ช่วงนี้ชีวิตวุ่นวายเกินพิกัด...แล้วจะกลับมาเขียนเรื่องที่ค้างไว้ให้จบครับ...สักวัน
Group Blog
 
<<
กันยายน 2556
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
14 กันยายน 2556
 
All Blogs
 
ทอย (11)

'สีดำไม่เหมาะสำหรับใช้ซ่อนตัวในความมืด'

ปู่แจ็คเคยบอกไว้ และทอยยังอ่านพบแนวคิดที่คล้ายๆ กันนี้ในหนังสือของโศกาคิดอีกด้วย

'ความชั่วร้ายมักถูกเปรียบเทียบว่าเป็นสีดำมืดมิด ในขณะที่ความดีคือสีขาวบริสุทธิ์ ซึ่งความจริงแล้วเราไม่อาจพบเห็นสีทั้งสองที่ว่านี้ได้เลยตามธรรมชาติ ความมืดส่วนใหญ่นั้นประกอบไปด้วยสีเทา ส่วนสีขาวเองก็ไม่อาจขาวจนเกินไปได้ เพราะธรรมชาติเป็นเช่นนั้นเอง

สีดำมืดมิด หรือ สีขาวบริสุทธิ์ จึงเป็นสีในจินตนาการของมนุษย์ ส่วนในโลกของความเป็นจริง จะมีเพียงสีเทาเฉดต่างๆ มากมายไม่สิ้นสุดเท่านั้น'

หลังอ่านจบแล้ว เขาไม่แน่ใจว่าผู้เขียนต้องการสื่อถึงสิ่งใดกันแน่ สี หรือว่า มนุษย์

'ไม่เข้าสู่แสง และก็ไม่ใช่เงา แต่เป็นส่วนหนึ่งของทุกสิ่ง คือวิธีที่เราควรทำ' นั่นเป็นอีกสิ่งที่ปู่เคยอธิบายให้ฟัง และเมื่อมาคิดดูอีกที เขาก็เริ่มสงสัยว่าปู่หมายถึงเพียงเรื่องวิธีการซ่อนตัวไม่ให้ถูกพบเห็นได้โดยง่าย หรือจะหมายความถึงเรื่องอื่นด้วยเหมือนกัน

ทอยรู้ว่าการซ่อนตัวของเขา การเคลื่อนที่โดยเป็นส่วนหนึ่งของฉากหลังสำหรับคนที่มองผ่านมาโดยไม่ได้ตั้งใจนั้น ไม่เหมือนกับที่เคยเป็นมา มันยังคงใช้การได้ แต่เขาต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการทำเช่นนี้ เขาไม่เคยแน่ใจมาก่อนว่ามันจะเป็นไปได้ แต่ดูเหมือน ความเป็นมือสังหาร ของเขากำลังค่อยๆ ลดลงไปเรื่อยๆ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริง เขาก็ควรจะยินดี แต่กลับมีความรู้สึกแปลกๆ ที่เขาไม่อาจอธิบายได้เกิดขึ้นแทน

มันคล้ายกับความรู้สึกอ้างว้างเมื่อได้ค้นพบว่า แท้จริงแล้วตนเองนั้นอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย ทั้งๆ ที่รอบกายก็เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย

เขารู้สึกเหมือนกับมีแสงไฟจุดเล็กๆ สว่างวาบขึ้นทางด้านหลัง มันเป็นความเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยที่คนทั่วไปละเลย ผู้คนส่วนใหญ่ล้วนมองเห็น หรือได้ยินสิ่งต่างๆ น้อยกว่าที่ควร และไม่เคยใส่ใจกับพวกมัน สมองของพวกเขาต่างพยายามอย่างเต็มที่ที่จะทำงานให้น้อยที่สุด ซึ่งบางทีมันอาจเป็นส่วนสำคัญของการมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ก็เป็นได้

ร่างของเขาขยับไปโดยแทบไม่ต้องคิด เข้าไปซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้ข้างทางด้านตรงข้ามกับที่มาของแสงนั้นอย่างรวดเร็ว ก่อนมองสำรวจ และไม่พบสิ่งผิดปกติๆ ใดๆ เขาลองมองดูซ้ำอีกครั้ง พยายามค้นหาสิ่งที่ตนควรจะต้องเห็น

'บางที ฉันอาจคิดมากเกินไป' เขาบอกกับตัวเอง และพยายามเชื่ออย่างนั้น ก่อนออกเดินไปยังจุดหมายอีกครั้ง

การหลบเลี่ยงจากสายตาของผู้คนที่เดินเข้าออกร้านซีเอฟนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ยากเย็นเลย ก่อนเดินเข้าไปภายในร้าน พวกเขาล้วนมีภาพของสิ่งที่ต้องการอยู่ภายในหัวจนแทบจะมองไม่เห็นสิ่งอื่นใดอีก และเมื่อกลับออกมา เมื่อได้เป็นเจ้าของในสิ่งที่ตนต้องการแล้ว ภาพแห่งอนาคต เสียงหัวเราะ รอยยิ้ม และความสุขของเจ้าตัวน้อยพวกนั้น ก็จะคอยบดบังทุกสิ่ง ไม่แตกต่างจากก่อนที่จะก้าวเข้าไปเลย

เขารีบหลบเข้าไปในตรอกแคบๆ ระหว่างตัวตึก ความเงียบ ความมืดอันเก่าแก่ยังคงอ้อยอิ่งอยู่ในนี้ และพวกมันก็ไม่เคยหลีกทางให้กับสิ่งใด บรรยากาศภายในจึงแตกต่างจากด้านนอกอย่างสิ้นเชิง

เขากวาดตามองกำแพงเก่าๆ แนวท่อน้ำที่มีรอยรั่วซึม กลุ่มมอสที่ดูเหมือนรอยเปื้อนสกปรกไร้สีสันเมื่อไม่มีแสง ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม ยกเว้นเพียงสิ่งเดียว

ไม่มีประตูอยู่ที่นี่

ตรอกแห่งนี้ กำแพงผืนนี้ และแม้แต่อณูอากาศที่อยู่โดยรอบ ต่างพยายามอย่างเต็มที่ที่จะบอกกับเขาว่า มันไม่เคยมีประตูมาก่อน ไม่ว่าจะในอดีต ปัจจุบัน หรือแม้แต่อนาคตก็ตาม

'ต่างกับเมื่อเช้าที่ฉันมีนัดหมายกับคุณครอส' ซึ่งเขาสามารถพบเห็นประตูตามคำอธิบายทางโทรศัพท์จากคุณสโนวได้อย่างง่ายดาย เขายังคิดอยู่ว่าสำนักงานอันแสนลึกลับของคุณครอสนั้น ที่จริงแล้วก็ไม่ได้หายากสักเท่าไร แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสียแล้ว

เขาเดินตรงไปยังตำแหน่งที่จดจำได้ ถึงแม้ว่ามันจะพยายามดิ้นหนีอย่างสุดกำลังด้วยภาพของกำแพงธรรมดาที่ไม่มีรอยต่อ ซึ่งจะยิ่งเพิ่มความสงสัย และความไม่มั่นใจของเขาให้มากขึ้น และเมื่อมากพอเขาก็จะมองไม่เห็นมันอีกเลยตลอดกาล

'มีประตูอยู่ตรงนี้' เขาบอกกับตนเองด้วยความเชื่อมั่น

ไม่มีการเลือนลางของกำแพง ภาพซ้อนไหววูบวาบที่ดูเกินความเป็นจริง หรือสิ่งเหนือธรรมชาติอื่นใดเกิดขึ้น ทุกสิ่งภายในตรอกแห่งนี้ยังคงเหมือนเดิม เพียงแค่เพิ่มประตูขึ้นมาอีกบานหนึ่ง ประตูที่เหมือนกับตั้งอยู่ในตำแหน่งนี้มาตั้งแต่เมื่อครั้งที่มนุษย์ค้นพบไฟเป็นครั้งแรก ทั้งคุณประโยชน์ ความโหดร้าย ทั้งแสงสว่าง ความอบอุ่น เงามืด และพลังแห่งการทำลายล้างของมัน

ประตูอยู่ตรงหน้าแล้ว แต่ปัญหาในตอนนี้ก็คือ เขาจะเข้าไปอย่างไร

#####

สโนวนั่งอยู่ที่โต๊ะของตนในชุดทำงานสีขาว และต้องเป็นสีขาวเท่านั้น ไม่เคยมีใครคิดว่าเธอจะใส่ชุดสีอื่น เพราะแม้แต่ตัวเธอเองก็ยังคิดเช่นนั้น สีขาวที่ไม่ใช่สีขาวบริสุทธิ์ เป็นเพียงสีขาวที่พบเห็นได้ทั่วไป

คืนนี้เป็นคืนที่วุ่นวาย และเธอก็รู้ดี เพราะมันเป็นแบบนี้มาทุกปีจนเธอชาชิน แต่ปีนี้มีความวุ่นวายมากมายเป็นพิเศษ เริ่มตั้งแต่การหายตัวไปอย่างลึกลับของคุณครอส ติดตามมาด้วยการที่คุณฟรอสไม่ได้ย้อนกลับเข้ามาที่สำนักงาน หรือแม้แต่จะโทรศัพท์ติดต่อเข้ามาเพื่อบอกกล่าวอะไรทั้งสิ้น

เอกสารจำนวนมากจึงยังคงกองค้างอยู่บนโต๊ะทำงานของเธอ

'มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่' เธอได้แต่พยายามผลักดันให้ร้านเปิดขายต่อไปได้ตามปกติ ทำทุกอย่างเท่าที่เธอจะทำได้ จนถึงตอนนี้ก็เหลือเวลาเปิดร้านอีกเพียงไม่นาน ธุรกิจคงผ่านพ้นไปได้อีกหนึ่งวัน แต่เมื่อถึงพรุ่งนี้ 'ที่สำคัญที่สุดคือคืนวันพรุ่งนี้' ถ้าถึงตอนนั้นแล้ว หากคุณครอสยังคงล่องหน และคุณฟรอสยังไม่กลับเข้ามาที่สำนักงาน เธอก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไป

'จะกังวลไปทำไม มันก็แค่ไม่มีการแจกของขวัญฟรี ธุรกิจของร้านไม่ได้กระทบกระเทือนอะไรด้วยเลย บางทีอาจจะมีกำไรมากกว่าเดิมด้วยซ้ำไป' เสียงเล็กๆ นี้ดังแทรกขึ้นในหัวของเธอ ซึ่งเธอพยายามที่จะไม่สนใจมัน

ทุกปีเธอจะรู้สึกดีเสมอเมื่อได้เห็นคุณครอสจัดเตรียมรายชื่อเด็กๆ และของขวัญเหล่านั้น ดวงตาของเขาจะส่องประกายเจิดจ้าสุกใส ในระหว่างนั้นเขาจะคอยฝึกส่งเสียงหัวเราะ 'โฮ่ โฮ่ โฮ่' ซึ่งเธอไม่เคยเห็นเขาทำในช่วงเวลาปกติเลยสักครั้ง และไม่รู้ว่าทำไมมันจึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของคืนแห่งของขวัญไปได้

'เหมือนกับการแจกของขวัญพวกนั้น' ที่เธอก็ไม่แน่ใจว่ามันเริ่มต้นขึ้นได้อย่างไร มันเคยเป็นเทศกาลเฉลิมฉลองแห่งชีวิต ที่มีต้นไม้สีเขียวเป็นส่วนประกอบ แต่แล้วมันไปเกี่ยวข้องอย่างไรกับชุดสีแดง หรือสิ่งอื่นๆ ที่เหลือ เธอไม่แน่ใจว่าจะยังมีใครที่รู้ความหมายอันเก่าแก่ของมันอยู่อีกหรือไม่

'นอกจากสองคนนั้น'

คนสองคนที่ดูเหมือนแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง คุณครอสที่อบอุ่น กับคุณฟรอสที่แสนเย็นชา 'แต่ก็มีบางครั้งที่สองคนนั้นจะกลายเป็นตรงกันข้าม ซึ่งทำให้ทั้งคู่ดูคล้ายกันได้อย่างไม่น่าเชื่อ' ในช่วงเวลาที่คุณครอสโกรธจัด หรือเมื่อคุณฟรอสแอบนั่งยิ้มอยู่คนเดียวซึ่งเกิดขึ้นได้ไม่บ่อยนัก

'ก๊อก ก๊อก' เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นอย่างไม่คาดคิดทำให้เธอสะดุ้ง ก่อนจะลุกขึ้นจากโต๊ะทำงาน 'อย่างน้อยคุณฟรอสก็กลับมาแล้ว เขาคงพอบอกฉันได้ว่าควรจะต้องทำอย่างไรต่อไป'

เธอรีบตรงไปที่ประตูด้วยความยินดี ก่อนที่เสียงเล็กๆ หนึ่งในเจ็ดเสียงที่เธอได้ยินภายในหัวของตัวเองอยู่เป็นประจำจะรีบเตือนว่า 'คุณฟรอสเขาไม่เคาะประตูหรอกนะสโนวที่รัก' ซึ่งทำให้เธอหยุดกึกทันที

'แต่คนทั่วไปก็ไม่มีทางค้นพบประตูบานนี้ได้' หรืออย่างน้อยเธอก็เชื่อว่ามันเป็นอย่างนั้น และเหตุผลนี้ก็มากเพียงพอที่จะทำให้เธอสงสัยมากว่าใครคือคนผู้นี้

เธอมองหาอะไรบางอย่างที่พอจะนำมาใช้ป้องกันตัว และไปสะดุดตาเข้ากับของเล่นชิ้นหนึ่งที่ถูกวางทิ้งไว้ มันเป็นหุ่นรูปร่างคล้ายคนสวมชุดเกราะที่สามารถแปลงร่างกลายเป็นรถบรรทุก ให้เด็กๆ นำไปลากเล่นได้ด้วย แต่ด้วยเหตุผลบางประการทำให้มันไม่ผ่านการทดสอบก่อนเข้าสู่สายการผลิต

เธอจับขาข้างหนึ่งของมันขึ้นมา รู้สึกถึงน้ำหนัก และความแข็งแรงของมันเมื่อมาอยู่ในมือ มันเป็นหุ่นโลหะที่คนออกแบบรู้ดีว่าเด็กๆ เล่นของเล่นของตนได้รุนแรงแค่ไหน มันอาจจะสามารถรอดมือของเด็กๆ พวกนั้นอยู่ได้นาน แต่นั่นก็เป็นข้อเสียที่ร้ายแรงของมันเช่นกัน

มันทนทานเกินไป และอาจถูกเด็กๆ นำไปใช้เหมือนกับที่เธอกำลังคิดจะทำอยู่ในตอนนี้

เธอตรวจดูสายโซ่ที่คล้องเอาไว้อีกครั้ง ก่อนแง้มประตูให้เปิดออกเล็กน้อย

“ใครคะ” เธอถาม ก่อนที่ใบหน้าของเขาจะโผล่ออกมาให้เห็นจากความมืดที่อยู่ด้านหลัง

“ผมเองครับ ทอย คนที่เข้ามาสัมภาษณ์งานเมื่อเช้า”

เธอจำเขาได้แล้ว จำใบสมัครของเขา และจำได้ว่าเขาเคยประกอบอาชีพอะไรมาก่อน 'ซวยแล้ว' เสียงอุทานหนึ่งในเจ็ดนั้นดังเหมือนกับจะหลุดออกมาจากปากของเธอเอง

“ใจเย็นๆ ก่อนนะคะ ช่วงนี้ทั้งคุณครอส และคุณฟรอสต่างมีงานยุ่งมาก เรื่องตำแหน่งงานที่คุณสมัครเอาไว้ เราจะรีบติดต่อกลับไปโดยเร็วที่สุดค่ะ”

เธอกำหุ่นในมือเอาไว้แน่น จนนิ้วเปลี่ยนเป็นสีขาว พยายามที่จะผลักประตูให้ปิดลง

ทอยรู้ว่าเขาไม่เหลือทางเลือกอื่นอีกแล้ว

สโนวไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ประตูถูกผลักให้เปิดออกอย่างไม่น่าเป็นไปได้ และเธอเหวี่ยงหุ่นโลหะในมือที่เหมือนกับกระบองออกไปสุดแรงที่ระดับความสูงเดียวกันกับศีรษะของเขา เธอนึกถึงชุดเกราะที่งดงามของมันอันเต็มไปด้วยแง่มุมแหลมคมจำนวนมาก นึกถึงใบหน้าของเหล่าผู้ปกครองที่กำลังกรีดร้อง เมื่อได้เห็นลูกๆ ที่น่ารักของตนกำลังเหวี่ยงมันเข้าใส่สิ่งต่างๆ โดยเฉพาะศีรษะของเพื่อนที่กำลังเล่นอยู่ด้วยกัน ก่อนที่จะเปลี่ยนกลายเป็นทะเลาะซึ่งมักเกิดขึ้นเป็นประจำ

ทอยก้าวเข้ามาในสำนักงานได้อย่างไม่น่าเชื่อ มือของเธอเคลื่อนผ่านใบหน้าของเขาไปโดยไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น เพราะหุ่นแปลงร่างตัวนั้นไม่รู้ว่าหายไปอยู่ที่ใดแล้ว เธอพลันรับรู้ได้ถึงความรู้สึกคุกคามที่แผ่กระจายออกมาจากร่างของเขา

'โอไม่โอไม่โอไม่โอไม่โอไม่โอไม่โอไม่...' เสียงทั้งเจ็ด รวมถึงเสียงของตัวเธอเองด้วยต่างแย่งกันกรีดร้องอยู่ภายในหัว เธอคิดว่ากำลังจะได้เห็นภาพจากอดีตของตนวิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็วเหมือนกับที่เคยได้ยินเขาเล่าลือกัน 'ฉันกำลังจะตาย' และเธอแปลกใจที่ดูเหมือนตัวเองจะไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวอะไรมากนัก มันเหมือนจะเป็นความแปลกใจ หรือบางทีอาจจะเป็นความโกรธเสียมากกว่า

'มันอาจจะเป็นแบบนี้ไปจนกว่าความเจ็บปวดจะเริ่มต้นขึ้น' เสียงหนึ่งกระซิบเยียบเย็นจนเธอใจหาย และเตือนเธอให้รู้ตัวอีกครั้งว่า เสียงพวกนั้นอาจไม่ได้อยู่ฝ่ายเดียวกับเธอเสมอไป

“หยุด” เขาส่งเสียงตวาดจนเธอสะดุ้ง “หายใจเข้า หายใจออก ช้า ช้า หน้าคุณกำลังซีดมาก หายใจเข้า หายใจออก...ดีมาก” เขายกมือขึ้นลงเพื่อให้จังหวะ ก่อนจะนึกถึงหุ่นโลหะที่แย่งมาจากเธอซึ่งยังถืออยู่ในมือ เขารีบโยนมันทิ้งไป เธอทำตามที่เขาบอกราวกับถูกสะกด และเขาก็ใช้ช่วงเวลานี้ทำให้ตัวเองเย็นลงด้วยเช่นกัน

เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะผลักดันให้ตัวเองเข้าสู่สำนึกของมือสังหาร เพื่อเร่งการเผาผลาญพลังงาน เพิ่มระดับของสารเคมีต่างๆ ในร่าง ทำให้เขาสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็ว และด้วยการเคลื่อนไหวน้อยที่สุดเท่าที่จำเป็นเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย อันได้แก่การปลดโซ่ เปิดประตู และคว้าหุ่นสังหารออกจากมือของเธอก่อนที่มันจะฟาดลงบนศีรษะของเขา ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นแทบจะในเวลาเดียวกัน

'และฉันบอกว่าไม่อยากจะเป็นมือสังหารอีกแล้ว' เขาคิด

เมื่อสีหน้าของเธอเริ่มดีขึ้น เขาจึงบอกให้เธอกลับไปนั่งที่โต๊ะทำงาน ซึ่งเธอก็ทำตามด้วยดี โดยไม่มีเสียงคัดค้านใดๆ ดังขึ้นภายในหัวทั้งสิ้น

“เราจะนั่งลงแบบนี้ แล้วก็คุยกัน ตกลงไหมครับ”

เธอพยักหน้า และรู้สึกมั่นใจมากขึ้นเมื่อได้กลับมานั่งอยู่ในตำแหน่งที่คุ้นเคยของตน ส่วนเขาก็นั่งลงบนเก้าอี้ที่มีอยู่เพียงตัวเดียวภายในห้อง และทั้งหมดนี้ทำให้ทั้งคู่หวนนึกถึงเหตุการณ์ที่พึ่งเกิดขึ้นเมื่อเช้า แต่ราวกับเป็นเรื่องเมื่อนานมาแล้ว

“ก่อนอื่นผมต้องขอโทษด้วยที่บุกรุกเข้ามาแบบนี้ แต่ผมไม่มีทางเลือก วันนี้ผมถูกสารวัตรโฮม เชิญตัว ไปสอบสวน ในเรื่องที่ผมไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วยเลย” ซึ่งมันไม่ใช่ความจริงทั้งหมด 'อย่างน้อยฉันก็ไม่อยากให้มีใครที่รู้จักเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย'

“ผมรู้แล้วว่าคุณครอสหายตัวไป แต่ผมอยากรู้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร จริงๆ แล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่ คุณพอจะเล่าให้ผมฟังได้ไหมครับ”

เธอลังเล 'มันจะแย่อะไรไปกว่านี้ เขาจะจัดการกับเธอเมื่อไรก็ได้' เสียงหนึ่งบอก 'บางทีเขาอาจจะมีประโยชน์ และที่จริงเขาก็ดูน่ารักดีเสียด้วย เห็นมาตั้งแต่เมื่อเช้านี้แล้ว' เธอแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินในส่วนนั้น ก่อนคิดและได้ข้อสรุปออกมาอย่างรวดเร็ว

“ได้ ถ้าคุณอยากรู้ ฉันก็จะเล่าให้ฟัง”


Create Date : 14 กันยายน 2556
Last Update : 14 กันยายน 2556 20:10:07 น. 1 comments
Counter : 660 Pageviews.

 
มาลงชื่อค่า
เดี๋ยวไปอ่านที่กระทู้นะคะ ^^



โดย: lovereason วันที่: 14 กันยายน 2556 เวลา:22:06:58 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

zoi
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




..........
Friends' blogs
[Add zoi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.