ช่วงนี้ชีวิตวุ่นวายเกินพิกัด...แล้วจะกลับมาเขียนเรื่องที่ค้างไว้ให้จบครับ...สักวัน
Group Blog
 
<<
มกราคม 2556
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
9 มกราคม 2556
 
All Blogs
 
คนเฝ้าหนังสือ ตอนที่ 12

ขนุน รู้ว่ามันกำลังอยู่ในอีกโลกหนึ่ง โลกที่เต็มไปด้วยกลิ่นดีๆ สดใสเจิดจ้า โลกที่มันจะไม่ถูกคุกคามจากความหิว ความกระหาย และความเสื่อมถอยของร่างกายที่เป็นไปตามวัย โลกที่มันจะสัมผัสได้ในยามเมื่อหลับตาล้มตัวลงนอน นอกจากโลกทั้งสองที่หมุนเวียนสับเปลี่ยนไปมานี้แล้ว ก็ยังมีอีกโลกหนึ่งรอคอยมันอยู่ โลกที่มันยังไม่รู้จัก แต่เป็นโลกที่มันต้องไปเยือนเมื่อร่างกายนี้ไม่อาจคงอยู่ในโลกทั้งสองอีกต่อไป

ในบางครั้งเมื่อสมองของมันปลอดโปร่งอย่างที่ไม่เคยเป็น มันก็เกิดความสงสัยต่อไปอีกว่า ‘แล้วหลังจากนั้นเล่า จะเป็นอย่างไรต่อไป’ ซึ่งมันยังไม่พบคำตอบ หรืออย่างน้อยก็ไม่เคยได้ยินสุนัขตัวใดพูดถึง แต่มันก็ไม่ได้กังวลอะไรมากนักในเรื่องนี้

‘เพราะในที่สุด คำตอบก็จะมาถึง’

มันยกจมูกขึ้นสูดดมไปในอากาศ สายลมพัดพากลิ่นต่างๆ ให้ล่องลอยไปมาในโลกแห่งความฝัน กลิ่นของดิน กลิ่นของชีวิต กลิ่นที่ฉุนเฉียวรุนแรง กลิ่นที่อ่อนโยน กลิ่นที่อ้อยอิ่ง กลิ่นที่ฟุ้งกระจาย แม้แต่อากาศเองก็ยังมีกลิ่นที่แตกต่างหลากหลาย ยิ่งกว่าสีทั้งเจ็ดของแสงมากมายนัก

ทั้ง โลกแห่งกลิ่น และ โลกแห่งแสงสี ถึงแม้จะแตกต่าง แต่ก็เฉิดฉายไม่แพ้กัน

มีกลิ่นแปลกๆ บางอย่างที่มันไม่เคยพบล่องลอยมากับสายลมโชยอ่อน มันให้ความอ่อนโยนในตอนแรก ก่อนจะค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นกลิ่นที่ให้ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด กลิ่นที่ทำให้มันรู้สึกโหยหา กลิ่นที่ทำให้เลือดในกายสูบฉีดด้วยความเร่าร้อน กลิ่นที่ทำให้มันหวนนึกถึงอดีต

‘หรือจะเป็นกลิ่นที่เคยเจอเมื่อตอนที่ยังตัวเล็ก’ แม้จะไม่น่าเชื่อ แต่ในสมองของมันนั้นสามารถจำแนกกลิ่นต่างๆ และจดจำย้อนกลับไปได้ถึงในยามที่มันยังไม่ลืมตาขึ้นดูโลก

สำหรับมันแล้วภาพนั้นเป็นดั่งหมอกควันลวงตา มีเพียงกลิ่นเท่านั้นที่จริงแท้ตลอดกาล

‘ไม่ใช่’ ไม่มีกลิ่นนี้ในตอนที่มันยังตัวเล็กจ้อย ไม่มีกลิ่นนี้แม้แต่ในยามที่มันยังเบียดตัวอยู่กับพี่น้องในถุงน้ำแคบๆ แสนอบอุ่น ฟังเสียงหัวใจของแม่เต้นระรัวเป็นเสียงดนตรี แม้ดูเหมือนไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่มันก็ได้ข้อสรุป

‘มันต้องเป็นกลิ่นจากอดีตกาล กลิ่นที่ฝังอยู่ลึกลงไปยิ่งกว่าในสมอง’

มันคือกลิ่นที่มีมาก่อนที่บรรพบุรุษของ สุนัข กับ มนุษย์ จะได้พบเจอกันเป็นครั้งแรก ณ กลางท้องทุ่งเวิ้งว้าง ในป่ารก หรือบนทุ่งหิมะ ในยามที่ทั้งคู่ต่างแยกเขี้ยวเข้าใส่กัน เป็นสองเผ่าพันธุ์ที่ต้องดิ้นรนต่อสู้เพื่อให้ธรรมชาติได้เลือกสรรผู้ที่เหมาะสมจะอยู่รอดต่อไป

มันเป็นกลิ่นเก่าแก่ ก่อนที่ความสัมพันธ์ทั้งหมดจะเริ่มต้นขึ้น ความสัมพันธ์ที่ทำให้พวกสี่ขาอย่างมันต้องเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล พวกมันพากันก้าวออกจากบ้านหลังเก่าในท้องทุ่งกว้าง มาสู่บ้านหลังใหม่ของพวกมนุษย์ พวกมันละทิ้งการต่อสู้ จนในที่สุดพวกมันก็ต้องการความรัก ความห่วงหาจากพวกสองขาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

กลิ่นจากอดีตกาลค่อยๆ กระจายเข้าไปในสมองของมัน และอย่างช้าๆ หูของมันก็แว่วยินเสียงหอนอันโหยหวน เสียงที่เศร้าสร้อยเดียวดายจากในหุบเขาลึก เสียงของเหล่าบรรพสุนัขที่ล่วงลับ

ขนุน พลันลืมตาตื่นขึ้นจากความฝัน

“ขนุนลูกแม่ รีบมากินข้าวเร็ว แม่มีของโปรดให้ด้วยนะ” เสียงผู้หญิงที่แสนคุ้นเคยดังมา

มันขยับลุกขึ้น ร่างกายที่ใหญ่โตในตอนนี้ทำให้ทุกคนนึกไม่ออกแล้วว่าครั้งหนึ่งมันเคยตัวเล็กแค่ไหน มันกลับคืนมาสู่โลกแห่งความหิว ความกระหาย และร่างกายที่เริ่มแก่ชราของมันอีกครั้ง มันอยู่ภายในบ้านที่มีรั้วล้อมมิดชิด โลกใบเล็กๆ ของมัน กลิ่นต่างๆ นั้นขมุกขมัว ไม่สดใสเจิดจ้าเหมือนกับโลกในยามที่มันหลับ

“...อยู่ไหนลูก มากินข้าวเร็ว” เสียงเรียกดังขึ้นกว่าเดิม

หางของมันกระดิก ลิ้นห้อย น้ำลายไหลเมื่อนึกถึง อาหาร ผู้หญิงคนนั้น และความรัก ‘หรืออะไรก็ตาม’ ที่รอมันอยู่ เจ้าของ ที่เป็นทั้งหมดของมันในโลกสี่เหลี่ยมเล็กๆ ใบนี้

มันเริ่มออกเดินไปตามเสียงเรียกนั้น

มีอีกเพียงสิ่งเดียวที่มันเฝ้ารอคอย ช่วงเวลาที่ สองขาตัวเล็ก อีกคนหนึ่งจะมาถึง ช่วงเวลาที่มันจะได้ออกเดินไปตามส้นทางแห่งกลิ่นข้างนอกรั้ว ที่ถึงแม้จะไม่เจิดจ้าเหมือนในโลกแห่งฝัน แต่ก็ยังน่าหลงใหลไม่แพ้กัน

มันก้าวเดินไปพร้อมกับอาการปวดสะโพกซึ่งรบกวนมันมาได้พักใหญ่แล้ว ปากของมันอ้าออกเผยให้เห็นช่องว่างอันเกิดจากฟันที่หลุดร่วงหายไปหลายซี่

แม้ดูเหมือนว่าจะยังไม่ถึงเวลาที่มันจะก้าวไปสู่ อีกโลกหนึ่ง นั้น ‘แต่ก็คงใกล้เข้ามาแล้ว’ มันรู้ตัวเองดี ‘นี่แหละชีวิต’

มันออกวิ่งเหยาะๆ พร้อมกับกระดิกหางอย่างร่าเริงเหมือนเช่นทุกครั้ง แต่ลึกลงไปข้างใน กลิ่นจางๆ จากความฝันแห่งบรรพกาล กำลังค่อยๆ ซึมซับเข้าสู่สมองของมันอย่างช้าๆ

ดวงตาของ ขนุน สะท้อนประกายสีแดงวาววับ ก่อนที่มันจะส่งเสียงขู่คำรามเบาๆ ในลำคอโดยไม่รู้ตัว

#####

‘นิทาน’ นอกจากที่เป็นหนังสือสำหรับเด็ก ซึ่งเล่าเรื่องราวต่างๆ ซ้ำไปซ้ำมาแล้ว พอ ยังพบอีกว่า ในหลากหลายช่วงเวลาที่ผ่านมา ได้มีการนำเสนอนิทานในรูปแบบอื่นๆ แม้จะไม่บ่อยนัก แต่ก็มีอยู่ไม่เคยขาด เป็นการนำเสนอนิทานในรูปแบบที่แตกต่างออกไป ไม่ว่าจะเป็น การ์ตูน ภาพยนตร์ ละคร ละครเวที หรือแม้แต่บทเพลง มีการตีความ ดัดแปลง ให้พวกมันเป็นมากกว่าเรื่องเล่าสอนใจสำหรับเด็ก

เขากวาดตามองข้อมูลบนหน้าจอ ก่อนจะหยุดลงที่ภาพหนึ่ง

‘มันมีแม้กระทั่ง นิทานสำหรับผู้ใหญ่ ด้วย’

เขามองดูภาพของ หนูน้อยหมวกแดง ที่สมชื่อมาก เพราะตลอดทั้งร่างของหญิงสาวผู้นี้มี หมวกสีแดง สวมอยู่เพียงใบเดียวเท่านั้น และมันยังเป็นแค่หมวกใบจิ๋ว ไม่ใช่ผ้าคลุมตลอดตัวสีแดงสดอย่างที่ควรจะเป็น ในอินเตอร์เน็ตมีข้อมูลประเภทนี้อยู่มากมาย มันง่ายดายเสียยิ่งกว่าการหาซื้อหนังสือโป๊ในสมัยก่อนหลายเท่า การพยายามปิดกั้นข้อมูลเหล่านี้แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย

‘ลูกควรรู้จักเรื่องพวกนี้เอาไว้บ้าง แต่ยังไม่ถึงเวลาที่ลูกจะไปหมกมุ่นกับมัน ความสัมพันธ์กับเพศตรงข้ามไม่ได้มีเพียงเรื่องพวกนี้ ลูกต้องเรียนรู้ ต้องเข้าใจในเรื่องของความรัก...เอ่อ อะไรทำนองนั้นแหละ’ เขานึกถึงคำพูดของพ่อ และคงไม่เป็นการดีที่เขาจะเปิดอะไรแปลกๆ ดูภายในห้องสมุดของโรงเรียน ถึงแม้จะแทบไม่มีใครอยู่ในห้องนี้เลยก็ตาม

เขากดปิดผลการค้นหาหน้านั้นไป ก่อนเริ่มคิดถึงเรื่องประหลาดทั้งหมดที่เกิดขึ้น

หากว่านิทานเป็นสิ่งมีชีวิต พวกมันเองก็อาจต้องการที่จะมีชีวิตอยู่ตราบนานเท่านาน เหมือนกับความอยากที่จะมีชีวิตเป็นอมตะเหมือนเทพเจ้าของมนุษย์ก็เป็นได้

พวกมันเกิดขึ้นจากจินตนาการของนักเล่านิทาน ก่อนถูกเล่าขานแบบปากต่อปาก จากบิดามารดาสู่บุตรหลานที่ข้างเตียงนอน ถูกดัดแปลง เรียบเรียง เผยแพร่ออกไปด้วยวิธีการต่างๆ สารพัด นั่นคือพวกมันเติบโตขึ้น และสิ่งมีชีวิตจะเจริญเติบโตได้ก็ต้องอาศัยปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่ง

พวกมันเองก็คงต้องการ อาหาร เช่นกัน และเขาไม่อยากให้สิ่งที่ตัวเองคิดนี้เป็นความจริงเลย

‘ชีวิต เพื่อ ชีวิต’

พวกมันอาจต้องการชีวิตหนึ่ง เพื่อนำไปใช้ต่อชีวิตของตน ‘และฉันก็มีหนังสือนิทานที่กำลังหิวจัดเล่มหนึ่ง หลุดเพ่นพ่านอยู่ภายในห้อง ภายในบ้านของฉัน’ เขารีบปัดภาพของหนังสือที่เปิดอ้าออกเหมือนเป็นปากที่อ้ากว้าง ขอบกระดาษที่แหลมคมเหมือนฟันพวกนั้นทิ้งไป

‘มันเป็นไปไม่ได้ ทั้งหมดนี้เป็นเพียงเรื่องบ้าบอ เป็นฝันร้าย เป็นความเพี้ยนของฉันเอง ก็เท่านั้น’

เขามองดูหนังสือหลายเล่มที่วางกองอยู่บนโต๊ะข้างเครื่องคอมพิวเตอร์ของห้องสมุด ทุกเล่มที่เขาค้นออกมานี้ ต่างมีความเกี่ยวข้องอย่างใดอย่างหนึ่งกับนิทานทั้งสิ้น และเขาเริ่มมองพวกมันด้วยความไม่ไว้วางใจ

เสียงของเครื่องปรับอากาศเก่าๆ ภายในห้องสมุดเหมือนจะส่งเสียงดังรบกวนจิตใจมากกว่าทุกครั้ง ‘ผู้คนหายไปไหนกันหมด’ เขามองไปรอบๆ และพบเจอเพียงโต๊ะที่ว่างเปล่า กับหนังสือจำนวนมากมายที่เรียงรายอยู่บนชั้น เขารู้สึกราวกับว่าตัวเองกำลังถูกจ้องมองจากหนังสือเหล่านั้น

‘บ้า มันเป็นไปไม่ได้’

ก่อนเข้านอนเมื่อคืนที่ผ่านมา เขาได้ค้นห้องของตัวเองเพื่อหาหนังสือนิทานที่หายไปเล่มนั้น หลังจากลองหาดูในหลายที่แล้ว ในที่สุดเขาก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงสถานที่แห่งนั้น

การมองเข้าไปใต้เตียงเป็นเรื่องยากที่สุด ไม่ใช่เพราะว่ามันมืด เขามีไฟฉายอันใหญ่เก็บไว้ในห้องด้วยเสมอเผื่อเวลาที่เกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นกลางดึก แต่แสงไฟนั้นก็ไม่อาจช่วยอะไรได้มากนัก เพราะสิ่งที่น่ากลัวนั้นไม่ใช่ตัวความมืดเอง แต่เป็นเพราะจินตนาการของเขาที่เกี่ยวเนื่องกับความมืดพวกนั้นต่างหาก

จินตนาการมืด ที่ถือกำเนิดขึ้นจากความกลัว พวกมันล้วนน่ากลัว เพราะไม่ใช่ความกลัวของคนอื่น แต่เป็นความกลัวของตัวเราเองทั้งสิ้น

สุดท้ายเขาก็ไม่พบหนังสือนิทาน และนั่นยิ่งทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจมากกว่าเดิม

เขาตัดสินใจลุกออกจากโต๊ะ ก่อนหันหลังเดินออกจากห้องสมุด ความรู้สึกที่เหมือนกับถูกจับจ้องยังคงเกาะติดแน่นอยู่บนแผ่นหลัง และเขาต้องพยายามอย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้ตัวเองวิ่งออกไป จนเมื่อประตูห้องสมุดถูกปิดลง เขาถึงกับถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

เขาไม่ได้คิดอย่างจริงจังสักนิดเลยว่า หากหนังสือเหล่านั้นชั่วร้ายเหมือนกับในจินตนาการของเขาจริง ประตูห้องสมุดแค่นี้คงไม่อาจกั้นขวางตัวเขาจากพวกมันได้

เวลาพักกลางวันยังคงเหลืออยู่อีกนานพอสมควร ที่สนามหน้าตึกมีเด็กจำนวนมากกระจัดกระจายกันอยู่เป็นกลุ่มย่อยเพื่อทำกิจกรรมตามที่พวกตนสนใจ เขาเดินช้าๆ ไปตามระเบียงตึก พร้อมกับสอดส่ายสายตามองลงไปด้วยความเพลิดเพลิน บางทีอาจจะมีอะไรให้เขาเข้าร่วมเล่นด้วยก็เป็นได้

‘นี่เป็นปีสุดท้ายแล้วสินะ’

ความคิดของเขาล่องลอยไป ก่อนที่ขาจะพาร่างมาหยุดยืนอยู่ที่ริมระเบียงชั้นสามซึ่งว่างเปล่าไร้ผู้คน ช่วงเวลาพักกลางวันจะไม่ค่อยมีใครขึ้นมาใช้ห้องสมุดมากนัก ส่วนห้องอื่นๆ ที่เหลือบนชั้นนี้ก็เป็นห้องปฏิบัติการต่างๆ ที่ใช้เฉพาะในชั่วโมงเรียน หรือเวลาทำกิจกรรมชมรมเท่านั้น

‘รู้สึกเหมือนกับว่า สนามมันเคยกว้างใหญ่กว่านี้’

เขามองออกไป ไม่ใช่แค่เพียงสนาม แต่รวมถึงตัวตึกเรียน ทั้งหมดที่เป็นโรงเรียนแห่งนี้ เขาคิดว่ามันเคยกว้างใหญ่กว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้

ตัวโรงเรียนนั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก มันอาจจะเก่าแก่ลง ทรุดโทรมลง แต่ไม่มีทางที่มันจะหดเล็กลงได้ บางทีอาจเป็นเพราะเมื่อก่อนเขายังเด็ก เขายังตัวเล็ก โรงเรียนในความทรงจำจึงใหญ่โตกว่าความเป็นจริง เป็นเพราะความคิด เป็นเพราะตัวเขาต่างหากที่เปลี่ยนไป เขาเติบโตขึ้นจากเดิม อย่างน้อยก็ในทางร่างกาย ความสูงของเขาเพิ่มขึ้นมากมายในช่วงเวลาเพียงไม่กี่ปี รวมถึงความเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่เกิดขึ้นตามช่วงวัยนั้นด้วย

เขายังไม่รู้ว่าปีหน้าจะได้ไปเรียนต่อที่ไหน เพื่อนใหม่ที่จะได้พบนั้นจะเป็นอย่างไร จะมีเพื่อนเก่าจากที่นี่ไปเรียนด้วยกันบ้างหรือไม่ พอนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ภาพของอะตอมก็โผล่มาในความคิด ‘เรายังไม่ได้คุยกันอีกเลย’ มันไม่เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา พวกเขาเคยแกล้งกัน เคยโกรธ เคยน้อยใจ แต่มันก็เพียงไม่นาน ไม่นานเหมือนกับครั้งนี้

‘เพราะอะไรกันนะ’

‘ใช่’ ครั้งนี้เขาทะเลาะกับอะตอมที่สระว่ายน้ำ ซึ่งเธอเองก็อยู่ที่นั่นด้วย มันจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับเธอหรือไม่ ‘เธอไม่เกี่ยวอะไรด้วยสักหน่อย’ เขาคิดอย่างนั้น ‘มันจะไปเกี่ยวกับเธอได้อย่างไร’

ภาพของเพื่อนรักถูกแทนที่ด้วยใบหน้าสดใสของใครอีกคน ‘พริม’ เพียงนึกถึงเธอเขาก็รู้สึกว่าใบหน้าของตนเองร้อนวูบขึ้นมา ‘เธอจะไปเรียนต่อที่ไหนกัน ลองถามดูดีไหม’ แต่ปัญหาใหญ่ก็คือ ตัวเขาเองก็ยังไม่รู้อนาคตเลยว่า พ่อแม่จะตกลงใจส่งเขาไปเรียนที่ไหนกันแน่

เขายืนนิ่งอยู่อีกครู่หนึ่ง ก่อนหันหลังกลับมาโดยไม่ได้คำตอบใดๆ ทั้งสิ้น เขาจะลงไปข้างล่าง ไปหาอะไรเล่นสักอย่าง ‘คงดีกว่าจะมายืนคิดถึงเรื่องพวกนี้’

เขากำลังจะเดินผ่านห้องสุดท้ายก่อนถึงทางเลี้ยวซึ่งเป็นห้องดนตรี แต่มีอะไรบางอย่างสะดุดตาเข้า อะไรบางอย่างที่ทำให้เขาต้องเดินย้อนกลับมาอีกครั้ง

‘ช่วยด้วย’

มันไม่ใช่เสียงร้องของใคร แต่เป็นกระดาษสีขาวที่เขียนข้อความด้วยอักษรตัวบรรจงสีดำหนา มันถูกติดอยู่บนประตูของห้องดนตรี ที่เขาพึ่งพบว่ามันไม่ได้ปิดสนิทอย่างที่ควร แต่กลับถูกแง้มเอาไว้เล็กน้อย เมื่อเขาพยายามมองเข้าไปจึงพบว่าข้างใต้ประตูภายในห้องนั้นยังมีกระดาษอีกแผ่นหนึ่งตกอยู่บนพื้น ซึ่งดูเหมือนจะมีข้อความบางอย่างเขียนไว้เช่นกัน

‘หรือว่า’ กระดาษ ทำให้เขานึกถึงหนังสือ และหนังสือ ทำให้เขานึกถึงหนังสือนิทานกับเรื่องแปลกๆ ทั้งหมดที่เกิดขึ้น หัวใจของเขาเริ่มเต้นรัวอย่างไม่อาจควบคุม

ภายในห้องดนตรีไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ แต่เขากลับรู้สึกแปลกๆ เหมือนกับว่าถ้าเขาเปิดมันออก อีกด้านหนึ่งของประตูนั้นจะไม่ใช่ห้องดนตรีที่เขาคุ้นเคย แต่เป็นสถานที่อีกแห่งที่เขาไม่เคยรู้จัก เขาหยุดยืนนิ่ง รู้สึกราวกับว่าตัวเองกำลังถูกจ้องมองอยู่ เขาหันมองไปตามระเบียงทั้งสองด้าน แต่มันยังคงว่างเปล่าไร้ผู้คนอยู่เช่นเดิม

‘ไม่เอาดีกว่า’ ดูเหมือนว่าครั้งนี้ความระมัดระวังตัวจะเป็นฝ่ายชนะความอยากรู้อยากเห็น ‘ไม่เข้าไปก็ไม่ได้มีอะไรเสียหายสักหน่อย’ เขากำลังจะถอยหลังกลับออกมาในตอนที่มีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น ร่างของเขาขยับไปก่อนที่จะทันได้รู้ตัว

เขาเย็นวาบก่อนที่จะได้ยินเสียงดังมาตามระเบียง “ฮ่า ฮ่า ฮ่า”

เสียงหัวเราะของใครหลายคนดังลั่นออกมาจากหัวมุมทางเลี้ยว ก่อนที่กลุ่มเด็กชายที่นำโดยอะตอมจะเริ่มแย่งกันพูดอะไรบางอย่าง

พอยืนงง ตัวเปียกชุ่มด้วยน้ำตั้งแต่หัวจรดเท้า มีถังพลาสติกใบเล็กๆ กลิ้งตกอยู่ที่พื้น ประตูห้องดนตรีเปิดอ้าค้าง กระดาษที่วางอยู่บนพื้นเปียกชุ่ม ตัวอักษะละลายเลอะเลือนจนอ่านไม่ออก เขายังไม่รู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น

“เป็นอย่างไร อาบน้ำเย็นชื่นใจดีไหม” อะตอมเป็นคนพูด โดยมีเสียงหัวเราะจากกลุ่มดังคลอไปด้วย

ความเข้าใจค่อยๆ ซึมซับเข้าสู่ตัวเขา กระดาษเรียกร้องความสนใจ ประตูที่เปิดแง้มเพื่อให้สามารถตั้งถังน้ำไว้ข้างบน และเมื่อเขาเปิดประตูมันก็ตกลงมา กับดักง่ายๆ ที่ได้ผล

ความเข้าใจ แปรเปลี่ยนเป็นความโกรธ

เขาเอื้อมมือซ้ายที่เปียกชุ่มคว้าคอเสื้อของอะตอมก่อนดึงเข้ามา มือขวาเงื้อขึ้น เสียงหัวเราะพลันเงียบหายไป ทุกคนหยุดนิ่งจ้องมองเขา แม้แต่อะตอมเองก็เช่นกัน

เขาหยุดมือขวาของตัวเองไว้ได้ทันก่อนที่มันจะพุ่งออกไป

“ทำไมนายต้องแกล้งฉันด้วย” เขาตะโกนลั่น

ความตกใจของอะตอมค่อยๆ เปลี่ยนไปกลายเป็นอย่างอื่น แวบหนึ่งมันเหมือนจะเป็นความเสียใจ แต่เพียงแวบเดียว มันก็กลายเป็นความโกรธเช่นเดียวกับคนที่จับคอเสื้อเขาเอาไว้

“นายทำอะไร นายไม่รู้หรือ” อะตอมขึ้นเสียงกลับมา

เขางง แต่ยังคงโกรธ “ไม่ ฉันไม่ได้ทำอะไร นายต่างหากที่ทำอะไรแปลกๆ “

“อย่ามาแกล้งโง่ไปหน่อยเลย” อะตอมก็ไม่ยอมแพ้

“ไหน ฉันไปทำอะไรนาย”

“ก็เรื่อง...ก็...” อะตอมอ้ำอึ้ง ก่อนเหลือบมองไปทางกลุ่มของตน “...นายทำอะไรก็รู้อยู่แล้ว”

‘ฉันไม่รู้’ เขาตะโกนในใจ อะตอมคิดว่าเขาทำอะไรบางอย่าง ‘อะไรที่ทำให้เขาโกรธ’ แต่เขาไม่รู้ เขาไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น

“พวกเธอทำอะไรกันอยู่” เสียงผู้หญิงดังมาจากทางห้องสมุด ดูเหมือนเสียงเอะอะจำทำให้ครูที่ประจำอยู่ในห้องออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น

เขารีบปล่อยมือจากคอปกเสื้อของเพื่อน ก่อนที่ทุกคนจะรีบบอกว่าไม่มีอะไร แล้ววิ่งหายลงไป เหลือเพียงเขายืนตัวเปียกปอนอยู่คนเดียว

“เธอถูกพวกเขาแกล้งใช่ไหม” ครูห้องสมุดถาม

“...เปล่าครับ” เขาตอบ และรู้ว่าเธอต้องไม่เชื่อเด็ดขาด “ไม่มีอะไรหรอกครับคุณครู พวกเราเป็นเพื่อนกัน เราคุยกันเองได้ครับ”

ครูจ้องตาเขาครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้า “ได้ ถ้าเธอว่าอย่างนั้น” เธอยิ้ม “รีบไปที่ห้องพยาบาลแล้วทำตัวเองให้แห้งก่อน…ถ้ามีปัญหาอะไรครูทุกคนพร้อมจะรับฟังเธอเสมอ เข้าใจนะ”

“ครับ” เขายกมือไหว้ “ขอบคุณครับคุณครู” ก่อนที่จะรีบเดินจากไปเพราะกลัวว่าเธอจะถามอะไรเพิ่มอีก

ตอนนี้เขารู้แล้วว่าอะตอมโกรธเขา เพราะคิดว่าเขาได้ทำอะไรบางอย่าง แต่ปัญหาสำคัญคือเขาไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรที่ทำให้เพื่อนโกรธได้ถึงขนาดนี้ และยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขากังวลมากกว่า ในตอนที่เขากำลังจะถอยออกมาจากกับดัก ในตอนที่เขาตัดสินใจจะเดินไปจากห้องดนตรี

‘แววตาแบบนั้น แล้วก็หางนั่นด้วย’

เขาเห็นเงาของมันอยู่ภายในห้องดนตรีผ่านทางช่องประตูที่เปิดทิ้งไว้ และนั่นทำให้เขาผลักประตูก้าวเข้าสู่กับดักโดยไม่ทันรู้ตัว มันเป็นเงาของตัวอะไรบางอย่าง ที่ลึกๆ ลงไปแล้วเขารู้สึกมั่นใจว่า ‘มัน’ เป็นตัวอะไร เพราะได้พบเจอกันมาแล้วหลายครั้ง

แต่ที่นี่ไม่ใช่ความฝัน ที่นี่คือโรงเรียน คือโลกจริงๆ ที่เขามีชีวิตอยู่ ‘มันไม่ควรมาอยู่ที่นี่’ และนั่นทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้


Create Date : 09 มกราคม 2556
Last Update : 9 มกราคม 2556 11:40:35 น. 3 comments
Counter : 740 Pageviews.

 
ตามมาเยี่ยมบล็อกค่ะ
หายไปนานเลยนะคะ
ขอบคุณที่เอามาลงให้อ่านค่ะ


โดย: lovereason วันที่: 9 มกราคม 2556 เวลา:21:26:50 น.  

 
อ๊ะ... อย่าบอกนะว่า อะตอมถูกหมาป่าครอบงำความนึกคิด ความรู้สึก และการควบคุม


โดย: อาณาจักรแห่งเรา วันที่: 12 มกราคม 2556 เวลา:22:25:52 น.  

 
อะตอมถูก อะไรบางอย่าง ครอบงำอยู่ครับ


โดย: zoi วันที่: 13 มกราคม 2556 เวลา:20:16:12 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

zoi
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




..........
Friends' blogs
[Add zoi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.