอยู่แถวนี้' เขาไม่รู้ว่าทำไมต้องคิดแบบนี้ มันก็เป็นแค่หนังสือเล่มหนึ่ง มันไม่มีขา มันไม่มีชิวิต

'แน่ใจหรือ' เสียงกระซิบที่แหบพร่านั้นดังขึ้นที่ข้างหู พร้อมกับเสียงหัวเราะที่มีเขี้ยว

“ว่าแต่ พอไม่รู้เลยหรือว่าได้หนังสือผิดเล่มมา หรือว่าเขาจำผิดคน”

เขาไม่คิดว่าฟูลจะจำผิดคน หรือให้หนังสือผิดเล่มมา เพียงแต่เล่มนั้นมันไม่ใช่หนังสือเล่มที่เขาต้องการ และเขาไม่รู้ว่าจะอธิบายเรื่องนี้อย่างไร

“...ผม...ผมยังไม่มีเวลาเปิดถุงออกดูเลยครับ” นั่นถูกเพียงครึ่งเดียว เขาเปิดถุงแล้ว เพียงแต่ยังไม่ได้ดู และมันไม่อยู่รอให้เขาได้ดูอีกแล้ว

เขานึกถึงหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาทันที หนังสือที่ถูกเปิดกางทิ้งไว้บนโต๊ะในตอนนั้น ตอนที่ฟูลหันเหความสนใจของเขาไปอีกทางหนึ่ง

“เขาว่าให้อ่านเล่มนั้นจบก่อน ค่อยเอาไปคืนก็ได้”

เขารับหนังสือมาพร้อมกับพลิกมันเปิดออกดู “...เขาบอกไหมครับ ว่า ว่า เล่มนั้น มันเป็นหนังสืออะไร...ก็ผมยังไม่ได้เปิดถุงออกดูเลย”

คุณยายตอบอย่างไม่ใส่ใจ และมันทำให้ลมหายใจของเขาต้องหยุดชะงักอีกครั้ง

“เขาว่ามันเป็นหนังสือนิทาน นิทานที่น่าสนใจ”

'นิทาน' เขารู้อยู่แล้วว่ามันต้องเป็นหนังสือเล่มนั้น เขามองดูสิ่งที่ถูกเขียนด้วยดินสอเอาไว้ด้านในปก นอกจากตัวเลขราคาที่คุ้นเคยแล้ว มันยังมีข้อความเพิ่มเติมมาด้วย

เขาขนลุก

'จงระวัง หนังสือแท้ นั้น มีชีวิต'


Create Date : 18 พฤศจิกายน 2555
Last Update : 20 มิถุนายน 2556 9:45:51 น. 1 comments
Counter : 879 Pageviews.

 
สนุกดีค่ะ
คนเฝ้าหนังสือจริงๆด้วย
ทีแรกเห็นชื่อเรื่องยังงงๆ


โดย: lovereason วันที่: 21 พฤศจิกายน 2555 เวลา:16:08:55 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

zoi
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




..........
Friends' blogs
[Add zoi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.