ช่วงนี้ชีวิตวุ่นวายเกินพิกัด...แล้วจะกลับมาเขียนเรื่องที่ค้างไว้ให้จบครับ...สักวัน
Group Blog
 
<<
กันยายน 2556
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
1 กันยายน 2556
 
All Blogs
 
ทอย (9)

ในระหว่างที่เดินตามสไตน์ไป ทอยพบว่าภายในสำนักงานมีตำรวจเหลืออยู่ไม่มากนัก โต๊ะส่วนใหญ่ว่างเปล่า เขาคิดว่าบางทีสถานีตำรวจแห่งอื่นๆ ก็อาจมีสภาพไม่แตกต่างจากนี้ กำลังคนที่มีอยู่ถูกระดมออกไปเพื่อช่วยกันติดตามหาตัวคุณครอส แต่จากบรรยากาศที่เขาสัมผัสได้ คงไม่มีใครคิดว่ามันจะเป็นเรื่องร้ายแรงอะไร

'นอกจากคนออกคำสั่งเท่านั้น ที่เห็นว่าเป็นเหตุฉุกเฉินเร่งด่วน'

มีตำรวจสองสามคนเหลือบมองมาในขณะที่พวกเขาเดินผ่าน แต่เมื่อเห็นรูปร่างสูงใหญ่ กับรอยแผลอันเป็นเครื่องหมายการค้าของสไตน์เข้า ก็ต่างพากันรีบก้มหน้า และยุ่งอยู่กับงานบางอย่างขึ้นมาทันที

ทั้งคู่เดินออกทางประตูหน้าของกองบังคับการตำรวจมหานครซึ่งยึดครองพื้นที่ชั้นสี่นี้ไว้ทั้งหมด บานประตูคู่ขนาดใหญ่ทำด้วยไม้สีเข้มดูภูมิฐาน เหนือขึ้นไปมีป้ายชื่อที่ใช้ตัวอักษรแบบเรียบๆ แต่ที่โดดเด่นที่สุด คือดวงตรารูปดาวห้าแฉกซึ่งดูเก่าแก่กว่าสิ่งอื่นใดทั้งหมด

“นั่นคือ ดาวดวงแรก เป็นดวงเดียวกับที่เคยแขวนอยู่หน้าประตูสำนักงานของนายอำเภอจอห์น เวย์...หรืออย่างน้อยคนส่วนใหญ่ก็เชื่ออย่างนั้น”

สไตน์พูดขึ้น คงเพราะเห็นว่าเขากำลังมองดูมันอยู่

ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว เมื่อมหานครแห่งนี้ยังคงเป็นเพียงเมืองเล็กๆ ที่ผู้คนตกลงทุกสิ่งกันด้วยการจับมือ หรือกล่าวคำสัญญา ตัดสินความขัดแย้งกันด้วยหมัดเท้า ไปจนถึงการใช้อาวุธ เรื่องยุ่งยากทั้งหลายล้วนต้องฝ่าฟันไปด้วยกำลังของตนเอง จนกระทั่งมีชายแปลกหน้าผู้หนึ่งขี่ม้าผ่านมา และได้เปลี่ยนแปลงทั้งหมดนั้นไปด้วยสองมือของเขา นับเป็นครั้งแรกที่เมืองแห่งนี้ได้รู้จักกับกฎหมาย หรืออย่างน้อยก็เป็นรูปแบบในยุคเริ่มแรกของมัน

และที่สำคัญ ได้รู้จักกับผู้รักษากฎหมายคนแรกที่มีนามว่า จอห์น เวย์

วีรกรรมของเขาคือตำนานเล่าขานที่ทำให้เด็กๆ หลายคนกล่าวออกมาอย่างภาคภูมิใจในชั้นเรียนว่า เมื่อโตขึ้นพวกเขาจะเป็นนายอำเภอ ทั้งๆ ที่ตำแหน่งดังกล่าวนั้นไม่มีอีกต่อไปแล้ว ในขณะที่พูด หน้าอกของพวกเขาก็จะพองโต ดวงตาเป็นประกายดุจดั่งดวงตราทองเหลืองรูปดาวห้าแฉกที่จอห์นเคยติดไว้บนอกเสื้อของเขา และตอนนี้ได้ถูกจัดแสดงอยู่ในหอเกียรติยศบนชั้นห้า ติดกับห้องทำงานห้าเหลี่ยมของผู้ว่า ที่ได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบมาจากรูปร่างของมันนั่นเอง

นายอำเภอจอห์น เวย์ ผู้จัดการกับกลุ่มโจรซึ่งวางแผนปล้นเมืองที่มีจำนวนมากถึงสิบเจ็ดคนโดยลำพัง ด้วยกลยุทธที่ไม่มีใครคาดคิด ด้วยหัวใจที่กล้าแกร่ง ความเสียสละ และความรักในเมืองแห่งนี้ที่ได้กลายมาเป็นบ้านหลังสุดท้ายของคนพเนจรอย่างเขา

“คุณเชื่อเรื่องนี้หรือเปล่าครับ” ทอยถาม โดยที่ยังคงเงยหน้ามองดาวดวงนั้นอยู่

สไตน์แปลกใจเล็กน้อยกับคำถาม “ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ได้ยินว่าเคยมีผู้เชี่ยวชาญมาตรวจสอบไม้ที่ใช้ทำดวงตรานี้แล้ว และพบว่ามันมีอายุเก่าแก่มาก นับย้อนไปได้จนถึงยุคเดียวกันกับจอห์น...”

“ไม่ ผมไม่ได้หมายถึงดวงตรา แต่ผมหมายถึงตัวจอห์น เวย์ เองต่างหาก คุณเชื่อเรื่องของเขาไหม คุณคิดว่าเขาเคยมีตัวตนอยู่จริงหรือเปล่า”

สไตน์เงียบไปครู่หนึ่ง เขาไม่แน่ใจว่าทอยถามโดยมีจุดประสงค์อะไรกันแน่

“ผมคิดว่าเขามีตัวตนอยู่จริง มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์มากมายที่ยืนยันเรื่องนั้น” เขาตอบช้าๆ “...แต่ผมไม่เชื่อว่าตำนานของเขาจะเป็นเรื่องจริงไปทั้งหมด” มีความรู้สึกบางอย่างที่เข้มข้นเจือปนอยู่ในคำพูดนี้

ในการศึกษาวิชากฎหมาย เขารู้สึกสนใจกับ ประกาศของจอห์น ซึ่งเปรียบเสมือนกฎหมายฉบับแรกนี้เป็นพิเศษ ทั้งในแง่ของที่มา และผลกระทบของมันในด้านต่างๆ ที่มีต่อผู้คน

มีหลายคนแปลกใจที่ทหารรับจ้างอย่างเขาหันมาสนใจเรื่องกฎหมาย เขาไม่เคยเปิดเผยเบื้องหลังของเรื่องนี้กับผู้ใด ครั้งแรกที่เขาตัดสินใจจับอาวุธ เมื่อเขายังคงเป็นเด็กหนุ่มที่มีจิตใจร้อนแรง เขาคิดว่าการต่อสู้เพื่อความเชื่อ เพื่ออุดมการณ์ จะนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลง ความถูกต้อง และความเท่าเทียมสำหรับทุกคน และแน่นอนที่ตัวเขาในตอนนั้นก็เคยได้ยินตำนานของจอห์น เวย์ ซึ่งลุกขึ้นต่อสู้เพื่อชาวเมืองเช่นกัน

การต่อสู้ของเขาดูเหมือนจะไม่มีวันสิ้นสุด และยิ่งนานวันเข้า เขาก็ยิ่งไม่แน่ใจว่าศัตรูที่ต้องต่อสู้ด้วยนั้น คืออะไรกันแน่ เขาจึงเริ่มหันไปมองที่อีกด้านหนึ่งของจอห์น ด้านที่เกี่ยวกับการใช้กฎหมาย และคิดจะลองค้นหาคำตอบจากเส้นทางนี้ดูบ้าง แต่จนถึงตอนนี้ เขาก็ยังคงไม่ได้รับคำตอบที่ต้องการอยู่เช่นเดิม

'ถ้ามีโอกาสได้คุยกับจอห์น เวย์ ฉันอาจค้นพบสิ่งที่ต้องการก็เป็นได้'

“ผมก็ว่าอย่างนั้น” ตอนแรกสไตน์เผลอคิดว่าทอยตอบคำถามที่ตนกำลังคิดอยู่ในใจ ก่อนจะรู้ตัวว่าที่จริงแล้ว เขากำลังหมายถึงเรื่องความจริงในตำนานของจอห์น เวย์ ที่คุยกันอยู่ต่างหาก แล้วหลังจากนั้น ทั้งสองก็พากันเดินไปที่บันไดเพื่อลงไปยังชั้นล่าง

“คุณคิดว่าใครอยู่ในห้องหลังกระจกบานนั้น” ทอยถาม ดูเหมือนเขามั่นใจว่าต้องมีคนอยู่ภายในห้องนั้นแน่

“หนึ่งในนั้นอาจเป็นฟรอส” สไตน์ว่า “และต้องมีลินคอนรวมอยู่ด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย” เขาคาดเดาได้ถูกต้องราวกับตาเห็น

“พวกนั้นคงมาคอยจับตาดูเรา”

สไตน์ยิ้ม 'มันไม่ได้เป็นแบบนั้นเสมอไป' เขารู้จักห้องหลังกระจก และรู้ว่ามันใช้งานอย่างไร คนทั่วไปต่างเข้าใจว่ามันมีเอาไว้เพื่อใช้แอบดูผู้ต้องสงสัยที่อยู่ในห้องสอบสวน แต่มันไม่ใช่เพียงแค่นั้น

“ที่จริงแล้วห้องนั้นก็เป็นห้องสอบสวนเช่นกัน” ทอยทำหน้าไม่เข้าใจ “พวกเขามีผู้ต้องสงสัยคนหนึ่งอยู่ในห้องสอบสวน และนำอีกคนมาไว้ในห้องลับ ให้ทำตัวตามสบาย ให้คิดว่าตนเองไม่ได้ถูกสงสัย และเฝ้าดูทั้งคู่ไปพร้อมกัน โดยเฉพาะคนที่อยู่ในห้องลับนั้นจะถูกจับตาเป็นพิเศษ”

ทอยจึงค่อยเข้าใจคำพูดของสไตน์ “พวกเขาก็สงสัยว่า คุณฟรอสจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของคุณครอสในครั้งนี้ด้วย”

“หรืออาจจะเป็นใครก็ตามที่อยู่ในห้องนั้นกับลินคอน เรายังไม่รู้แน่ชัด” สไตน์แก้ไขคำพูดของทอยให้ถูกต้อง

“ส่วนคนที่กดดันการทำงานของโฮมก็คือตัวท่านผู้ว่าเอง” เรื่องนี้สไตน์พยักหน้าเห็นด้วยกับทอยเต็มที่ เขารู้จักคนอย่างลินคอน ไม่ใช่เป็นการส่วนตัว แต่รู้จักกับคนแบบเขา นักการเมือง นักธุรกิจ ผู้มีอิทธิพล กลุ่มคนที่เคยเป็นเป้าหมายในสงครามอันไม่สิ้นสุดของเขา

“ผมเป็นหนี้คุณอยู่เท่าไรครับ” ทอยตัดสินใจเอ่ยถามหลังจากที่ทั้งสองเดินผ่านชั้นสามลงมา เขารู้ดีว่าค่าจ้างของสไตน์นั้นสูงกว่าปกติ เงินเก็บของเขายังเหลืออยู่อีกจำนวนหนึ่ง แต่ถ้ายังคงไม่มีงานทำ อนาคตของเขาก็อาจจะไม่ค่อยสวยงามนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสายตาของคุณนายวิกเซ่นที่มักเกี่ยวข้องกับค่าเช่าห้องเสมอ

“ไม่เป็นไร ผมยังคงติดหนี้พี่ชายของคุณอยู่” สไตน์ว่า

“นั่นไม่เกี่ยวเลยครับ” ทอยรีบตอบ อันที่จริงแล้วเขาก็รู้จักสไตน์จากการแนะนำของพี่ชายเมื่อนานมาแล้วนั่นเอง 'เขาจะมีประโยชน์'

“ผมต้องจ่ายให้คุณ” เขายืนยัน

“ถ้าอย่างนั้น ผมจะส่งใบเรียกเก็บเงินไปที่ที่พักของคุณในภายหลังก็แล้วกัน” สไตน์ไม่แน่ใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นภายในครอบครัวนี้หรือไม่

เขารู้เรื่องที่ทอยลาออกจากการเป็นมือสังหารแล้ว ซึ่งไม่เคยมีใครทำแบบนี้มาก่อน 'จริงๆ แล้วมันก็เหมือนกับการตัดสินใจมาเป็นทนายของฉัน มันทำให้ผู้คนพากันสงสัย แต่เขาต้องมีเหตุผลของตัวเอง' และด้วยความคล้ายกันนี้เองที่ทำให้สไตน์อยากช่วยอะไรเด็กหนุ่มให้มากกว่านี้

ยังไม่ทันที่ทั้งคู่จะเดินลงมาถึงชั้นสอง ทอยก็รับรู้ถึงสิ่งผิดปกติบางอย่าง ที่ชั้นนี้ตรงจุดเชื่อมต่อกับโถงบันไดโค้งของชั้นล่าง มีพื้นที่ว่างสำหรับใช้ในการจัดงาน และตอนนี้มันก็เต็มไปด้วยผู้คน โต๊ะวางของว่างที่ประดับประดาอย่างสวยงาม และพนักงานที่เดินถือถาดเครื่องดื่มหลากสีสัน

ณ ใจกลางของความสับสนทั้งมวล ตั้งอยู่อย่างโดดเด่นเป็นสง่านั้นก็คือ ต้นสนใบเรียวเล็กยอดแหลมสีเขียวสดที่ถูกประดับตกแต่งด้วยดวงไฟระยิบระยับ ใต้ต้นไม้ที่ถูกตัดมานี้กองสุมไว้ด้วยกล่องของขวัญที่มีกระดาษห่อสะท้อนแสงไฟเป็นประกายระยิบระยับ มันถูกเรียกว่าเป็น ต้นไม้แห่งชีวิต ซึ่งเป็นสิ่งที่ใช้สื่อถึงคืนแห่งของขวัญ และวันแห่งการเฉลิมฉลองที่กำลังจะมาถึงนั่นเอง

และทอยไม่เคยเห็นมันตั้งอยู่ภายในบ้านของตนเองแม้แต่ครั้งเดียว

ตั้งแต่จำความได้จนถึงตอนนี้ ครอบครัวของเขาจะมีการพบปะ และรับประทานอาหารร่วมกันในค่ำคืนนั้นเสมอ มันเป็นคืนอันแสนสุข แต่ไม่มีต้นสนประดับ และในตอนที่เขายังเป็นเด็ก ของขวัญจะถูกนำมามอบให้ในตอนเช้าวันรุ่งขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะตัวเขาเอง

ทั้งพ่อ แม่ และปู่ ต่างเคยแอบย่องเข้ามาในห้องของเขาตอนกลางดึก และพบว่าเขายังคงตื่นอยู่เสมอ พวกเขารู้ แต่ก็วางของขวัญเอาไว้ให้ ก่อนกลับออกไปเงียบๆ ไม่เคยมีใครถามว่าทำไมเขาถึงยังไม่ยอมหลับ และเขาก็ไม่เคยบอกเหตุผลให้ใครฟังเช่นกัน

“เราจะออกไปแบบเงียบๆ ” สไตน์บอกเขาเบาๆ พร้อมกับมองสำรวจไปรอบๆ งาน ซึ่งเต็มไปด้วยคนสำคัญของมหานครแห่งนี้ “ในนี้มีหลายคนที่ผมไม่ค่อยอยากเจอ”

ทอยพยักหน้าอย่างเข้าใจ ทั้งสองค่อยๆ เดินผ่านงานเลี้ยงไป และต่างก็รู้วิธีที่จะไม่ทำให้ตัวเองกลายเป็นจุดสนใจขึ้นมา

'คนทั่วไปมักไม่มองสิ่งที่เห็นอย่างจริงจัง ปล่อยให้สมองของตัวเองหลอกลวงตัวเองอยู่เสมอ' ปู่บอกเขาก่อนที่จะสอนบทเรียนบางอย่างให้เห็น

พี่ชายของเขากำลังกางแผนที่ถามทางกับชายแปลกหน้าคนหนึ่งซึ่งเป็นคนในพื้นที่ ปู่เดินผ่านมาพร้อมกับกล่องใบใหญ่ กล่าวคำขอโทษอย่างสุภาพเมื่อเดินตัดผ่านไประหว่างทั้งสองคน หลังจากนั้นชายแปลกหน้าคนเดิมก็ยังคงพยายามบอกทางให้กับพี่ชายของเขาต่อ เพียงแต่ว่าตอนนี้คนที่คุยอยู่ด้วยนั้นไม่ใช่พี่ชาย แต่เป็นตัวเขาเองที่แอบสลับเปลี่ยนตัวในตอนที่ปู่เดินผ่านไปต่างหาก

ชายคนนั้นมองแต่ไม่เห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

'ไม่เพียงแค่นั้นหลอกนะ' ปู่บอกกับเขาในภายหลังพร้อมรอยยิ้ม 'ชายคนนั้นก็ไม่ใช่คนเดียวกับที่คุยกับพี่ชายของหลานเหมือนกัน'

'หลานล่ะ เห็นหรือเปล่า' ปู่ขยิบตา และเขาได้แต่อ้าปากค้าง

ทอยเดินไปโดยไม่สนใจสไตน์ ไม่สนใจใคร เขาเดินหลบเลี่ยงไปตามขอบการมองเห็นของคนที่อยู่ใกล้ๆ อย่างเป็นธรรมชาติ เดินแบบคนทั่วไปที่ไม่สำคัญ ไม่ควรค่าแก่การสนใจ หากไม่มีใครที่เขารู้จัก หากไม่มีใครที่กำลังมองหาเขาอยู่ ก็จะไม่มีใครมองเห็นเขา มันไม่ใช่การล่องหนหายตัว มันเป็นแค่เพียงการทำให้พวกเขาเชื่อว่าตัวเองไม่ได้มองเห็นอะไรเท่านั้นเอง

ซึ่งบางครั้งเขาก็คิดว่า การทำให้คนมองเห็นตัวเขานั้นอาจจะยากยิ่งกว่า

เขาเดินมาถึงบันไดโค้งได้อย่างไม่ยากเย็น แต่ดูเหมือนว่าสไตน์จะประสบปัญหาเล็กน้อย เขาต้องหยุดคุยอยู่กับใครคนหนึ่งก่อนที่ทั้งสองจะแยกจากกันอย่างรวดเร็ว หญิงสาวในชุดหรูหราคนนั้นเดินยิ้มแย้มกลับเข้าไปหากลุ่มคนที่อยู่ในงานเลี้ยง ส่วนสไตน์ก็ค่อยๆ เดินหลบเลี่ยงออกมาได้ในที่สุด

ทอยได้กลับออกมาสูดอากาศภายนอกอาคารอีกครั้ง มันยังคงเย็นเยียบเหมือนก่อนหน้านี้ แต่น่าแปลกที่หิมะซึ่งตั้งท่าว่าจะตกอย่างต่อเนื่องกลับหยุดลงแล้ว เมฆดำยังคงลอยปกคลุม ท้องฟ้ายังคงมืดครึ้ม ซึ่งไม่น่าแปลกเพราะเวลาค่ำคืนแห่งฤดูหนาวได้มาถึงแล้ว

แต่ทอยกลับรู้สึกถึงบางสิ่ง เขามองขึ้นไปบนท้องฟ้าและไม่ใว้ใจเมฆดำพวกนั้น

#####

โฮมกำลังจะกลับออกไปข้างนอกทางประตูหลังของสำนักงานเมื่อวสันต์ตรงเข้ามาหาเขา

“สารวัตรค่ะ มีเรื่องด่วนแจ้งเข้ามาค่ะ”

“พบคุณครอสแล้วอย่างนั้นหรือ” เขาถามอย่างมีความหวัง เพราะดูเหมือนนั่นจะเป็นสิ่งเดียวที่ลินคอนต้องการจากเขาในเวลานี้

“เปล่าค่ะ มีการแจ้งความเรื่องเด็กหายเข้ามาค่ะ และดิฉันคิดว่า...”

“คุณรับเรื่องนี้เอาไว้เองก็แล้วกัน” เขาตอบแบบตัดบท และคิดว่าผู้หญิงมักจัดลำดับความสำคัญของงานปะปนกับความรู้สึกส่วนตัวอยู่เสมอ เขาก็ไม่ได้คิดว่าเรื่องเด็กหายเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ตอนนี้เขามีอย่างอื่นที่ต้องรีบจัดการให้เรียบร้อยโดยเร็ว

“...แต่ว่า” เธอยังคิดจะพยายามอีกครั้ง และได้เห็นสายตาของเขา “ทราบแล้วค่ะ” เธอตัดใจในที่สุด

“ดีมากคุณวสันต์ และตอนนี้ผมต้องรีบออกไปตามหาคุณครอสอีกครั้ง ก่อนที่ท่านผู้ว่าของเราจะฉุนเฉียวไปมากกว่านี้” ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร

โฮมกำลังจะเดินผ่านประตูออกไปก่อนนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

“อ้อ คุณวสันต์ คุณมักจะรู้เรื่องราวแปลกๆ ของเมืองนี้อยู่เสมอ ไม่รู้ว่าคุณพอจะรู้จัก...เอ่อ” เขาลังเลครู่หนึ่ง “ช่างทำกุญแจที่เก่งๆ บ้างไหม”


Create Date : 01 กันยายน 2556
Last Update : 1 กันยายน 2556 10:51:22 น. 1 comments
Counter : 585 Pageviews.

 
สวัสดีค่า มาทักทายก่อนค่ะ
เดี๋ยวนุ่นไปอ่านที่กระทู้ค่า ^^


โดย: lovereason วันที่: 1 กันยายน 2556 เวลา:23:02:18 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

zoi
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




..........
Friends' blogs
[Add zoi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.