ช่วงนี้ชีวิตวุ่นวายเกินพิกัด...แล้วจะกลับมาเขียนเรื่องที่ค้างไว้ให้จบครับ...สักวัน
Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2557
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
19 ตุลาคม 2557
 
All Blogs
 
ทอย (59)

ในภาพฝันที่แจ็คนักสำรวจไม่รู้ว่าตนเองกำลังฝันอยู่ หลังจากที่เขาได้ขานนามของเทพีอัลฟาออกจากปากตนเอง เขาได้ประสบกับบางสิ่งที่ไม่รู้ว่าจะอธิบายได้อย่างไร แต่มันคือทุกสิ่งที่กำลังดำเนินไป มันคือการร่ายรำของความเป็นจริง ไม่มีสิ่งที่อาจเรียกได้ว่าเป็นการเริ่มต้น หรือจุดจบ แต่มันทั้งเกิดขึ้น ดำเนินไป และจบลง ภายในท่วงทำนองเดียวกันทั้งหมด

โศกาคิดได้เขียนเอาไว้ในหน้าสุดท้ายในหนังสือของตนว่า

'มนุษย์เกิดขึ้นได้อย่างไร ชีวิตเกิดขึ้นได้อย่างไร โลกเกิดขึ้นได้อย่างไร ระบบสุริยะ ดวงดาว อวกาศ ไปจนถึงห้วงจักรวาลอันไพศาล เลยพ้นออกไปที่ทางด้านนอก รวมถึงอีกด้านของหลุมดำ ยังมีสิ่งใดที่อยู่นอกขอบเขตแห่งจักรวาลอีกหรือไม่

ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นคำถามอันใหญ่โต ที่เมื่อพยายามจะคิดหาคำตอบ มันก็หนีไม่พ้นการที่จะต้องสร้างคำถามใหม่ขึ้นมาด้วยเสมอ เพราะเราไม่อาจยอมรับได้ว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้นได้จากความว่างเปล่า ความไม่มี มันจะต้องมีบางสิ่งก่อนหน้านั้นเสมอ อีกทั้งพื้นฐานความคิดทั้งหมดของพวกเราก็ยังถูกผูกติดไว้กับเส้นแกนเวลาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง

ดูเหมือนว่าสุดท้ายแล้ว แม้แต่จินตนาการของเราเองก็ยังมีขอบเขต เราไม่อาจคิดไปถึงสิ่งที่เลยพ้นจากขอบเขตนั้น เหมือนกับสิ่งที่อยู่นอกจักรวาล อยู่นอกเส้นแกนแห่งเวลาพวกนั้น

ยังคงมีคำถามอีกมากมาย ที่เรายังไม่รู้คำตอบ แต่บางที คำตอบพวกนั้นก็อาจไม่สำคัญ ทุกสิ่งอาจไม่สำคัญ แล้วสิ่งใดกันที่จะมีความสำคัญกับเราในตอนนี้'

ตัวหนังสือจบลงเพียงแค่นั้น แต่ผู้ที่ได้อ่านมันด้วยตาของตนเองจะได้พบเห็นบางสิ่งที่นอกเหนือไปจากความหมายที่ได้จากข้อความที่ถูกบันทึกเอาไว้ ลายมือ ตัวหนังสือของโศกาคิดในหน้าสุดท้ายนี้เริ่มต้นอย่างไม่มั่นคง พวกมันสั่นคลอน มีความลังเลอย่างเห็นได้ชัด จนกระทั่งถึงตัวอักษรเพียงไม่กี่ตัวสุดท้ายเท่านั้นที่แตกต่างออกไป

มันคือคำว่า 'ตอนนี้' ที่มั่นคงราวกับถูกสลักลงบนแผ่นกระดาษในหน้าสุดท้ายนั้น

แจ็คหวนนึกถึงภาพสลักบนฝาผนัง นางก็คือเทพีอัลฟา เขาเห็นนางเริ่มร่ายรำ อาหาร เสื้อผ้า ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค สิ่งต่างๆ ที่ถูกสลักเอาไว้รอบตัวนาง ก็เริ่มเพิ่มมากขึ้น และมากขึ้น ผู้คนต่างพากันเข้ามาล้อมเป็นวง และเต้นไปพร้อมกับนาง ทุกสิ่งก็ยิ่งเพิ่มขึ้น เร็วขึ้น ทวีจำนวนขึ้นอย่างก้าวกระโดด

จนกระทั่งเมื่อไปถึงจุดหนึ่ง เมื่อไม่มีหนทางให้ไปต่อ เมื่อไม่อาจก่อเกิดเป็นสิ่งใหม่ขึ้นได้อีก เมื่อการขยายตัวยุติลง การล่มสลายก็เวียนมาถึง เหมือนกับที่อารยธรรมซึ่งได้เคยสร้างเมฆาปราสาทแห่งนี้ต้องเผชิญ รวมถึงอารยธรรมอื่นๆ อีกมากมายที่มีมาก่อนหน้านั้น ก่อนที่จะถึงยุคสมัยของเรา และอาจรวมถึงบางสิ่งที่มีมาก่อนยุคสมัยของมนุษย์ด้วยซ้ำ

ในช่วงเวลาอันยาวนานแห่งยุคสมัยของพวกเรา นางอาจเพียงแค่นั่งอยู่นิ่งๆ ภายในถ้ำ ดีดนิ้ว เคาะเท้าไปตามจังหวะที่เนิบช้าของมวลมนุษยชาติ แต่การร่ายรำของนางไม่เคยหยุด มันเป็นแค่เพียงการเปลี่ยนจังหวะ ปรับท่วงท่า เป็นช่วงเวลาที่นางจะใช้ไปเพื่อเตรียมการเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง และอีกครั้ง แล้วนางก็จะลุกขึ้นโยกย้ายไปกับท่วงทำนองแห่งการล่มสลาย เพื่อก่อกำเนิดให้กับสิ่งใหม่

เป็นช่วงเวลาอันแสนยาวนาน ที่ผ่านไปในชั่วพริบตา ชั่วเวลาเพียงพริบตา ที่ยาวนานจนราวกับจะไม่สิ้นสุด

#####

“คุณวสันต์ เป็นอย่างไรบ้าง”

ลินคอนถามด้วยความเป็นห่วง เมื่อละสายตาจากถนนตรงหน้ามาพบกับท่าทางที่อ่อนล้าลงอย่างเห็นได้ชัดของเธอที่นั่งอยู่บนเบาะด้านข้าง การขับรถไปตามถนนที่กองสุมไปด้วยหิมะ รวมไปถึงเศษซากสิ่งต่างๆ นั้นอันตราย แต่ก็เป็นเพียงหนทางเดียวที่พวกเขาจะสามารถตระเวนไปรอบเมืองได้อย่างรวดเร็ว

ที่เบาะด้านหลังนั้นนั่งไว้ด้วยคุณนายวิกเซ่น กับกู๊ดแมน โดยที่ไม่มีใครรู้ว่าท่านหญิงนั้นได้หายตัวไปในตอนไหน แต่มนุษย์หมาป่าทั้งสองต่างก็รู้สึกโล่งใจที่ไม่จำเป็นต้องนั่งร่วมทางไปกับผีดูดเลือดอย่างนาง

“...ยังพอไหวค่ะท่าน” ถึงจะตอบออกไปอย่างนั้น แต่เธอทั้งรู้สึกมึนหัว ตัวเบา จนแทบจะครองสติไว้ไม่อยู่แล้ว

“ฉันคงตัวใหญ่เกินไปสำหรับร่างเล็กๆ แบบบางของเธอ” โทรลบอก ไม่มีใครเห็นความเปลี่ยนแปลงใดๆ เกิดขึ้นกับวสันต์ทั้งสิ้น นอกจากที่เธอมีเงาอันใหญ่โตของสะพานลอนดอนติดตัวมาด้วยเท่านั้น และตอนนี้มันกำลังทอดยาวอยู่ภายในรถจนทำให้มืดมิดผิดปกติ

ไม่มีใครรู้ว่าโทรลได้พูดคุยอะไรกับชาวมหานครเหล่านั้นบ้าง เพียงแต่เมื่อรถวิ่งผ่านไปแล้ว พวกเขาก็จะได้เห็นผู้คนบางส่วนออกมารวมตัวกันเพื่อมุ่งหน้าไปยังตึกนคราภิวัฒน์ จุดหมายสุดท้ายที่พวกเขาตั้งใจจะเดินทางไปให้ถึง

“ฉันก็แค่พูดคุยกับพวกเขา เตือนให้พวกเขานึกถึงสิ่งที่อาจหลงลืมไป ไม่มีอะไรใหม่ ไม่มีเรื่องอะไรที่พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อน ทุกคนต่างก็เป็นส่วนหนี่งของเมืองแห่งนี้ แต่ก็อย่างที่เห็น ไม่ใช่ว่าทุกคนจะยอมฟังฉัน และฉันก็ไม่แปลกใจเลย เพราะมันควรจะเป็นแบบนั้น ฉันเองก็ต้องเข้าใจพวกเขาด้วยเช่นกัน”

“เอ่อ รวมถึงกลุ่มคนพวกนั้นด้วยหรือเปล่า” กู๊ดแมนชี้มือไปทางด้านซ้ายของถนนข้างหน้า ที่ซึ่งมีชายหนุ่มกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันอยู่ ในมือของพวกเขาต่างมีท่อนเหล็ก โซ่เส้นใหญ่ ไม่ก็ของบางสิ่งที่สามารถใช้เป็นอาวุธ ท่าทางของพวกเขาบอกให้รู้ว่าปัญหากำลังจะเกิดขึ้น

“ทุกคนระวัง” ลินคอนร้องบอกเมื่อเห็นหนึ่งในนั้นยกโซ่ขึ้นแกว่งเหนือศีรษะ ก่อนที่จะเหวี่ยงเข้าใส่รถของพวกเขาที่กำลังมุ่งหน้าเข้าไปหา ลินคอนตัดสินใจหักพวงมาลัยบังคับรถให้เลี้ยวไปทางด้านซ้าย ทำให้โซ่เส้นนั้นปะทะเข้ากับด้านข้างของรถแทนที่จะเป็นกระจกหน้า แต่ด้วยสภาพของถนน และการเลี้ยวอย่างกระทันหัน ทำให้เขาไม่สามารถควบคุมรถจนกระทั่งมันไถลไปอีกไกล หลุดออกจากถนน แล้วไปปะทะชนเข้ากับอะไรบางอย่างที่อยู่ใต้กองหิมะ

รถหยุดนิ่งลงอย่างไม่รุนแรงนัก แต่ปัญหากำลังออกวิ่งตามพวกเขามา
“ทำอย่างไรกันดีโทรล...โทรล โทรล” ไม่มีเสียงตอบ และวสันต์นั่งคอตกหมดสติไปเรียบร้อยแล้ว โชคดีที่เธอคาดเข็มขัดนิรภัยเอาไว้

“รีบพาวสันต์ไปจากที่นี่” ลินคอนร้องสั่ง พร้อมกับพยายามลากตัวเองออกจากรถทางช่องกระจกด้านข้างคนขับที่แตกไปเพราะโซ่รวมกับการชนเมื่อครู่นี้ เขานึกย้อนกลับไปเมื่อช่วงเวลาก่อนหน้า ตอนที่เขาตัดสินใจว่าจะไม่นำขวานของตนออกมาใช้อีก ตอนที่เขาคิดเอาเองว่ามันได้ผ่านพ้นจากช่วงเวลาแห่งการใช้ขวานไปเนิ่นนานแล้ว

แต่เขาคิดผิด

“ให้ผมอยู่ช่วยนะครับ” กู๊ดแมนร้องบอก พร้อมกับเปิดประตูฝั่งของตนที่ยังเปิดได้ออกมา ถึงแม้ว่าร่างกายของเขาจะยังไม่พื้นตัวก็ตามที “ให้ฉันดีกว่า” คุณนายวิกเซ่นที่ตามออกมาก็ยังอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่ไม่แพ้กัน

“ไม่ ฉันจะอยู่คนเดียว ทั้งสองคนรีบช่วยกันพาวสันต์กับโทรลไปเดี๋ยวนี้”

“แต่ว่า...” กู๊ดแมนไม่คิดว่ามันจะเป็นแผนที่ดี “ข้างหน้าจะยังต้องเจออะไรอีกไม่รู้” ลินคอนบอก “พวกคุณต้องช่วยกันพาเธอไปให้ถึงจุดหมายให้ได้”

คุณนายวิกเซ่นรีบปลดเข็มขัดนิรภัยออก ก่อนดึงแขนของวสันต์ข้างหนึ่งขึ้นมาโอบไหล่ของนางเอาไว้ แล้วจึงดึงร่างของเธอออกมาจากรถ หากนางยังคงแข็งแรงดี นางจะแบกเธอขึ้นหลังแล้ววิ่งไปก็ยังไม่เป็นปัญหา แต่ไม่ใช่ในสภาพร่างกายตอนนี้

“เรารีบไปกันเถอะจี ท่านผู้ว่าพูดถูกแล้ว”

“...แต่” กู๊ดแมนยังลังเล “รีบไปได้แล้ว” ลินคอนเร่ง “ก่อนที่จะไม่ได้ไปกันทั้งหมด”

“ใช่เจ้าผู้ว่าจริงๆ ด้วย” เสียงใครคนหนึ่งตะโกนขึ้นจากกลุ่มคนเหล่านั้น “จัดการเลย มันเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดนี้” สมาชิกที่เหลือต่างส่งเสียงเฮขึ้นสนับสนุน

จิตใจสู้ของลินคอนร่วงลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม เขาอายุมากแล้ว มีเพียงมือเปล่า เดียวดายอยู่ภายในเมืองหิมะ ก่อนที่มันจะค่อยๆ แปรเปลี่ยนกลายมาเป็นความโกรธอย่างช้าๆ ที่นี่คือเมืองของเขา ทุกสิ่งที่เขาได้ร่วมต่อสู้ดิ้นรนเพื่อให้ได้มา แล้วคนหนุ่มพวกนี้เป็นใครกัน พวกเขาเกิด และเติบโตขึ้นมาอย่างสบายภายในมหานครที่สงบสุข พวกเขามีสิทธิอะไรที่จะมาตะโกนชี้หน้ากันแบบนี้

“ดี ดูเหมือนคนพวกนี้จะมีเป้าหมายอยู่ที่ฉันเหมือนกัน” เขามองไปรอบๆ เพื่อหาบางสิ่งที่พอจะนำมาใช้เป็นอาวุธ “รีบไปได้แล้ว” แล้วเขาก็พบท่อนไม้ขนาดเหมาะมือจากในกองหิมะที่รถชนเข้านั่นเอง

มนุษย์หมาป่าทั้งสองต่างเร่งช่วยกันประคองร่างของวสันต์จากไปอย่างลังเล พวกเขาจากไปพร้อมกับเงาของสะพานลอนดอนที่ดูเหมือนจะจืดจางลงจากเดิม บางทีอาจเป็นเพราะว่าจิตใจของวสันต์ที่ถูกใช้เป็นเครื่องยึดเกาะนั้นกำลังอยู่ในสภาพหมดสติ จึงทำให้โทรลอ่อนแรงลง และไม่อาจช่วยอะไรได้ในสภาพเช่นนี้

ลินคอนพร้อมท่อนไม้ในมือทำให้หลายคนในกลุ่มเริ่มลังเล เพราะถึงอย่างไรทุกคนต่างก็รู้ว่าชายผู้นี้เคยเป็นถึงวีรบุรุษแห่งสงครามผีดูดเลือดมาก่อน

“อย่ากลัวไป” ชายหนุ่มที่ทำตัวเป็นผู้นำของกลุ่มพูดขึ้นพร้อมกับกวัดแกว่งท่อนเหล็กไร้คมที่มีความยาวพอพอกับดาบในมืออย่างคล่องแคล่ว เมื่อพิจารณาจากรูปร่าง กับสิ่งที่เขาทำได้แล้ว ลินคอนก็สรุปได้ในทันทีว่าชายคนนี้จะต้องเป็นตัวปัญหาอย่างไม่ต้องสงสัย เขาต้องเคยเรียนวิชาการต่อสู้ และมีประสบการณ์กับมันมาพอสมควร “ตอนนี้ มันก็เป็นแค่ตาแก่คนหนึ่งเท่านั้นเอง”

ท่อนเหล็กไร้คมนั้นอาจไม่ทำให้รู้สึกว่าเป็นอาวุธอันตราย แต่เมื่ออยู่ในมือของคนที่รู้วิธี มันก็คืออาวุธร้ายแรงอย่างไม่ต้องสงสัย กลุ่มคนเหล่านั้นเริ่มกระจายออกเพื่อล้อมลินคอนเอาไว้ตรงกลาง

“ขวานหายไปไหนเสียล่ะ ท่านวีรบุหลุด” ชายหนุ่มถามอย่างยียวน “หรือว่าตั้งแสดงไว้จนสนิมจับหมดแล้ว” เสียงหัวเราะดังขึ้นจากรอบวง

“พวกเธอรีบกลับบ้านไปดีกว่า” ลินคอนพยายามทำตัวตามสบาย “เมื่อเหตุการณ์ครั้งนี้ผ่านพ้นไปแล้ว พวกเธอจะดีใจที่ไม่ได้ทำแบบที่กำลังทำอยู่ในตอนนี้”

เขาเห็นความลังเลในดวงตาของบางคน แต่ไม่ใช่กับหัวโจกที่ถือท่อนเหล็กตรงหน้า

“ไม่ต้องมาทำวางท่า ไม่มีใครเชื่อตาแก่อย่างแกหรอก โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว ผู้ที่เข้มแข็ง กลุ่มที่เข้มแข็งเท่านั้นถึงจะอยู่รอด จริงไหมพวกเรา” หลายคนพากันส่งเสียงสนับสนุน

'แค่คว่ำตัวหัวโจกลงได้ก็พอ' ลินคอนสรุป พวกนี้ไม่ใช่กลุ่มของคนที่มีอุดมการณ์ร่วมกันอะไรแบบนั้น แต่เป็นเพียงกลุ่มคนสิ้นหวังที่มาพบเจอกับอันธพาลเข้า เขาพยายามปลุกปลอบใจตัวเองว่าถึงแม้จะไม่มีขวาน เขาก็ยังมีฝีมือ และประสบการณ์ที่จะนำออกมาใช้ต่อสู้ได้

“เข้ามาเลย ตาแก่ เข้ามา” ชายหนุ่มร้องท้าพร้อมกับกวักมือเรียก แต่เขารู้ดีกว่านั้น ท่อนไม้ในมือนี้ไม่อาจใช้หวดเข้าใส่ท่อนเหล็กตรงๆ ได้เพราะมันคงจะหักในทันที เขาต้องใช้มันในการปัดป้อง แล้วค่อยหาจังหวะโจมตีสวนกลับไปเท่านั้น “ถ้าอย่างนั้นฉันจะเข้าไปเอง”

ชายหนุ่มขยับมือหลอกล่อสองสามครั้ง ก่อนจะฟาดท่อนเหล็กเข้าใส่จากทางด้านบน เขาจึงเบี่ยงตัวหลบไปทางด้านข้างอย่างฉิวเฉียด แต่ชายหนุ่มก็ยังไวพอที่จะกลับตัวแล้วหวดซ้ำเข้าใส่บริเวณขาของเขาแทน เขาพยายามจะถอยออกมา แต่ก็ไม่ทัน มันจึงหวดเข้าที่ต้นขาซ้ายของเขา ความเจ็บปวดนั้นวิ่งตรงไปยังสมอง แต่ก่อนหน้านั้น ความตื่นเต้นที่มีมากกว่าทำให้เขารีบถอยออกมาได้ทันก่อนที่จะโดนหวดซ้ำเข้าอีกครั้ง

แต่สุดท้ายแล้วความเจ็บปวดก็ไล่ตามมาทันความตื่นเต้น ตอนนี้มันยังไม่มากมายนัก แต่เขารู้ว่ามันจะยิ่งเลวร้ายลงไปเรื่อยๆ

“ฉันจะฟาดแกให้น่วม ก่อนจับแห่ไปรอบเมือง” ชายหนุ่มยิ้ม “แกคือต้นเหตุของเรื่องเลวร้ายทั้งหมดนี้ ฉันจะกำจัดแกแล้วขึ้นเป็นผู้ว่าแทน...ไม่สิ ฉันจะเป็นเจ้าเมือง ฉันจะขึ้นเป็นเจ้าผู้ครองมหานครคนใหม่”

บางคนในวงล้อมส่งเสียงสนับสนุน บางคนเริ่มไม่แน่ใจ

ชายหนุ่มหวดท่อนเหล็กในมือออกไปอีกครั้ง เขาซึ่งตอนนี้ขยับตัวได้ไม่ถนัดจึงได้แต่กัดฟันยกท่อนไม้ในมือขึ้นรับ แม้จะพยายามแล้ว แต่มันก็ยังหักทันที แรงกระแทกยังทำให้มือของเขาได้รับบาดเจ็บ และด้วยการหวดอีกครั้งซึ่งเขาต้องรับไว้ด้วยท่อนแขนก็ทำให้เขาต้องลงไปนอนกลิ้งไปมาบนพื้นด้วยความเจ็บปวด

#####

“ไม่อยากรู้หรือว่าใครอยู่ข้างหลังผม”

ทอยถามซ้ำอีกครั้ง พร้อมกับจ้องเข้าไปในดวงตาของอัลฟา ดวงตาแสนงดงามที่เต็มไปด้วยประกายแห่งความหวัง ทุกสิ่งล้วนเกิดขึ้นได้ ทุกสิ่งล้วนเป็นไปได้ภายใต้ดวงตาคู่งามนี้ นางคือความหวังทั้งมวลที่ถูกกักเอาไว้ภายในถ้ำ ไม่ใช่เพื่อให้สิ้นสูญ แต่เพื่อให้ค่อยๆ เล็ดรอดออกมาทีละน้อย

เพราะเมื่อถูกเผยออกมาเช่นนี้ นางก็จะกลายเป็นการเริ่มต้นใหม่ทั้งหมดของทุกสิ่ง

“...ใครอยู่ข้างหลังเจ้า” นางถามพร้อมกับเคลื่อนใกล้เข้ามา ทอยกำลังรอคอยจังหวะที่จะลงมือ แต่ไม่มีสิ่งใดที่จะทำร้ายนางได้ ไม่มีสิ่งใดที่จะสามารถหยุดยั้งการเริ่มต้น นางคือสิ่งที่ต้องเกิดขึ้น นางคือสิ่งที่ถูกต้อง

ทอยกางแขนทั้งสอง ปล่อยให้โฮมกับสโนวนั้นออกห่างจากตัวเขาราวกับคิดที่จะสวมกอดอัลฟาเอาไว้ในอ้อมแขน 'แล้วใครกันที่อยู่ข้างหลังฉัน' เขาเองก็อยากรู้เช่นกัน


Create Date : 19 ตุลาคม 2557
Last Update : 19 ตุลาคม 2557 18:29:08 น. 0 comments
Counter : 543 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

zoi
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




..........
Friends' blogs
[Add zoi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.