ช่วงนี้ชีวิตวุ่นวายเกินพิกัด...แล้วจะกลับมาเขียนเรื่องที่ค้างไว้ให้จบครับ...สักวัน
Group Blog
 
<<
กันยายน 2557
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
28 กันยายน 2557
 
All Blogs
 
ทอย (56)

ชายในวัยสี่สิบผู้ซึ่งเริ่มสวมใส่แว่นสายตามาตั้งแต่สมัยที่เรียนอยู่ในชั้นประถม จนกระทั่งมันได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่ง แทบจะเรียกได้ว่าเป็นอวัยวะอีกชิ้นหนึ่งของเขาเลยทีเดียว ผมด้านบนและด้านข้างของเขานั้นตัดสั้นมองดูเรียบร้อย แต่กลับปล่อยผมทางด้านหลังไว้ยาวจนกระทั่งสามารถรวบมัดได้ เขากำลังนั่งจมอยู่กับความคิดของตนเอง

เขาอยู่ที่หน้าเครื่องคอมพิวเตอร์ซึ่งเงินส่วนหนึ่งที่ใช้ในการซื้อมันมาเมื่อหลายปีก่อนนั้นได้จากการตีพิมพ์หนังสือนิยายแฟนตาซีเล่มแรกในชีวิตของเขาอย่างไม่คาดฝัน เขาไม่ใช่นักเขียน เขามีงานประจำอย่างอื่นทำตามความรู้ที่เรียนจบมา ถึงกระนั้นเขาก็ใช้เวลาที่เหลือจากการทำงาน ชีวิตครอบครัว และการเล่นเกม ให้หมดไปกับการนั่งพิมพ์อะไรบางอย่างขึ้นมาอยู่เสมอ และยังคงหวังว่าสักวันหนึ่ง เขาจะสามารถบอกกับตัวเองว่า 'ฉันเป็นนักเขียน' ได้เสียที

เย็นวันนี้เขารู้สึกตื่นเต้นคึกคักขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเกิดความคิดบางอย่างขึ้น ซึ่งว่ากันตามจริงแล้วมันก็ไม่ได้เป็นความคิดที่แปลกแหวกแนวอะไรนัก เพราะได้ถูกใช้ในนิยายวิทยาศาสตร์มาแล้วมากมายจนนับครั้งไม่ถ้วน

จะเกิดอะไรขึ้นหากโลกที่พวกเราใช้ชีวิตอยู่ในตอนนี้เป็นเพียงภาพลวงตา ทุกสิ่งทุกอย่างถูกประกอบขึ้นจากตัวเลข เป็นเพียงข้อมูลที่อยู่ภายในระบบเสมือนจริงที่เป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ยักษ์ ซึ่งบางทีจุดเริ่มต้นของมันอาจเริ่มด้วยการพยายามค้นหาคำตอบของมนุษย์ในอนาคตที่มีวิทยาการอันล้ำหน้าเพื่อตอบคำถามที่สร้างความสงสัยมาอย่างยาวนานในหมู่มนุษย์ผู้ไม่เหมือนกับสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นใด ผู้สงสัยในทุกสิ่ง ทั้ง จักรวาล อวกาศ ชีวิต และแม้แต่ ความเป็นจริง ที่พวกเขาดำรงค์อยู่

จักรวาลแห่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร เราจะสิ้นสงสัยหรือไม่ถ้าหากว่าเราสามารถที่จะสร้างทุกสิ่งขึ้นมาได้ใหม่อีกครั้ง เมื่อเราได้ลองเล่นบทบาทเป็นผู้สร้างเสียเอง ชีวิตเกิดจากอะไร ตายแล้วไปไหน ระบบเสมือนจริงที่สร้างขึ้นมาจากตัวเลขศูนย์และหนึ่งจะสามารถให้คำตอบกับเราได้หรือไม่

จากการเริ่มต้นของข้อมูลลำดับแรกภายในความว่างเปล่าของระบบ ได้จุดระเบิดให้จักรวาลแห่งใหม่ถือกำเนิดขึ้นมา ก่อนที่มันจะขยายตัวออกอย่างรวดเร็วด้วยปริมาณของข้อมูลมากมายมหาศาลที่ทวีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด จนแม้แต่ตัวของระบบเสมือนจริงเองก็มีความจำเป็นที่ต้องถูกเพิ่มสมรรถนะขึ้นอีกหลายครั้ง จนกระทั่งกลายมาเป็นระบบขนาดยักษ์ในที่สุด

พวกเขาเฝ้าดูทุกสิ่งที่เกิดขึ้น และดำเนินไปภายในนั้นอย่างพิศวง แต่มันจะให้คำตอบ หรือเพิ่มคำถามให้มากขึ้นกันแน่ จนกระทั่งวันหนึ่ง ใครบางคนก็อาจจะเกิดความคิดบางอย่างขึ้นมา มนุษย์มักเป็นเช่นนั้นเสมอ

มันจะดีกว่าไหมถ้าพวกเขาจะย้ายตัวเองเข้าไปอยู่ภายในระบบที่พวกเขารู้ว่ามันทำงานได้อย่างไร

จะปลอดภัยกว่าไหมถ้าเราจะอยู่อาศัยภายในจักรวาลที่ตัวเองเป็นผู้สร้างขึ้น ทิ้งชีวิตจากระบบที่ไม่มีสิ่งใดช่วยยืนยัน เพื่อเข้าไปอยู่ในระบบที่พวกเขาสามารถเชื่อมั่นในทุกสิ่ง ทั้งชีวิต และความตาย จะไม่ใช่ปัญหากวนใจอีกต่อไป เพราะไม่ว่าจะถูกเปลี่ยนแปลงรูปแบบไปเช่นไร มากมายสักกี่ครั้ง พวกเขาก็ยังคงมั่นใจได้ว่าข้อมูลของพวกเขาจะยังคงอยู่ไปตลอดกาล ไม่มีความน่ากลัว ไม่มีอะไรให้ต้องสงสัย ไม่มีอะไรที่จะต้องกังวลอีกต่อไป

แล้วการเปลี่ยนตัวเองให้เป็นข้อมูลเพื่อเข้าไปอยู่ในจักรวาลเสมือนจริงแห่งใหม่ก็เริ่มต้นขึ้น แน่นอนที่จะต้องมีการต่อต้านเกิดขึ้น ความเชื่อทุกอย่างล้วนเป็นเช่นนั้น แต่มันจะดำเนินต่อไปโดยถูกผลักดันด้วยความสงสัย และหวาดกลัวจากผู้ที่ถูกทิ้งไว้ข้างนอก

แต่พวกเขาจะใช้ชีวิตกันอย่างไรในจักรวาลที่รู้ว่าทั้งหมดนั้นเป็นเพียงข้อมูล นั่นเป็นสิ่งที่เขายังจินตนาการไม่ออก แต่มันคงเป็นชีวิตที่แปลกพิลึก บางทีอาจเป็นเหมือนกับสวนสวรค์ หรือไม่อย่างนั้นก็คงราวกับติดอยู่ในนรก และเขาก็ยังจำเป็นที่จะต้องเพิ่มปมบางอย่างลงไปในเนื้อเรื่องเพื่อให้มันน่าสนใจยิ่งกว่าเดิม อาจเป็นเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้ผู้ที่อยู่ในระบบทั้งหมดนั้นถูกลบความทรงจำในเรื่องนี้ทิ้งไป ลืมไปว่าพวกเขาเองที่เป็นผู้สร้างระบบเสมือนจริง สร้างจักรวาลทั้งหมดนี้ขึ้นมา

เขามองไปบนโต๊ะแล้วพบกับจานผลไม้ที่กินเหลือทิ้งไว้

มันอาจเริ่มต้นจากใครคนหนึ่งไปกัดกินผลแอปเปิ้ลที่เป็นเหมือนไวรัสคอมพิวเตอร์ชนิดหนึ่งเข้า ไวรัสที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้ลบข้อมูลบางอย่างโดยเฉพาะ ก่อนที่มันจะแพร่กระจายไปจนทั่วทั้งระบบ แต่ใครกันที่จะเป็นคนสร้างไวรัสแบบนี้ขึ้นมา บางทีอาจเป็นคนที่รู้สึกเบื่อหน่ายกับระบบนี้ เบื่อกับความเป็นจริง กับทุกสิ่งที่เป็นอยู่ อาจเป็นลัทธิความเชื่อบางอย่างที่เกิดขึ้นใหม่ อาจเป็นการแก้แค้น หรือการกลั่นแกล้งที่เลยเถิดจนเกินควบคุม

แล้วหากว่าโลกที่พวกเขาสร้างขึ้นมาใหม่นั้นยังคงล้าหลังกว่าโลกที่พวกเขาทิ้งไว้เบื้องหลังมาก อาจอยู่ในยุคสมัยนี้ ยุคที่คอมพิวเตอร์พึ่งจะเริ่มขึ้นได้ไม่นาน ยุคที่การเดินทางออกสู่อวกาศกลายเป็นความจริงขึ้นมาแล้ว แต่การอยู่อาศัย หรือออกไปทำอะไรที่มากกว่านั้นคล้ายกับอยู่อีกเพียงไม่ไกล แต่ก็ไม่อาจเอื้อมไปให้ถึงได้ เหมือนกับตัวเขาที่กำลังนั่งนึกถึงเรื่องพวกนี้อยู่ในตอนนี้ นึกถึงความเป็นจริงที่เขาคิดว่าเป็นเพียงจินตนาการบ้าๆ ของตัวเอง

'แล้วก็ต้องมีสิ่งแปลกๆ เกิดขึ้น'

ทันใดนั้นเอง ตรงหน้าของเขา ตรงพื้นที่ว่างเปล่าที่อยู่ระหว่างโต๊ะที่เขานั่งเป็นประจำ โต๊ะที่เป็นทั้งที่พิมพ์งาน ที่ทำการบ้านของลูก ที่นั่งกินข้าว แต่ส่วนใหญ่ถูกใช้เป็นที่วางของ กับโซฟายาว และโทรทัศน์ซึ่งได้ดูดกลืนเวลาในชีวิตของเขาไปไม่น้อย พื้นที่ที่อยู่ตรงกึ่งกลางของเหลี่ยมนั้น มันเกิดการสั่น เหมือนกับผิวถนนกลางแดดจ้าในหน้าร้อน เหมือนกับสิ่งที่มักเกิดขึ้นในทะเลทรายซึ่งเขาเคยดูในรายการสารคดี อากาศที่ถูกบิดเบี้ยวจนเต้นส่ายไหวไปมา

ร่างสามร่างพลันปรากฎขึ้นมาจากความว่างเปล่า หนึ่งหญิง สองชาย กลางบ้านของเขาเอง หนึ่งในนั้นยกของที่คล้ายกับปืนชี้ตรงมาที่เขา พร้อมกับร้องบอกให้อยู่นิ่งนิ่งด้วยภาษาที่เขาเข้าใจได้อย่างชัดเจน ท่าทางของคนผู้นี้เหมือนกับตำรวจ ไม่ใช่ตำรวจจากอนาคต แต่เป็นจากในอดีตซึ่งดูได้จากเสื้อผ้าที่ทั้งสามสวมใส่อยู่

'ฉันอยากเขียนเรื่องเกี่ยวกับพวกเขา'

นั่นเป็นความคิดแรกที่เกิดขึ้น ก่อนที่ทุกสิ่งรอบกายของเขาจะเริ่มไหวยวบยาบอย่างน่าเวียนหัว แล้วเขาก็ได้เห็นบางอย่างเกิดขึ้นอีก บางอย่างที่เขาจะไม่มีวันเชื่อ มันไม่ใช่ความเป็นจริง คล้ายกับว่าทุกสิ่งที่อยู่รอบกายเขา รวมไปถึงอากาศ ทั้งหมดนั้นประกอบขึ้นมาจากตัวเลขเล็กๆ จำนวนมากมายมหาศาล ราวกับว่าอะตอมของทุกสิ่งได้ถูกขยายออก และปลดปล่อยความเป็นจริงทั้งมวลที่ถูกเก็บกักเอาไว้ภายใต้ชื่ออนุภาคแปลกๆ ทั้งหลายนั้นให้แสดงตัวตนที่แท้จริงของพวกมันออกมาให้เขาเห็น

'อนุภาคคณิตสัจ' คำแปลกๆ นี้พลันผุดขึ้นมาในห้วงความคิดของเขา

“ยกมือขึ้นมาให้เห็น ช้า ช้า ผม บอก ให้ คุณ ยก มือ ขึ้น” โฮมไม่ได้ตะคอก แต่เน้นเสียงเป็นคำสั่ง ปืนในมือเล็งไปที่ชายแปลกหน้าซึ่งนั่งอยู่ข้างหลังสิ่งของบางอย่าง เครื่องมือที่คล้ายกับอันที่เขาเคยพบเห็นภายในห้องทดลองของเอดิสัน เพียงแต่มีขนาดเล็กกว่ามาก

“สารวัตร ที่นี่มันแปลกแปลกอยู่นะ” ทอยกระซิบ เขาบอกได้ว่าตนเองกำลังอยู่ภายในสิ่งก่อสร้างบางอย่างที่ดูทันสมัยกว่าในยุคของเขา 'ตอนแรกก็เป็นอดีต แล้วทีนี้ก็อนาคต' ซึ่งเขายังไม่แน่ใจว่าจะจัดห้องสี่เหลี่ยมที่พบเมื่อก่อนหน้านี้ไว้ว่าเป็นช่วงเวลาใดดี

ภายในนี้มีอยู่หลายสิ่งที่คุ้นตา แต่บางอย่างเขาก็ยังเดาไม่ถูกเหมือนกันว่าน่าจะเป็นอะไร ตามฝาผนังนั้นมีกระจกอยู่มากจนเกินไป มีสวนเล็กๆ ด้านนอกเพื่อการตกแต่ง และห่างออกไปไม่ไกลนักก็เป็นสิ่งก่อสร้างหลังอื่นที่คาดว่าน่าจะมีรูปแบบที่คล้ายคลึงกัน แต่โลกทั้งหมดนี้ให้ความรู้สึกถึงบางสิ่งที่เปราะบางอย่างประหลาด บางสิ่งที่พร้อมจะพังทลายลงมาได้ทุกเมื่อ และทุกเมื่อนั้นก็อาจหมายถึง ตอนนี้

“...นี่มันอะไรกัน” ชายสวมแว่นตาที่นั่งอยู่นั้นค่อยๆ ยกมือชูขึ้นตามคำสั่ง แต่แล้วก็หยุดชะงัก เขาจ้องมองแขนทั้งสองของตัวเองราวกับไม่เคยเห็นพวกมันมาก่อน ดูเหมือนอนุภาคประหลาดพวกนั้นจะไม่ได้แค่มีอยู่ในสิ่งที่อยู่รอบกายเท่านั้น แต่ดูเหมือนมันจะรวมไปถึงร่างกาย ทุกสิ่งที่อยู่ภายใน ทุกสิ่งที่เป็นตัวเขา อาจแม้กระทั่งวิญญาณ ถ้ามันจะมีอยู่จริง

'ฉันคงไม่มีโอกาสได้เขียนเรื่องนี้เสียแล้ว' มันคือความคิดสุดท้ายของชายผู้นี้

“จงเริ่มต้น”

เสียงของสาวน้อยหมวกแดงดังกึกก้อง ในขณะที่โลกความฝันในความฝันแห่งนี้กลับคืนสู่การเป็นข้อมูล ตัวเลข ทุกสิ่งหายไป ไม่มีข้างนอก ไม่มีบ้าน ไม่มีข้างใน ไม่มีชายสวมแว่น มีเพียงตัวเลขมากมายมหาศาล ตัวเลขที่เริ่มนับถอยหลัง

เก้า แปด เจ็ด หก ห้า สี่ สาม...

ทอยคว้าข้อมือของโฮมกับสโนวไว้ได้ทั้งคู่ เขาไม่รู้ว่าตัวเองคิดจะทำอะไร แต่เขาต้องลงมือทำอะไรสักอย่างในขณะที่โลกความฝันแห่งนี้พลันหายวับไปต่อหน้าต่อตา

#####

“รีบพาพวกเขากลับมาเร็ว”

วสันต์เร่งเมื่อมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับทั้งสาม หรืออันที่จริงคือมองไม่เห็นแล้วต่างหาก เพราะภาพของเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นภายในไกอาเน็ตซึ่งแซนแมนสั่งให้ผู้หญิงที่ไร้อารมณ์นั้นฉายผ่านออกมาทางผนังสี่เหลี่ยมรอบตัวให้ทุกคนได้เห็นกลับกลายเป็นความมืดมิดที่เธอมั่นใจว่ามันไม่ได้เป็นเพียงเพราะภาพถูกตัดหายไป

เธอไม่รู้ว่ามันมีความแตกต่างกันอย่างไรระหว่างโลกความฝันที่พวกเธอได้ท่องผ่านมา กับโลกความฝันในไกอาอะไรนั่นที่แซนแมนเองก็ทำท่าว่าไม่อยากจะอธิบาย เขาเพียงแค่สรุปง่ายๆ ว่ามันคือโลกความฝันที่ถูกสร้างขึ้นโดยผู้ที่อยู่ในความฝันอีกที

“ผมกำลังพยายามอยู่” แซนแมนลากนิ้วของเขาไปมาบนแป้นควบคุมอย่างรวดเร็ว ทรายบนเสื้อนั้นพัดพริ้วราวกับกำลังเกิดลมพายุบ้าคลั่ง

“...ระบบไกอาเน็ต ขัดข้อง” เสียงหญิงสาวนั้นฟังดูต่างไปจากเดิมเล็กน้อย

“เปิดใช้ระบบสำรอง” แซนแมนร้องบอก นิ้วยังคงเคลื่อนไหวไม่ยอมหยุด

“ระบบสำรอง...ล้มเหลว” คราวนี้เสียงของหญิงสาวฟังดูคล้ายกับคนที่พยายามจะกลั้นหัวเราะเอาไว้ ทุกคนต่างเงยหน้าขึ้นพร้อมกัน มือของแซนแมนหยุดชะงัก เสียงหญิงสาวนั้นฟังดูคุ้นเคยกว่าที่ผ่านมา และไม่ไร้อารมณ์อีกแล้ว

“ระบบสำรองของสำรองก็...ล้มเหลว” แป้นควบคุมที่แซนแมนใช้งานอยู่นั้นค่อยๆ หดกลับลงสู่พื้น คนทั้งสี่ต่างรีบเข้ามายืนรวมกันอยู่ตรงกลางของห้องสี่เหลี่ยมที่ยังคงดำมืด “ไกอาเน็ตกำลังจะเริ่มขั้นตอนการเปิดระบบขึ้นใหม่อีกครั้ง แต่คงต้องใช้เวลาอีกสักพัก และข้อมูลดั้งเดิมจะถูกลบทิ้งไปจนหมด”
ตอนนี้มันชัดเจนแล้วว่าเสียงที่กำลังได้ยินอยู่นี้เป็นเสียงของสาวน้อยหมวกแดงคนนั้น

“มนุษย์พวกนี้สามารถสร้างอะไรได้น่าสนใจดีเหมือนกัน...แต่มันก็เท่านั้น”
คุณนายวิกเซ่นรีบหยิบปากกาขึ้นมาขีดเขียนตัวเลขที่คุ้นเคยลงบนฝ่ามือของตนเองอีกครั้ง พร้อมหันไปสบตากับกู๊ดแมน ก่อนที่ทั้งคู่จะยื่นมือออกไปจับแขนของวสันต์ไว้คนละข้าง และอีกข้างจับซึ่งกันและกันเอาไว้ ไม่มีความจำเป็นอะไรที่พวกเขาจะต้องเป็นห่วงแซนแมน ไม่ว่าจะเป็นคนก่อน หรือคนปัจจุบันก็ตาม

“ทุกอย่างกำลังจะเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง” สาวน้อยหมวกแดงประกาศอย่างคึกคักมีชีวิตชีวา “จากที่นี่ ไปสู่ทุกที่”

ห้องสี่เหลี่ยมแห่งนี้พลันเกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ก่อนที่ทั้งสี่คนจะเกิดความรู้สึกประหลาดขึ้น ร่างของทั้งหมดคล้ายกับถูกยกให้ลอยขึ้นจากพื้นด้วยแรงบางอย่าง ท้องของพวกเขาเริ่มปั่นป่วน รวมไปถึงการหายใจ และเสียงแปลกๆ กับความเจ็บปวดภายในหูที่เกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน

“...เรา กำ ลัง ตก ลง ไป...” แซนแมนพยายามตะโกนบอกทุกคน ลิฟท์อวกาศที่หยุดนิ่งมานานได้เริ่มเคลื่อนตัวอีกครั้ง มันกำลังตกลงอย่างรวดเร็ว ลงสู่พื้นโลกเบื้องล่างด้วยความเร็วที่อาจทำให้พวกเขาต้องหมดสติในไม่ช้า ชุดทรายของเขาเต้นไม่เป็นจังหวะ พลังในกายของเขาควบคุมได้ยากเย็นกว่าที่ผ่านมาหลายเท่า เขาพึ่งเคยใช้พวกมันได้อย่างเต็มที่เป็นครั้งแรก และยังไม่คุ้นเคยนัก

“รีบ หนี ไป” เขาตะโกนพร้อมกับโบกไม้โบกมือ แต่ไม่ต้องรอให้แซนแมนเป็นคนบอกมนุษย์หมาป่าทั้งสองก็กำลังพยายามอย่างเต็มที่ที่จะกระโจนหนีออกจากโลกความฝันอันแสนอ้างว้างแห่งนี้

'ไปสักทีสิ' กู๊ดแมนพยายามใช้จินตนาการของเขาทั้งหมดอย่างเต็มที่ ในชั่วแวบหนึ่ง เขารู้สึกราวกับว่าตนเองได้กลายเป็นชายในวัยสี่สิบผู้หนึ่งซึ่งสวมใส่แว่นสายตา และใช้ชีวิตบางส่วนให้หมดไปกับการนั่งเขียนงานที่แทบไม่เคยได้ตีพิมพ์ ชายผู้ไม่เคยเรียกตัวเองว่าเป็นนักเขียน 'สักวัน ฉันอาจจะเขียนเรื่องของชายคนนี้' แต่เขาจำเป็นที่จะต้องเอาชีวิตรอดไปให้ได้เสียก่อน

เขาพลันรู้สึกถึงแรงดึงจากคุณนายวิกเซ่น ที่ส่งผ่านมาจากมือที่สัมผัสกัน และจากสายตาคู่นั้น แรงที่เขาไม่อาจต้านทาน แรงที่เหนือกว่าจินตนาการ แรงที่อาจจะมากยิ่งกว่าแรงดึงดูดของหลุมดำเสียอีก

ใบหน้าของทั้งคู่ต่างถูกดึงให้เคลื่อนเข้าหากัน

แต่ภาพสุดท้ายที่วสันต์ได้เห็นนั้นเป็นใบหน้าของเด็กชายในชุดทรายที่กำลังกรีดร้อง ซึ่งถูกดึงให้ห่างหายออกไปในความมืดที่อยู่ไกลออกไปจนไม่อาจวัดได้แม้แต่หน่วยของปีแสง

แล้วโลกก็โผล่ออกมาหาเธอจากในอีกความมืดหนึ่ง ความมืดที่หนาวเย็น แต่คุ้นเคยมากกว่า เธอนอนอยู่ภายใต้เงาของสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ที่ตอนแรกเธอยังไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ในเวลาต่อมาเธอกลับแทบไม่อยากเชื่อเลยว่าเธอจะจำมันไม่ได้ เธอยันตัวลุกขึ้นนั่ง และได้พบกู๊ดแมนกับคุณนายวิกเซ่นที่ปลอดภัยดีทั้งคู่ และยังคงดูเหมือนเดิมทุกประการ แต่การอยู่ในพื้นที่เดียวกันของทั้งสองกลับให้ความรู้สึกว่ามีบางสิ่งที่แตกต่างไปจากเดิม

“...ดูเหมือนเราจะได้พบกับคนที่น่าสนใจที่นี่ด้วย” เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น พร้อมกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของมนุษย์หมาป่าทั้งสอง พวกเขาทั้งคู่ต่างยิ้ม หรือแสดงเขี้ยวของตนออกมา พร้อมกับท่าทางเตรียมพร้อมที่จะพุ่งเข้าใส่เจ้าของเสียงนั้นได้ทุกเมื่อ

“คุณวสันต์...ดูเหมือนภารกิจของพวกคุณคงจะล้มเหลวสินะ”

คราวนี้เป็นเสียงของชายสูงวัยที่เธอคุ้นเคย เพียงแต่เธอไม่เคยได้ยินมันอ่อนระโหย และไร้สิ้นเรี่ยวแรงเช่นนี้มาก่อน ผู้มาเยือนนั้นมีสองคน และเธอได้รู้ความจริงในภายหลังว่าเป็นสองคนที่ไม่น่าจะมาอยู่ด้วยกันได้เลย


Create Date : 28 กันยายน 2557
Last Update : 28 กันยายน 2557 10:49:07 น. 0 comments
Counter : 647 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

zoi
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




..........
Friends' blogs
[Add zoi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.