ช่วงนี้ชีวิตวุ่นวายเกินพิกัด...แล้วจะกลับมาเขียนเรื่องที่ค้างไว้ให้จบครับ...สักวัน
Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2556
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
5 ตุลาคม 2556
 
All Blogs
 
ทอย (13)

“เจ้าสิ่งนี้เป็นผลงานชิ้นล่าสุดของฉัน”

โฮมแอบเช็ดมือที่เปื้อนกับขอบโต๊ะ พร้อมกับแสดงท่าทางสนใจในสิ่งประดิษฐ์ที่เอดิสันพยายามอธิบายให้เขาฟังว่ามันทำอะไรได้ และทำได้อย่างไร ซึ่งเขาแทบจะไม่เข้าใจเลย มันเต็มไปด้วยคำอย่าง หน่วยประมวลผลกลาง หน่วยความจำ การนำเข้าข้อมูล การแสดงผล และคำศัพท์อื่นๆ อีกมากที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน

“...ตอนนี้ฉันสามารถย่อวงจรของมันให้มีขนาดเล็กลงกว่าตัวต้นแบบมาก” เขาผายมือไปยังตู้ไม้ที่ดูเหมือนกับตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่ของสตรีซึ่งไม่เคยใหญ่พอสำหรับเสื้อผ้าที่จะทวีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของพวกเธอ “มันยังทำงานได้รวดเร็วกว่าเดิมด้วย”

เอดิสันเปิดฝาของลังไม้ใบใหญ่ที่วางอยู่บนโต๊ะตรงหน้า ก่อนหน้านี้มันอาจเคยเป็นลังใส่ผลไม้มาก่อน เพราะโฮมเห็นรูปของลูกแอปเปิ้ลอยู่ที่มุมหนึ่งของมัน ภายในนั้นมีสิ่งที่ถูกเรียกว่าแผงวงจรเรียงรายอยู่พร้อมกับสายไฟเล็กๆ สีต่างๆ จำนวนมากโยงไปมาอย่างสับสน

“เราสามารถป้อนข้อมูลเข้าไปได้ด้วยแป้นพิมพ์นี้...”

โฮมมองดูแป้นพิมพ์ที่คงถูกถอดออกมาจากเครื่องพิมพ์ดีดแบบที่เขาคุ้นเคย ก่อนนำมาเชื่อมต่อเข้ากับกล่องแอปเปิ้ลด้วยสายไฟเล็กๆ ที่มัดรวมกันเอาไว้อย่างไม่ค่อยเรียบร้อยนัก

“...ข้อมูลจะแสดงขึ้นมาบนหน้าจอ รวมถึงคำตอบของมันด้วย”

มีสายไฟอีกมัดหนึ่งเชื่อมต่อระหว่างด้านหลังของกล่องแอปเปิ้ลกับโทรทัศน์เครื่องเล็กๆ ที่วางอยู่ด้านข้าง บนหน้าจอมีอักษรตัวซีสีเขียวกับเครื่องหมาย : กระพริบอยู่ท่ามกลางความมืดมิด

“นอกจากการคำนวณซึ่งเป็นความสามารถพื้นฐานของมันแล้ว...”

เอดิสันพิมพ์โจทย์ปัญหาลงไป และ '2+2 =' สีเขียวก็ปรากฎขึ้นบนหน้าจอ เขาหันมายิ้มให้โฮมก่อนกดนิ้วลงที่ปุ่มหนึ่งซึ่งโฮมไม่เคยเห็นมันบนเครื่องพิมพ์ดีดแบบใดมาก่อน เขาคงเพิ่มมันลงไปเป็นพิเศษสำหรับสิ่งประดิษฐ์นี้ มันเป็นปุ่มที่มีเครื่องหมายลูกศรชี้ไปทางซ้าย แต่ส่วนท้ายของลูกศรหักชี้ขึ้นด้านบน โฮมไม่แน่ใจว่ามันหมายถึงอะไรกันแน่

ตัวเลข '4' โผล่ขึ้นมาอย่างรวดเร็วในอีกบรรทัดหนึ่ง มันไม่ค่อยน่าประทับใจสักเท่าไร เพราะโฮมสามารถรู้คำตอบนี้ได้โดยไม่ต้องพึ่งเครื่องมือใดๆ ทั้งสิ้น

“...เรายังสามารถใส่ข้อมูลอื่นๆ ลงไป ซึ่งทั้งหมดจะถูกนำไปเก็บเอาไว้ในหน่วยความจำ และจะถูกนำมาใช้ในการตอบปัญหาต่างๆ ได้” เอดิสันมีท่าทางตื่นเต้นขึ้นอย่างไม่อาจปิดบัง “ลองคิดดูสิ” เสียงของเขาสั่นอย่างไม่อาจควบคุม “อา ฉันไม่อาจจินตนาการได้เลยว่ามันจะเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ไปอย่างไรบ้าง”

'C :'

โฮมมองดูอักษรตัวซีสีเขียวที่กำลังกระพริบอยู่บนหน้าจอ มันเหมือนกับเป็นปากที่อ้ากว้าง ปากที่ไม่มีวันอิ่ม มันต้องการข้อมูล ข้อมูลที่มากกว่านี้ 'เหมือนลูกนกพึ่งฟักออกจากไข่อ้าปากขอของกินอย่างไม่มีวันอิ่ม' จินตนาการของเขาถึงสิ่งที่มันสามารถทำได้นั้นคงไม่น่าตื่นเต้นเหมือนกับผู้ที่สร้างมันขึ้นมา

“มาลองดูสิ” เอดิสันเรียกให้โฮมมานั่งลงตรงหน้าสิ่งประดิษฐ์แทนที่เขา “ลองถามอะไรมันก็ได้”

โฮมวางนิ้วลงบนแป้นพิมพ์ นิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่นิ้วชี้ทั้งสองของเขาจะขยับไปมาอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นวิธีการเดียวที่เขาเรียนรู้ด้วยตนเองจากการที่ต้องพิมพ์รายงานจำนวนมาก เอดิสันอ่านข้อความสีเขียวที่ปรากฎขึ้นบนหน้าจอ ซึ่งทำให้คิ้วทั้งสองของเขาค่อยๆ ขมวดเข้าหากัน

'คุณซานต้า ครอส อยู่ที่ไหน' ตัวอักษรหยุดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่โฮมจะจบคำถามของเขาว่า 'ในตอนนี้' เขาไม่ลืมที่จะกดปุ่มลูกศรชี้ไปทางซ้ายอย่างที่เคยเห็นเอดิสันทำ 'C :' นั้นกระพริบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่คำตอบจะออกมา

'สำนักงานร้านขายของเล่นซีเอฟ เลขที่ เจ็ด เจ็ด เจ็ด ถนนซัมเมอร์!!!'

เอดิสันยิ้มอย่างมีชัยแม้จะแปลกใจกับการใช้เครื่องหมาย '!' ในคำตอบซึ่งเขาไม่เคยพบเห็นมาก่อนก็ตาม เขารู้สึกคุ้มค่ากับเวลาทั้งหมดที่ต้องเสียไปในการนั่งป้อนข้อมูลสารพัดชนิดเข้าไปเก็บเอาไว้ในหน่วยความจำของมัน แต่ดูเหมือนว่านี่จะไม่ใช่คำตอบที่โฮมต้องการ

“เครื่องคอมพิวเตอร์ของฉันยอดเยี่ยมไปเลยใช่ไหม”

“...ครับ คุณเอดิสัน” โฮมตอบไปอย่างนั้น เพราะคิดว่ามันเป็นคำตอบที่เหมาะสมที่สุด เพราะเขายังมีความต้องการบางอย่างจากนักประดิษฐ์สูงวัยผู้นี้ เขากำลังจะลุกขึ้น แต่ความคิดบางอย่างทำให้นิ้วชี้ทั้งสองของเขาขยับไปบนแป้นพิมพ์อย่างรวดเร็วแม่นยำ

'หิมะยังคงตกอยู่ใช่ไหม'

มันเป็นคำถามที่เพียงแค่มองออกไปนอกหน้าต่างก็จะรู้คำตอบ แต่เอดิสันกลับไม่คิดว่ามันจะสามารถตอบได้ เพราะเขายังไม่ได้ใส่ข้อมูลนี้เข้าไป มันคงทำได้แค่แสดงข้อความที่เขาคุ้นชินขึ้นมา 'Syntax Error' แต่สิ่งที่ปรากฎขึ้นมาบนหน้าจอก็ทำให้เขาต้องแปลกใจ

'ใช่!!!'

ทั้งคู่เงยหน้ามองไปทางหน้าต่าง แต่ในความมืดข้างนอกนั้นดูเหมือนจะไม่มีสิ่งใดที่กำลังร่วงหล่นลงมาทั้งสิ้น

“นน้ำชาครับ” อีกอโผล่เข้ามาเงียบๆ จนทั้งสองสะดุ้ง ถาดในมือของเขามีแก้วน้ำชาร้อนๆ สองใบ พร้อมกับโถน้ำตาล นม และขนมอีกสองชิ้นในจานใบเล็ก เขาวางพวกมันลงบนโต๊ะ ไม่สนใจสายตาของทั้งคู่ที่มองมา

“อีกอ อย่าย่องเข้ามาเงียบๆ แบบนี้อีกนะ”

“คครับ คคุณเอดิสัน” มันเป็นคำตอบที่เอดิสันได้ในทุกครั้งเมื่อพูดถึงการโผล่มาเงียบๆ ของอีกอ ซึ่งเป็นเหมือนกับความสามารถพิเศษของผู้ช่วยคนนี้ของเขา เขามักจะโผล่ออกมาอย่างคาดไม่ถึงเสมอ เหมือนกับที่โฮมเจอเข้ากับตัวเองที่ประตูรั้วของห้องทดลอง

“เอ่อ...ข้างนอกหิมะไม่ได้ตกอยู่ใช่ไหมอีกอ” เอดิสันลองถามให้แนใจอีกครั้ง

“ไมม่ครับ หหิมะหยุดตกมาพักใหญ่แล้ว แต่ มมันก็แปลกนะครับ ตตอนแรกผมยังคิดว่ามันน่าจะตกหนักและ นนานกว่านี้ บบางทีคืนนี้อาจจะตกอีกก็ได้ คครับ”

“...สิ่งประดิษฐ์ของฉันอาจยังมีข้อบกพร่องอยู่ ฉันคงต้องป้อนข้อมูลให้มันอีกมาก” เอดิสันพึมพำเบาๆ “แต่ฉันก็ยังมองเห็นความเป็นไปได้อันยิ่งใหญ่ของมันอยู่”

แต่ดูเหมือนโฮมจะมองไม่เห็น เขาไม่คิดว่าเจ้าเครื่องคำนวณนี้จะมีประโยชน์จริงๆ ใครๆ ก็สามารถคิดเลขได้เพียงแค่ใช้ความพยายาม กับเวลาเท่านั้น หรือบางทีอาจจะต้องมีกระดาษ กับดินสอด้วย และการให้คำตอบในสิ่งที่เราจำเป็นจะต้องป้อนข้อมูลดังกล่าวเข้าไปก่อนนั้นจะสามารถช่วยอะไรใครได้ 'คนที่จะสามารถตอบคำถามได้ดีที่สุด ก็คือตนเองไม่ใช่หรือ' เขาเชื่อเช่นนั้นมาตลอด

“สักวันหนึ่ง บ้านทุกหลังจะต้องมีเจ้ากล่องมหัศจรรย์นี้” ดวงตาของเอดิสันเป็นประกาย และโฮมไม่คิดจะขัดบรรยากาศที่กำลังเป็นไปด้วยดีนี้

“ถถูกแล้วครับ มมันจะเป็นเหมือน หหน้าต่าง ที่เปิดออกไปสู่โลกกว้าง” อีกอพูดขึ้นมา

“อีกอ...ฉันไม่อยากให้เปรียบเทียบมันกับหน้าต่างเลย ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่ฉันไม่ชอบ“ เขายังคงพึมพำคำว่าหน้าต่างเบาๆ และรู้สึกเกลียดมันขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล

“เออ่อ...มมันจะเป็นเหมือน ปประตู ที่เปิดออกไปสู่โลกกว้าง” อีกอรอคอยดูท่าทีจากเจ้านายของเขา

“...ประตู ใช่ นั่นฟังดูดีกว่า มันจะพาเราก้าวออกจากประตูไปดุจดั่งราชสีห์ เอ่อ ไม่รู้สิ ช่างมันเถอะ”

ทั้งสองต่างหันไปสนใจกับน้ำชาของตน เอดิสันเติมนมลงไปเล็กน้อย ในขณะที่โฮมตักน้ำตาลอย่างไม่ลังเล ทั้งคู่ยกแก้วให้กัน ยิ้ม แล้วเอดิสันก็พูดขึ้น “แด่คอมพิวเตอร์” ก่อนที่ทั้งคู่จะดื่มน้ำชากันเงียบๆ

“...การระเบิดเมื่อครู่เกิดจากอะไรหรือครับ” โฮมหาเรื่องคุย

“อ้อ อันนั้นฉันกำลังทดลองเกี่ยวกับพลังงานที่ได้จากสารบางอย่าง” เอดิสันเอื้อมมือไปที่กล่องเหล็กใบเล็กที่วางอยู่บนโต๊ะพร้อมกับหยิบถ้วยโลหะที่มีฝาปิดมิดชิดออกมา เมื่อเปิดออกภายในนั้นมีผงเล็กละเอียดสีดำอยู่จำนวนหนึ่ง

“เมื่อถูกความร้อน พวกมันจะเกิดการระเบิด ปลดปล่อยพลังงานมหาศาลออกมาอย่างรุนแรง การระเบิดเมื่อครู่ก็เกิดจากสารที่มีปริมาณใกล้เคียงกับในถ้วยใบนี้เท่านั้นเอง”

โฮมมองดูมันด้วยความทึ่ง ก่อนเกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้น “...ถ้าอย่างนั้น มันอาจจะอันตรายเกินไปที่จะนำมาใช้หรือเปล่าครับ” เขาพูดออกไปตามความกลัวที่เกิดขึ้นเมื่อได้รับรู้ถึงพลังในการทำลายของมัน

“ก็อาจจะใช่” เอดิสันยิ้ม “แต่ทุกสิ่งในโลกนี้ต่างก็มีทั้งประโยชน์และโทษ มันจึงขึ้นอยู่กับวิธีการนำไปใช้ของพวกเราเองมากกว่า”

'นั่นแหละคือปัญหา ลองคิดดูสิว่าจากเจ้าดินสีดำที่ระเบิดได้พวกนี้ จะสามารถประดิษฐ์เป็นสิ่งของอันตรายอะไรออกมาได้บ้าง' โฮมได้แต่คิดอยู่ในใจ

“จริงสิ คุณตำรวจมาหาฉันวันนี้มีเรื่องอะไรอย่างนั้นหรือ”

โฮมดีใจที่เอดิสันเป็นฝ่ายถามขึ้นมาเอง แต่ก็ยังมีปัญหากับการบอกเล่าความต้องการของตนไม่ให้ถูกเข้าใจไปในทางที่ผิด 'ไม่ว่าอย่างไรมันก็ฟังดูไม่ดีทั้งนั้น'

“เอ่อ คือ...ผมมีปัญหากับห้องที่เปิดไม่ออก และคิดว่าบางทีคุณอาจจะช่วยได้ครับ”

“สิ่งที่เธอต้องการก็คือ...” เอดิสันลังเล “กุญแจที่ถูกต้องดอกหนึ่ง ฉันหมายถึงกุญแจของห้องที่ว่า และถ้าเธออยากเข้าไป เธอก็ควรต้องมีมัน ใช่ไหม”

โฮมหยิบกุญแจสำรองของห้องหลังกระจกที่เขามีอยู่ พร้อมกับซองผ้าของเขาออกมาวางลงบนโต๊ะ เอดิสันมองดูกุญแจก่อนเอื้อมมือไปหยิบแท่งโลหะซึ่งมีส่วนปลายเป็นรูปร่างแปลกๆ แตกต่างกันจากในซองออกมาดูด้วยความสนใจ แล้วจึงเงยหน้าขึ้นมองเขา

“พวกมันเป็นเครื่องมือที่ดี และฉันคิดว่าเธอเองก็ต้องใช้มันได้ดีด้วย ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นฉันก็ไม่คิดว่าจะมีประตูบานไหนที่เธอจะเปิดไม่ได้”

โฮมพยายามคิดว่าทั้งหมดนั้นคือคำชม “แต่ผมเปิดมันไม่ออก ทั้งๆ ที่ผมเองก็เคยเปิดมันมาแล้ว ทั้งด้วยกุญแจ กับของพวกนี้”

เอดิสันตาเป็นประกายขึ้นมาทันที “เธอพอจะเล่ารายละเอียดอะไรให้มากกว่านี้ได้ไหม”

โฮมลังเล “...ผู้ว่าลินคอนเป็นคนปิดมันด้วยตัวเอง”

“ผู้ว่า ลินคอน...” เอดิสันนิ่งคิด “ลินคอน ลินคอน...เธอหมายถึงลินคอนคนที่ถูกยกให้เป็นวีรบุรุษจากสงครามผีดูดเลือดใช่ไหม” เหมือนเขาจะอมยิ้ม โฮมพยักหน้า นั่นเป็นสิ่งที่ใครๆ ต่างก็รู้

“ครั้งแรกที่เจ้านั่นลงมือจัดการกับผีดูดเลือดตนหนึ่ง ก็ถึงกับหมดสภาพเลยทีเดียวรู้ไหม” เอดิสันหัวเราะออกมาเบาๆ “ฉันเองก็เป็นส่วนหนึ่งในสงครามครั้งนั้นด้วยเหมือนกัน” เขามองดูใบหน้าที่แสดงความแปลกใจออกมาอย่างไม่ปิดบังของโฮม “ถึงจะไม่มีใครพูดถึง แต่ฉันเป็นคนที่ประดิษฐ์ปืนขึ้นมา และใช้เป็นครั้งแรกในสงครามนั้น”

โฮมยังคงไม่อยากเชื่อ

“เธอรู้ไหมว่ากระสุนที่ถูกบรรจุในปืนยุคแรกคืออะไร มันคือหมุดไม้เนื้อแข็งที่ถูกเหลาจนแหลม อาวุธที่สามารถใช้ฆ่าผีดูดเลือดได้ด้วยการแทงเข้าที่หัวใจ” เขายกมือขึ้นชี้ที่กลางหน้าอกของตน “ตรงนี้ ฉันต้องย้ำไม่รู้กี่ครั้งว่าหัวใจไม่ได้อยู่หน้าอกด้านซ้ายอย่างที่เข้าใจกัน แต่เป็นตรงกลางนี่”

“ใชช่ครับ ผผมยืนยันเรื่องนี้ได้” อีกอพูดขึ้น ก่อนมองดูทั้งสองที่จ้องเขาสลับไปมา “เออ่อ ผมขอตัวก่อน คครับ” เขารีบเดินออกไปในขณะที่รู้สึกถึงดวงตาทั้งหมดซึ่งจ้องมองมาที่หลังงอๆ ของเขา

“อีกวิธีหนึ่งก็คือการตัดคอให้ขาดกระเด็น ฉันยังเป็นคนออกแบบขวานซึ่งเป็นอาวุธคู่กายของเจ้านั่นในสงครามครั้งนั้นด้วย”

“ผมไม่เคยได้ยินเรื่องพวกนี้มาก่อน” โฮมยอมรับ

“ฉันก็ไม่อยากพูดถึงอีก มันเป็นสงครามที่โหดร้าย สงครามแห่งความผิดพลาด และไม่ควรเกิดขึ้น” ใบหน้าของเขาหมองเศร้า สายตานั้นคล้ายกับมองลึกเข้าไปในอดีต และเหตุการณ์ทั้งหมดกำลังเกิดขึ้นอีกครั้งภายใต้ความทรงจำอันแสนเจ็บปวดของเขา

“เอาล่ะ เรากำลังพูดถึงผู้ว่ากันอยู่ใช่ไหม” ท่าทีของเขาเปลี่ยนไปอย่างฉับพลันจนโฮมตั้งตัวไม่ทัน “ถ้ามีตำแหน่งผู้ว่า เจ้านั่นก็สามารถเข้าถึงห้องทำงานห้าเหลี่ยมได้ ภายในนั้นมีข้าวของแปลกประหลาดอยู่หลายชิ้น และถึงแม้ว่าตัวฉันเองจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ แต่ฉันก็ต้องยอมรับว่ายังมีอีกหลายสิ่งที่ความรู้ในทุกวันนี้ยังไม่อาจล่วงล้ำเข้าไปได้”

เขาลุกขึ้นอย่างฉับพลัน

“ตามฉันมา” เอดิสันออกเดินไปอย่างกระฉับกระเฉง “ฉันมีอะไรจะให้ดู ก่อนมอบกุญแจที่เธอต้องการให้ รับรองว่าเธอจะสามารถเปิดประตูที่ต้องการ หรือประตูไหนๆ ในมหานครแห่งนี้ก็ได้”

โฮมไม่แน่ใจกับคำพูดนี้ และเริ่มไม่แน่ใจว่าชายชรายังคงปกติดีเหมือนอย่างที่เข้าใจในตอนแรกหรือไม่ บางทีช่วงเวลาเลวร้ายที่เขาเคยผ่านมาอาจส่งผลกระทบกระเทือนกับบางสิ่งในสมองของเขาก็เป็นได้

'หิมะกำลังตกหนัก!!!'

ข้อความนี้ปรากฎขึ้นภายหลังจากที่ทั้งสองเดินห่างออกไปแล้ว มันจึงไม่ถูกพบเห็น บรรทัดแล้วบรรทัดเล่าขึ้นมาจนเต็มหน้าจอ ตัวอักษรพวกนี้ยังคงเลื่อนขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่ยอมหยุด จนกระทั่งปรากฎตัวอักษร 'Syntax Error' ขึ้นแทนที่จนเต็มหน้าจออีกครั้ง แล้วสุดท้ายตัวอักษรทั้งหมดก็หายไปเหลือไว้เพียงหน้าจอสีฟ้าเท่านั้น

หลังจากเหตุการณ์นี้ เอดิสันต้องปวดหัวอยู่นานกว่าจะสามารถทำให้คอมพิวเตอร์ของเขากลับมาทำงานได้อีกครั้ง ในภายหลังเขาจึงตั้งชื่อให้มันว่าเป็น 'หน้าต่างสีฟ้าแห่งความตาย' เพราะความไม่ชอบคำว่าหน้าต่างในวันนั้นนั่นเอง


Create Date : 05 ตุลาคม 2556
Last Update : 5 ตุลาคม 2556 22:04:12 น. 1 comments
Counter : 556 Pageviews.

 
สวัสดีค่ะ


มาติดตามอ่านในนี้ค่ะ

เข้าถนนยากจังช่วงนี้


โดย: ~My Birthday is on April 14~ วันที่: 7 ตุลาคม 2556 เวลา:0:44:43 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

zoi
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




..........
Friends' blogs
[Add zoi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.