ช่วงนี้ชีวิตวุ่นวายเกินพิกัด...แล้วจะกลับมาเขียนเรื่องที่ค้างไว้ให้จบครับ...สักวัน
Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2557
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
232425262728 
 
23 กุมภาพันธ์ 2557
 
All Blogs
 
ทอย (28)

โฮมปลดปล่อยความคิดของตนให้ล่องลอยอีกครั้ง ในขณะที่กำลังนั่งอยู่หลังพวงมาลัย นำพารถคันเล็กของเขาให้แล่นไปตามท้องถนนที่เกือบจะว่างเปล่า คืนนี้คงต้องเป็นคืนที่ยาวนานอีกครั้งในชีวิตของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย เขาไม่แน่ใจว่าลินคอนยังมีแผนซ่อนอยู่อีกหรือไม่ และตัวเขาเองเป็นส่วนที่อยู่ภายในแผน หรือจะเป็นเพียงแค่ตัวล่อเท่านั้น มีเพียงสิ่งเดียวที่อยู่ภายในความคิดของเขาในตอนนี้ก็คือ

'ไม่รู้ว่าเธอจะเป็นอย่างไรบ้าง'

ซึ่งนับเป็นเรื่องแปลกประหลาดสำหรับเขา ตัวเขากับวสันต์นั้นทำงานด้วยกันมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว เธอนับได้ว่าเป็นผู้ช่วยที่ดีคนหนึ่ง และเขาคิดว่าตัวเองไม่เคยคิดอะไรที่เกินเลยมากไปกว่าการเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดีต่อกัน

'แต่ตอนนี้ฉันกลับกังวลจนแทบจะประสาทเสียอยู่แล้ว นี่ฉันเป็นอะไรไปนะ'

เขาน่าจะมีอายุมากกว่าเธออยู่หลายปี ส่วนจะกี่ปีนั้นเขาเองก็ไม่ค่อยแน่ใจ เขาไม่เคยสนใจรายละเอียดใดๆ เกี่ยวกับตัวเธอมาก่อน แม้แต่ห้องพักของเธอนี้ เขาเองก็พึ่งรู้มาจากตำรวจแว่นคนนั้น 'ไม่สิ' เขาเคยไปส่งเธอใกล้ๆ แถวนั้นแล้ว เพียงแต่ไม่ได้ถาม และไม่ได้ตามขึ้นไปส่งเธอถึงห้องเท่านั้น

โฮมไม่เคยมีชีวิตวัยรุ่นที่หวือหวา แต่ก็ไม่ได้ถึงขนาดที่ว่าเป็นคนที่ไม่มีใครคบ เขาเคยมีแฟน หรืออย่างน้อยก็คิดว่าตนเองเคยมีแฟน เคยอกหัก ซึ่งเมื่อมานึกทบทวนดู เขากลับไม่แน่ใจว่าตอนนั้นใครเป็นฝ่ายที่บอกเลิกกันแน่ ชีวิตของเขามีความบันเทิง ได้ออกไปกับเพื่อนๆ ตำรวจด้วยกันบ้างหลังออกเวร หรือเมื่อคดีที่ยุ่งยากซับซ้อนถูกคลี่หลายลงได้ เพียงแต่ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาไม่เคยมีแฟนเป็นตัวเป็นตนอีกเลยจนกระทั่งถึงทุกวันนี้

เขาค่อยๆ นำรถเข้าจอดข้างทางในย่านพักอาศัยอันเงียบสงบ ก่อนจะอาศัยกุญแจเมืองที่ลินคอนให้หยิบยืมมาในการขึ้นไปยังห้องพักที่ต้องการ แน่นอนที่เขาสามารถออกหมายค้นที่มีท่านผู้ว่าเป็นคนลงนามรับรองได้โดยไม่ยาก แต่เมื่อคิดถึงขั้นตอนที่ต้องติดต่อกับผู้ดูแลอาคาร แต่งเรื่องมาอธิบายพร้อมกับแสดงเอกสารหลักฐาน นำกุญแจสำรองขึ้นไปพร้อมกับผู้ดูแล เพื่อพบกับสถานการณ์ที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่แน่ใจว่ามันจะเป็นอย่างไร

'คุณเอากุญแจเมืองของผมติดไปด้วยน่าจะง่ายกว่า' ลินคอนเป็นฝ่ายสรุปให้ 'และบางทีมันอาจจะมีประโยชน์อื่นๆ อีกด้วยก็เป็นได้'

เขาหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตู มองสำรวจทางเดินแคบๆ นั้นอีกครั้ง ก่อนจะล้วงเอาปืนออกมาถือกระชับเตรียมไว้ เขาสูดลมหายใจเข้าออกสองสามครั้ง พร้อมกับหลับตา และเตือนตัวเองว่าจะต้องตัดสินใจจากสิ่งที่เห็นเท่านั้น ไม่ได้จากสิ่งที่จินตนาการขึ้นมาเอง เขาไม่เคาะ แต่แตะกุญแจดอกนั้นเข้ากับที่จับประตูพร้อมกับท่องคาถาในใจ ซึ่งลินคอนบอกกับเขาว่าจะช่วยให้ใช้งานมันได้ง่ายดายยิ่งขึ้น

'โอเพน เซซามี' และแม้แต่ตัวท่านผู้ว่าเองก็ไม่มีคำอธิบายเหมือนกันว่า ทำไมมันจึงต้องเป็นกลุ่มคำตลกๆ ที่ไร้ความหมายเหล่านี้ด้วย

เขาแง้มประตูออก พร้อมกับมุดผ่านเข้าไปอย่างรวดเร็ว เขาย่อตัวลงต่ำ กวาดตามองไปรอบๆ พร้อมกับปากกระบอกปืนในมือเพื่อตรวจหาความเคลื่อนไหว แต่ก็ไม่พบ ม่านหน้าต่างนั้นไม่ได้ถูกปิดจนสนิท แสงสว่างจากภายนอกจึงยังสามารถเล็ดลอดเข้ามาได้บ้าง จนเมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครแอบซุ่มอยู่ เขาจึงถอยกายกลับไปเพื่อปิดประตูให้เรียบร้อย ในจังหวะนั้นเองที่เขาได้สำรวจมองไปที่เตียงเป็นครั้งแรก

โฮมไม่รู้เหมือนกันว่าเขาหวังจะได้พบเห็นสิ่งใด

หัวใจของเขาพลันเต้นกระหน่ำ บนเตียงนั้นว่างเปล่าไม่มีร่างของใคร หรือสิ่งใดทั้งสิ้น สภาพของเตียงนั้นบอกเล่าเรื่องราวว่าได้มีคนล้มตัวลงนอนบนมันมาก่อน หมอนถูกขยับมีรอยยับย่น ผ้าห่มถูกดึงขึ้นมาคลุมไว้ให้อุ่นสบาย จะขาดไปก็แต่ร่างของผู้ที่เป็นเจ้าของห้องนี้เท่านั้น

'มันมีแต่ร่องรอยการนอน แต่ไม่มีร่องรอยของการลุกออกไป ไม่มีกลิ่นของไม้ขีดไฟ กลิ่นของฟอสฟอรัสพวกนั้น' แต่เขาก็รู้ว่ามันสามารถจางหายไปได้ในเวลาเพียงไม่นานเท่านั้น

โฮมเอื้อมมือที่สั่นอย่างไม่อาจควบคุมของตนออกไปคลำหาปุ่มเพื่อเปิดไฟฟ้าแสงสว่างภายในห้องอย่างยากเย็น 'เธอเสร็จมันไปแล้ว' เขาได้แต่ร่ำร้องซ้ำไปซ้ำมาอยู่ภายในใจ

#####

วสันต์ลืมตาขึ้น สิ่งแรกที่เธอรับรู้ได้ บางทีอาจตั้งแต่ก่อนที่จะลืมตาด้วยซ้ำ ก็คือกลิ่นของดิน กลิ่นของต้นไม้ใบหญ้า กับละอองเกสรดอกไม้ที่ล่องลอยปะปนอยู่ในอากาศ แสงแดดเจิดจ้า อากาศอุ่นสบาย

“ฮัด ชิ้ว”

เธอจามเสียงดังจนแก้วหูลั่น เธอแพ้เกสรของดอกไม้บางชนิด แต่มันก็ตั้งแต่สมัยเด็กๆ ที่เธอยังใช้ชีวิตอยู่นอกเมือง ก่อนที่จะย้ายเข้ามาสู่มหานคร เมืองที่เต็มไปด้วยตึกสูง ถนน กับแผ่นวัสดุปูพื้นทางเดิน จนแทบจะไม่มีผืนดิน กับสีเขียวให้พบเห็น และเธอก็ไม่เคยเกิดอาการแพ้เช่นนี้ขึ้นอีกเลย

“สวัสดี คุณตำรวจ” เสียงทุ้มนุ่มที่เต็มไปด้วยความมั่นใจกล่าวทักทาย

เธอรีบหันมองไปทางต้นเสียง และได้พบกับผู้ชายท่าทางภูมิฐานคนหนึ่ง เขานั่งอยู่ที่ตำแหน่งหัวโต๊ะ ในมือถือแก้วเครื่องดื่มร้อนที่มีควันลอยฉุย เขามีรูปร่างสูงสมส่วน ผมตัดสั้น มีหนวดเคราที่ตัดเล็มไว้เข้ากัน ดูเรียบร้อยแฝงไว้ด้วยอำนาจ ชุดที่เขาสวมใส่นั้นเป็นเสื้อแขนสั้นกับกางเกงขายาวธรรมดา แต่สิ่งที่ทำให้พวกมันดูประหลาดก็คือ สี เธอพยายามนึกหาคำอธิบายที่ใกล้เคียงที่สุด และก็ได้คำตอบว่ามันเป็นสีของ ทราย 'ไม่ใช่เพียงแค่สี แม้แต่พื้นผิวของพวกมันก็มองดูคล้ายกับผืนทรายด้วย'

'มันเป็นไปไม่ได้ ไม่มีใครสามารถสวมใส่เม็ดทรายเป็นเครื่องแต่งกายแบบนี้'
เขายกแก้วในมือขึ้นจิบอึกหนึ่งด้วยท่าทางที่น่าดึงดูดใจอย่างประหลาด

สมองของเธอยังคงมึนงง ไม่อาจรับรู้ได้ในทันทีว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น เธอนั่งอยู่ที่โต๊ะตัวเดียวกันกับเขา ตรงหน้ามีแก้วเครื่องดื่มร้อนนั้นวางอยู่เช่นกัน กับจานใบเล็กใส่ขนมก้อนกลมๆ ที่โรยหน้าด้วยน้ำตาลผงสองชิ้นดูน่ากิน ส่วนรอบกายนั้นคือสวนสวยกว้างขวางอย่างที่เธอไม่เคยพบเห็นมาก่อน 'งานเลี้ยงน้ำชาในสวนกลางฤดูร้อนอย่างนั้นหรือ' ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใดมันจึงทำให้เธอรู้สึกคุ้นเคยกับฉากบรรยากาศแบบนี้อย่างประหลาด

'ฉันมาทำอะไรอยู่ที่นี่ หรือที่จริงแล้วควรจะถามว่า ฉันมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร' เธอมองไปรอบๆ ยังคงคิดอะไรไม่ออกทั้งสิ้น

“ท่าทางคุณจะยังตื่นไม่ดีนัก ลองจิบน้ำชาร้อนๆ ดูสิ เผื่อว่าจะรู้สึกดีขึ้น” เขาแนะนำอย่างห่วงใย

“...ค่ะ” เธอเอื้อมมือออกไป ใช้ทั้งสองมือจับแก้วเพื่อให้รู้สึกถึงความร้อนของมัน ก่อนยกขึ้นเป่าเบาๆ พร้อมกับจิบน้ำชาอย่างช้าๆ นอกจากความหอมสดชื่นแล้ว ดูเหมือนน้ำชานี้จะช่วยให้อาการแพ้ของเธอลดน้อยลงทันที เพราะเธอรู้สึกหายใจได้โล่งโปร่งสบายขึ้นกว่าเดิม

“เอ่อ...น้ำชารสดีมากค่ะ” เธอยังคงนึกอะไรไม่ออก

“ขอบใจนะ แต่ผมไม่ได้เชิญคุณมาที่นี่เพียงเพื่อดึ่มน้ำชาอย่างเดียว คุณตำรวจ” แล้วเธอก็ได้พบเห็นใบหน้าที่เป็นกังวลของเขา และคิดว่าต้องเคยได้ยินเสียงของเขามาก่อน 'เมื่อไม่นานมานี้เองด้วย'

“คุณหมายถึงเรื่อง...” แล้วเธอก็ตัดสินใจที่จะถามออกไปตรงๆ “ขอโทษด้วยนะคะ แต่ว่าคุณเป็นใคร ฉันไม่แน่ใจว่าเราเคยรู้จักกันมาก่อน”

ใบหน้าของเขาแสดงความไม่พอใจออกมา แต่ก็เพียงแวบเดียวเท่านั้น “เราเคยคุยกันมาก่อนแล้ว คุณตำรวจ ถึงแม้จะเป็นการพูดคุยผ่านทางโทรศัพท์ก็ตาม” เขามองเธอตรงๆ “ผมตั้งความหวังกับคุณไว้มากเลยนะ” และสิ่งที่เขาไม่ได้พูดออกมาก็คือ 'โปรดอย่าทำให้ผมผิดหวังไปมากกว่านี้อีกเลย'

ในที่สุดเธอก็จำเสียงของเขาได้ เธอนึกออกแล้วว่าเขาเป็นใคร “คุณคือ คุณพ่อของ คิง ปริ้น เด็กผู้ชายที่แจ้งความว่าหายตัวไปคนนั้นนั่นเอง”

“คิง แซนแมน เป็นนามของผมครับ”

“ค่ะ คุณคิง ขอโทษด้วยนะคะที่...” เขาขัดขึ้นก่อนที่เธอจะพูดจบ “เรียกผมว่า แซนแมน ดีกว่าครับ ผมคุ้นเคยกับการเรียกแบบนั้นมากกว่า”

“ค่ะ คุณแซนแมน ต้องขอโทษด้วยนะคะ แต่จนถึงตอนที่ดิฉันออกเวรก็ยังไม่มีการแจ้งว่ามีใครพบเห็นเด็กชายเข้ามาเลย นอกจากนี้ดิฉันก็ได้แจ้งให้ทางสายตรวจคอยมองหาตามที่ต่างๆ แต่ก็ยังไม่พบเช่นกัน และเนื่องจากคุณแทบจะไม่ได้ให้ข้อมูลอะไรกับดิฉันเลย มันก็ยิ่งยากขึ้นไปอีก ได้พบกันแบบนี้ก็ดีแล้วค่ะ ดิฉันจะได้สอบถามรูปพรรณ และขอทราบข้อมูลของเหตุการณ์ก่อนที่เขาจะหายตัวไปด้วย...ค่ะ...”

เธอค่อยๆ พูดช้าลงในตอนท้ายเพราะนึกเรื่องแปลกๆ ทั้งหมดนี้ออกแล้ว เมื่อถึงเวลาออกเวรเธอก็ตรงกลับมาที่ห้องพัก และนั่นก็เป็นเวลา กลางคืน แล้ว กลางคืนที่มีอากาศเยียบเย็น เป็นคืนก่อนถึงวันเทศกาลของขวัญที่คุณครอสมาหายตัวไปอย่างลึกลับ เธออาบน้ำ เข้านอน แล้วก็หลับไป เธอไม่เคยพบเห็นสวนสวยแบบนี้ในมหานครมาก่อน และไม่คิดว่าจะมี และถึงมีจริงมันก็ไม่อาจอยู่ในสภาพเขียวขจีแบบนี้ได้

เธอหันมองไปรอบๆ ผืนดิน ต้นหญ้า ดอกไม้ ต้นไม้ สายลม แดดใส ทุกสิ่งล้วนเหมือนจริง 'ไม่' ทุกสิ่งเป็นของจริงอย่างไม่ต้องสงสัย เธอออกแรงเหยียบลงไปบนผืนดิน และรู้สึกได้ถึงความยืดหยุ่นแต่มั่นคงของมัน เก้าอี้ โต๊ะ ชุดน้ำชา ทุกอย่างล้วนเป็นของจริง แต่มันจะเป็นจริงไปไม่ได้

มีคำอธิบายอยู่เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น

“ต้องขอโทษด้วย แต่มันก็ไม่ใช่ความผิดของผมเสียทีเดียวหรอกนะ” เขาพูด เหมือนจะไม่ทันได้พบเห็นท่าทางพิลึกของเธอ มันไม่ได้ฟังเหมือนว่าเขาพยายามที่จะแก้ตัว แต่เหมือนกับเขาพยายามหาวิธีที่จะอธิบายอะไรบางอย่างที่ยุ่งยากให้ฟังเข้าใจง่ายขึ้น

“เรื่องแรกเลยก็คือ รูปร่างหน้าตาของเขา...คือ อย่างไรดี ผมไม่คิดว่าเขาจะยังมองดูเหมือนเดิมใน โลกความฝัน ของคุณ ผมมีรูปถ่ายของเขา แต่มันคงไม่ช่วยอะไรมากนัก” เขาวางรูปถ่ายใบหนึ่งลงบนโต๊ะ เด็กชายที่กำลังยิ้มนั้นดูโดดเด่นอยู่กลางภาพ เธอได้แต่มองไม่กล้าที่จะยื่นมือออกไปจับต้องมัน

'เขาพูดว่าโลกความฝันอย่างนั้นหรือ แต่ มันควรจะกลับกันมากกว่า'

“ส่วนเรื่องที่เขาหายตัวไป มันก็ไม่ได้มีอะไรมาก...ก็...เอ่อ...” เขาถอนหายใจ “เราทะเลาะกันนิดหน่อย ผมคิดว่าเขาขังตัวเองอยู่ในห้องแต่ผมเข้าใจผิด ผมพยายามที่จะบอกให้เขาเข้าใจถึงความสำคัญของการศึกษาเล่าเรียน ให้เขาตั้งใจ ไม่เอาแต่เที่ยวเล่นอย่างที่ผ่านมา เดี๋ยวนี้การแข่งขันต่างๆ นั้นสูงมาก ถึงเขาจะเป็นลูกชายเพียงคนเดียวของผม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะได้รับสิทธิพิเศษใดๆ มากกว่าเด็กคนอื่น” เขามองดูเธอ “บางทีคุณอาจไม่เข้าใจ แต่ผมคิดว่าแม้แต่ในโลกความผันของพวกคุณเรื่องนี้ก็ต้องเป็นความจริงเหมือนกันไม่ใช่หรือ...”

“เดี๋ยวนะคะ” เธอขัดขึ้น “ที่นี่ต่างหากล่ะ ที่เป็นโลกในความฝัน” ใช่ นั่นเป็นคำอธิบายเพียงหนึ่งเดียวที่เธอคิดว่าสมเหตุสมผลที่สุด 'สมเหตุสมผลอะไรกันล่ะ' “ฉันเข้านอน แล้วจู่ๆ ก็โผล่มาที่นี่” เธอโบกมือไปรอบๆ ตัว “ในสวนกลางฤดูร้อนทั้งๆ ที่มันยังเป็นฤดูหนาวอยู่เลย”

“ฉันกำลัง...ฝัน แต่มันเป็นความฝันที่เหมือนจริงอย่างแปลกประหลาด” เธอพูดอย่างไม่ค่อยมั่นใจ และคิดว่าถ้าหากให้เธอต้องพิสูจน์เรื่องนี้ด้วยการจุ่มนิ้วลงในน้ำชาร้อนๆ หรือโขกศีรษะลงไปบนโต๊ะที่อยู่ตรงหน้า เธอคงไม่กล้า และมั่นใจว่าจะต้องได้รับบาดเจ็บแน่ 'ไม่ว่าจะเป็นความฝัน หรือไม่ใช่ความฝันก็ตาม'

เขายิ้มเนือยๆ ราวกับคาดไว้อยู่แล้วว่าเธอน่าจะตอบสนอง หรือคิดอะไรที่คล้ายๆ แบบนี้

“เอาล่ะ คุณตำรวจอย่าได้นึกลองทำอะไรบ้าๆ เพื่อพิสูจน์ว่ากำลังอยู่ในความฝันก็แล้วกัน เพราะผมรับรองได้เลยว่ามันไม่ใช่ แต่ที่คุณพูดมานั้น มันก็ไม่ได้ผิดเสียทีเดียว” เขายกมือขึ้นห้ามเมื่อเธอพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง “ฟังผมก่อน” เขานั่งพิงพนักเก้าอี้มองขึ้นไปบนท้องฟ้า

“ผมอาศัยอยู่ที่โลกแห่งนี้ มันคือความเป็นจริงของผม คุณอยู่ที่โลกนั้น และมันเป็นความเป็นจริงของคุณ ดังนั้น อะไรกันแน่ที่เป็นความฝัน”

ร่างของเขาค่อยๆ ลอยขึ้นจากเก้าอี้อย่างช้าๆ ราวกับเขาสามารถลบกฎของแรงดึงดูดให้หายไปได้ “ผมคือ แซนแมน ผมทำแบบนี้ และอะไรอีกหลายๆ อย่างได้ในโลกความเป็นจริงของผม” เธอเห็นว่าละอองเม็ดทรายบนเสื้อผ้าของเขาเริ่มร่วงหล่นลงมา แต่มันไม่ใช่แบบนั้น มันเหมือนกับประกายของดอกไม้ไฟสีทองที่ร่วงหล่นลงมามากกว่า 'ช่างสวยงามราวกับภาพฝัน นั่นก็จริง นี่คือความฝัน อย่างน้อยก็ในมุมมองของฉัน' เธอนึกในใจ

“โปรดช่วยตามหาลูกชายของผมให้พบด้วย เขามีความสำคัญกับผมมาก”

“แล้วฉันจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นเขา ถ้าหน้าตาอาจไม่เหมือนกับในรูปนี้อีกแล้ว” เธอหยิบรูปถ่านนั้นขึ้นมาถือไว้

“คุณจะรู้ทันที เมื่อได้พบเขา เพราะเขาคือ คิง ปริ้น ลูกชายคนเดียวของ แซนแมน”

'ถึงคุณจะพูด จะพยายามแสดงออกว่าตัวเองยิ่งใหญ่ขนาดไหน มีความสามารถมากขนาดไหน แต่ก็มีสิ่งที่คุณไม่อาจทำได้ คุณข้ามไปตามหาเขาเองไม่ได้ คุณถึงต้องพึ่งฉันแบบนี้' แล้วความคิดอย่างหนึ่งก็แวบขึ้นมาในสมองของเธออย่างฉับพลัน และมันมีความสำคัญมาก

“คุณ คิง แซนแมน คุณต้องตอบคำถามฉันมาตามตรงข้อหนึ่ง คุณได้...พาตัว คุณซานต้า ครอส มาไว้ที่โลกแห่งนี้หรือไม่” เธอจ้องหน้าเขานิ่ง

“ผมไม่ได้ทำ” เขาตอบ และเธอรู้ว่ามันเป็นความจริง

“นอกจากตัวคุณแล้ว ยังมีใครที่ทำแบบนี้ได้อีกหรือไม่ ฉันหมายถึงการนำคนข้ามจากโลกหนึ่ง มายังอีกโลกหนึ่ง ไม่ว่าโลกอันไหนจะเป็นความฝัน หรือความจริงก็ตาม” เธอถามต่อ

“สำหรับโลกแห่งนี้ มีผมคนเดียวเท่านั้นที่ทำได้” เขาตอบอย่างมั่นใจ
“เดี๋ยวนะคะ” เธอฉุกใจคิดอะไรได้อย่างหนึ่ง “แล้วถ้าอย่างนั้นลูกชายของคุณจะข้ามไปยังโลกของดิฉันได้อย่างไรกัน”

“...นั่นสินะ ผมเองก็ไม่ค่อยแน่ใจ มันอาจเป็นอุบัติเหตุ และเขาเป็นลูกชายของแซนแมน ลูกชายคนเดียวของผม” คำพูดช่วงหลังนี้คล้ายกับเขามีความรู้สึกภูมิใจอยู่ไม่น้อย

สนามของกาล-อวกาศ ความเป็นจริงที่สัมผัสเข้ากับละอองสีทองเหล่านั้นเริ่มเกิดการโค้งงออย่างรุนแรงจนทำให้ทุกสิ่งในบริเวณนั้นยุบตัวออกจากความเป็นจริง เกิดเป็นหลุมที่ดึงดูดทุกสิ่งให้ไหลลงไปในวังวนที่ไร้ก้น ร่างของวสันต์พลันถูกยืดให้ยาวออกแล้วม้วนตัวไหลลงไปในหลุมดำ ผ่านขอบที่แซนแมนเรียกว่า ขอบฟ้าเหตุการณ์ นั้นหายเข้าไป


Create Date : 23 กุมภาพันธ์ 2557
Last Update : 23 กุมภาพันธ์ 2557 11:29:58 น. 0 comments
Counter : 673 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

zoi
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




..........
Friends' blogs
[Add zoi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.