ช่วงนี้ชีวิตวุ่นวายเกินพิกัด...แล้วจะกลับมาเขียนเรื่องที่ค้างไว้ให้จบครับ...สักวัน
Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2557
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
17 สิงหาคม 2557
 
All Blogs
 
ทอย (50)

ยักษ์น้ำแข็งจากบรรพกาล แจ็ค ฟรอส ตอนนี้ได้กลายสภาพเป็นผลึกสีฟ้าใสทั่วทั้งร่าง นั่งนิ่งอยู่ในห้องที่ถูกปิดตายภายในกองบังคับการตำรวจแห่งมหานคร สิ่งต่างๆ ภายในห้องนี้ถูกเคลือบทับไว้ด้วยน้ำแข็ง ด้วยความเย็น จนแม้แต่อากาศก็ยังแทบไม่อาจเคลื่อนไหว สิ่งเดียวที่แตกต่าง สิ่งเดียวที่แปลกแยกออกไปก็คือสโนวบอลซึ่งเคยบรรจุมหานครจำลองเอาไว้ แต่ตอนนี้ภายในโดมแก้วทรงกลมนั้นมีเพียงสีขาวของหิมะที่ได้ท่วมทับทุกสิ่งไปจนหมดสิ้น จนมันได้กลายเป็นโลกสีขาวอย่างสมบูรณ์ไปเรียบร้อยแล้ว

เสียงดนตรี และการเต้นรำเฉลิมฉลองแห่งวันกลางฤดูร้อนอันมีชีวิตชีวาที่เคยเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า รวมถึงครั้งที่กำลังเกิดขึ้นกับหมู่บ้านในความฝันนั้นด้วย พวกมันต่างดังแว่วสะท้อนไปมาอยู่ภายในร่างสีฟ้าใสของยักษ์น้ำแข็งตนนี้ เสียงดนตรี และท่วงทำนองที่พึ่งเกิดขึ้นมาในช่วงระยะเวลาอันสั้น เมื่อเปรียบเทียบกับอายุขัยเก่าแก่ของโลกใบนี้ สรรพเสียงจากยุคแห่งมนุษย์อันก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ให้กำเนิดสิ่งต่างๆ ขึ้นมากมายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

ในฤดูแห่งการเก็บเกี่ยวอันอุดม ในท่ามกลางความสุขสมบูรณ์แห่งชีวิต ผู้คนต่างมารวมตัวกันเพื่อเฉลิมฉลอง และเตือนให้ตระหนักถึงฤดูหนาวที่จะต้องเวียนมาถึงอีกครั้ง ทุกสิ่งที่มีอยู่อย่างมากมายในฤดูร้อนนี้จะต้องถูกจัดเตรียมไว้ให้พร้อมเพื่อใช้รับมือกับความหนาวเย็น ความยากลำบาก การขาดแคลน และอดอยากแห่งฤดูหนาวที่จะต้องมาถึง

วัฏจักรที่หมุนเวียนไม่สิ้นสุด

ท่วงทำนองแห่งการเฉลิมฉลองทั้งมวลนั้นได้ถูกถ่ายทอดออกมาจากภายในก้อนน้ำแข็ง สั่นสะเทือนไปถึงสโนวบอลจนก่อให้เกิดการเคลื่อนที่ที่แม้จะเพียงเล็กน้อยขึ้นมา โดยไร้สุ้มเสียง โดมแก้วนั้นก็ได้แตกสลายกลายเป็นผงละเอียดสีขาวที่สะท้อนแสงแวววับ รวมเข้ากับผงหิมะที่อยู่ภายในก่อนกระจัดกระจายร่วงหล่นลงสู่พื้น แล้วส่วนประกอบทั้งหมดซึ่งเคยเป็นสโนวบอลลูกนั้นก็ระเหิดหายไปจนหมดสิ้นราวกับมันไม่เคยมีตัวตนมาก่อน

เสียงถอนหายใจสั้นๆ ครั้งสุดท้ายพลันดังขึ้นทำลายความเงียบภายในห้อง มันคล้ายกับจะดังออกมาจากร่างของยักษ์น้ำแข็ง ถ้าก้อนน้ำแข็งจะสามารถถอนหายใจเช่นนั้นได้ หลังจากนั้นทุกสิ่งถายในห้องนี้ก็หยุดนิ่ง แม้แต่อากาศ รวมไปถึงชีวิต ทั้งห้องได้ถูกแช่แข็งลงอย่างสมบูรณ์ในที่สุด

มือของผู้ว่าลินคอนยังคงอยู่ในตำแหน่งข้างเอวที่เขาเคยพกขวานคู่ใจเอาไว้ ในห้วงเวลานั้น เขาไม่ได้ยินเสียงของสิ่งใดทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเสียงของผู้คนรอบกาย หรือเสียงบรรเลงดนตรีที่มีท่วงทำนองเก่าแก่ซึ่งกำลังจะร่ายมนต์ให้เกิดเป็นการเต้นรำเฉลิมฉลองขึ้นในใจกลางเมือง ทันใดนั้น เสียงทอดถอนใจอันแสนเศร้าก็ดังขึ้นอย่างชัดเจนภายในหัวของเขา ก่อนจะติดตามมาด้วยเสียงคำรามต่ำๆ จากท้องฟ้าเบื้องบนที่ค่อยๆ ดังขึ้นเรื่อยๆ และหยุดการเคลื่อนไหวของผู้คนบนพื้นเบื้องล่างไปชั่วขณะ

ทุกคนต่างพากันเงยหน้าขึ้น และได้เห็นว่าท้องฟ้าสีเทานั้นกำลังเคลื่อนต่ำลงมาอย่างรวดเร็ว

“เข้าไปในตึก ทุกคนรีบเข้าไปในตึก วิ่ง”

ในท่ามกลางความเงียบ เสียงตะโกนของลินคอนก็ดังขึ้น พร้อมกับที่เขาเริ่มออกวิ่งไปยังประตูหน้าของอาคารนคราภิวัฒน์ที่อยู่ใกล้ที่สุด เขาน่าจะเป็นคนแรกที่เข้าใจว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น และตลอดเส้นทางเขาก็พยายามดึงให้ผู้คนติดตามไปให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก่อนคนที่เหลือจะเริ่มทำตาม แม้จะยังไม่รู้เหตุผล ราวกับว่าทุกคนต่างเป็นตัวโดมิโนที่ถูกจัดวางไว้เพื่อให้ล้มต่อกันไปไม่สิ้นสุด

พลังของสโนวบอลที่แม้แต่ตัวเขาก็ไม่เข้าใจ แต่ได้ใช้มันเพื่อปกป้องมหานครจากความหนาวเย็นภายนอกได้สลายไปแล้วจะด้วยสาเหตุใดก็ตามแต่ มันจึงทำให้หิมะที่เคยสะสมตกค้างอยู่เหนือสนามพลังงานนั้น เหมือนกับที่พวกมันจะสะสมกันอยู่บนหลังคาร่วงหล่นลงมาพร้อมกับการจู่โจมของความหนาวเย็นจากเบื้องนอก

เขาไม่แน่ใจว่าหิมะที่สะสมอยู่บนนั้นจะมีปริมาณมากมายเพียงใด แต่พวกมันจะต้องก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นได้ไม่น้อยอย่างแน่นอน ดูเหมือนงานเฉลิมฉลองคืนแห่งของขวัญในมหานครคงจะต้องสิ้นสุดลงเพียงแค่นี้

#####

“เธอต้องพาทุกคนข้ามไป แต่ฉันจะทำหน้าที่นำทางให้เอง” กู๊ดแมนบอกกับคุณนายวิกเซ่น ในท่ามกลางงานเฉลิมฉลองคืนกลางฤดูร้อนที่ยังดำเนินต่อไป

“ว่าแต่ ทิ้งคุณสไตน์เอาไว้แบบนี้จะไม่เป็นอะไรแน่หรือครับ” ทอยถามอีกครั้งอย่างไม่มั่นใจ เขาอยากจะพาทนายความผู้นี้ไปด้วยกัน

“เขาจะตื่นขึ้นเองได้แน่ แล้วทุกอย่างจะเรียบร้อย คุณไม่ต้องเป็นห่วง” กู๊ดแมนรับรองอีกคน

“เรื่องนี้เราคงต้องเชื่อพวกเขา” เพราะสโนวไม่อยากให้เสียเวลารอมากกว่านี้อีกแล้ว

“ใครเป็น พวกเขา ที่ว่า” คุณนายวิกเซ่นว่า และยังคงไม่ยอมมองหน้านักเขียนนิยายผู้เคยใช้ชีวิตร่วมกันมาในอดีตช่วงหนึ่ง “แล้วใครแต่งตั้งคุณให้เป็นหัวหน้ามายืนออกคำสั่งแบบนี้ไม่ทราบ” นางกระแทกต่อ

กู๊ดแมนปิดปากสนิทไม่ตอบโต้ เพราะเป็นวิธีการรับมือกับสถานการณ์เช่นนี้ที่ดีที่สุด ซึ่งเขาได้เรียนรู้มาจากประสบการณ์ และการนั่งคิดทบทวนด้วยตัวเอง

“...แต่ที่คุณกู๊ดแมนพูดมาก็ถูกนะ” สโนวลองพูดอีกครั้ง “ถ้าเขามั่นใจว่าในถ้ำนั้นเป็นสถานที่ที่ใช้กักขังตัวคุณครอสเอาไว้ เราก็ควรจะต้องรีบไปช่วยให้เร็วที่สุด”

“เดี๋ยว ผมไม่ได้บอกอย่างนั้น” กู๊ดแมนรีบปฏิเสธ “ผมแค่บอกว่าภายในถ้ำนั้นมีกลิ่นของสาวน้อยหมวกแดงมากกว่าในหมู่บ้านแห่งนี้ ที่ดูเหมือนจะเป็นเพียงแค่ทางผ่านของเธอเท่านั้น ดังนั้นมันก็อาจจะเป็นไปได้ที่...”

“เชอะ” นั่นเป็นเสียงเตือนจากคุณนายวิกเซ่นที่ทำให้เขาต้องรีบปิดปากลงอีกครั้ง “คุณจะบอกว่าความสามารถในการติดตามของฉันมันด้อยกว่าของคุณนักใช่ไหม หือ คุณกู๊ดแมนผู้เก่งกาจ”

“วูฟ พอเถอะ” สโนวรีบยกมือขึ้นเพื่อปรามทั้งสองฝ่าย “ตอนนี้ สิ่งสำคัญก็คือเราต้องรีบหาทางช่วยคุณครอสกลับไปให้เร็วที่สุด เรื่องในอดีตระหว่างพวกเธอทั้งสองคนขอให้พักไว้ก่อนจะได้ไหม” ทั้งคู่แค่เงียบกันไปโดยไม่มีใครยินยอมรับปาก

“...แล้วเรื่องสาวน้อยหมวกแดงคนนั้นล่ะครับ ถ้าเราต้องพบเจอกับเธออีก เราควรจะทำอย่างไร” ทอยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน” แต่ดูเหมือนว่าสโนวจะแน่ใจมากกว่าที่เธอบอก “ถ้าหากเธอเข้ามาขัดขวางพวกเราอีก...ก็คงต้องขึ้นอยู่กับคุณแล้ว คุณทอย”
ซึ่งเป็นคำตอบแบบที่ทอยไม่อยากได้ยินเลย ตอนนี้เขาได้กลับเข้าสู่เส้นทางแห่งมือสังหารในสายตาของทุกคนอีกครั้ง และดูเหมือนสิ่งที่เคยทำให้เขาไม่ชอบใจในสมัยก่อนก็จะหวนคืนกลับมาด้วยเช่นกัน ความรู้สึกที่เคยทำให้เขาอยากละทิ้งอาชีพ ทิ้งสิ่งที่เป็นตัวตนของตัวเองไว้เบื้องหลัง

“...ผมเป็นมือสังหารก็จริง แต่ไม่ใช่นักฆ่าเลือดเย็น ผมไม่อาจจะฆ่าใครตามใจชอบได้หรอกครับ” น้ำเสียงของทอยนั้นกระด้างเกินกว่าที่เขาต้องการ

“โอ ฉันไม่ได้คิดอย่างนั้น ฉันก็แค่อยากจะพูดว่า เอ่อ...” แต่เมื่อครู่นี้สโนวก็คิดแบบนั้นจริงๆ และบางทีการยอมรับแล้วพูดออกไปตรงๆ อาจพอช่วยได้ ถ้ามันจะไม่ทำให้ความเสียหายนั้นบาดลึกลงไปกว่าเดิม “ฉันขอโทษ ฉันน่าจะรู้อยู่แล้วว่าคุณรู้สึกอย่างไรตั้งแต่ที่คุณตัดสินใจมาสมัครงานในร้าน แต่...ความสามารถเฉพาะตัวของคุณก็มีความสำคัญกับภารกิจในครั้งนี้มาก และบางทีอาจเป็นสาเหตุให้สาวน้อยหมวกแดงดักเล่นงานคุณด้วยก็เป็นได้ เพราะคุณอาจเป็นคนเดียวที่จะสามารถขัดขวางแผนร้ายของเธอได้”

แต่ทอยไม่ค่อยเห็นด้วย เพราะมันไม่อาจอธิบายถึงเรื่องที่ว่าทำไมสาวน้อยหมวกแดงจึงต้องลงมือกับสไตน์ด้วยได้

“...ผมจะทำเท่าที่ทำได้ก็แล้วกัน” นั่นเป็นสิ่งดีที่สุดเท่าที่ทอยจะรับปากได้ สโนวพยักหน้า พร้อมกับยิ้มเล็กน้อยเพื่อเป็นการแสดงความเข้าใจ และขอบคุณ

ดูเหมือนว่าทั้งสี่คนจะตกลงกันได้เรียบร้อยแล้ว อย่างน้อยก็ในเรื่องสำคัญที่ต้องรีบทำในตอนนี้

“ผมไม่แน่ใจนะ ว่าภายในถ้ำจะเป็นอย่างไร น้ำพวกนั้นจะยังอยู่หรือไม่ มันอาจจะอันตรายเกินไปก็ได้ วูฟ เธอจะสามารถพาพวกเราออกมาในทันทีได้ไหม ถ้ามันแย่อย่างที่ฉันกลัว” กู๊ดแมนถามอย่างจริงจังเมื่อหวนนึกถึงสภาพการจมน้ำอยู่ภายในถ้ำกว่าที่เขาจะสามารถหนีออกมาได้

“ฉันทำได้ดีกว่าคุณแน่” นางกล่าวออกมาอย่างเชื่อมั่น “และฉันพูดจริง ฉันอาจตามกลิ่นสู้คุณไม่ได้ แต่ถ้ารู้ตัวล่วงหน้าแบบนี้ ถ้าสถานการณ์มันอันตรายเกินไป ฉันก็จะรีบพาทุกคนกลับออกมาทันที” มันไม่ใช่การโอ้อวด แต่เป็นการยืนยันในความเชื่อมั่นของตนเอง ก่อนที่นางจะเริ่มใช้กิ่งไม้ขีดเขียนตัวเลขสองร้อยเก้าสิบเก้าล้านเจ็ดแสนเก้าหมื่นสองพันสี่ร้อยห้าสิบแปดที่แสนคุ้นเคยนั้นลงบนผืนดินตรงหน้า

ตัวเลขเหล่านั้นค่อยๆ ยุบตัวลงไปในผืนดินด้วยแรงดึงดูดมหาศาลในตัวของพวกมันเอง ทุกคนต่างรู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น ตัวเลขทั้งหมดค่อยๆ เคลื่อนเข้าหากัน หลอมรวมจนกลายเป็นเพียงจุดสีขาว ขยายตัวออก หรือไม่ก็ดึงดูดพวกเขาเข้าไปใกล้จนรู้สึกว่าจุดสีขาวนั้นใหญ่ขึ้นทั้งๆ ที่มันยังคงมีขนาดเท่าเดิม ร่างของพวกเขาราวกับถูกยืด บิด หมุน เข้าสู่จุดที่ตอนนี้ไม่รู้แล้วว่าเป็นสีขาวสว่างเจิดจ้า หรือว่าเป็นสีดำมืดอันไร้สิ้นสุดกันแน่

แล้วทุกอย่างก็หยุดนิ่งราวกับไม่เคยเกิดอะไรขึ้น ตัวเลขบนผืนดินนั้นได้จางหายไปจนหมด และพวกเขายังคงอยู่ในที่เดิมไม่ได้เคลื่อนย้ายไปไหนทั้งสิ้น
อีกสามคนที่เหลือต่างเหลือบมองมาที่คุณนายวิกเซ่นซึ่งเอาแต่จ้องพื้นว่างเปล่าตรงหน้า ไม่มีใครกล้าเอ่ยปาก โดยเฉพาะกู๊ดแมนที่แทบจะต้องกัดลิ้นของตนเอาไว้เพราะกลัวว่าจะกลายเป็นคนแรกที่พูดขึ้นมา คำตอบที่ทุกคนพอจะนึกออกนั้นมีอยู่เพียงหนึ่งเดียว นั่นคือเรื่องราวนี้ยังคงไม่ได้ถูกปลดปล่อยตามที่พวกเขาคิด มันยังคงมีบางอย่าง ปัญหาบางสิ่งที่มีแรงมากพอที่จะดึงดูดพวกเขาทั้งหมดเอาไว้

#####

“แม่บอกแล้วว่ามนุษย์นั้นเป็นจอมวางแผน ไม่ว่าจะอยู่ในวัยใด พวกเขาก็พร้อมจะทำทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ” มารดายิ้มให้กับผีดูดเลือดน้อยอย่างปลอบโยน ภายใต้เงาส่วนหนึ่งของผืนป่ายามราตรีที่โอบล้อมหมู่บ้านแห่งนี้เอาไว้ “และเราไม่ควรจะโทษว่าพวกเขา เพราะมันเป็นสิ่งถูกต้อง ตราบเท่าที่มันยังอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์บางอย่างที่พวกเขากำหนดขึ้นจะโดยรู้ หรือไม่รู้ตัวก็ตาม มันจึงเป็นความสนุกสนานอย่างหนึ่งซึ่งแม่ไม่นึกสงสัยเลย”

“เพียงแต่กฎที่ว่านั้นคงจะต้องถูกปรับเปลี่ยนไปบ้าง เพื่อให้เหมาะกับผู้เล่นหน้าใหม่อย่างพวกเรา” มารดายิ้มออกมาอีกครั้ง ครั้งนี้คงเป็นยิ้มที่มอบให้กับเหล่ามนุษย์ เพราะมันเป็นรอยยิ้มที่จะทำให้พวกเขาต้องฝันร้ายไปชั่วชีวิตหากได้พบเห็นที่นอกหน้าต่าง ในความเงียบงัน ตามลำพังในความมืดมิด หรือแม้แต่เพียงในจินตนาการ

มารดามีแผนที่จะทำให้หมู่บ้านแห่งนี้เติบโตขึ้นเรื่อยๆ จากภายในเงามืด ด้วยเสียงกระซิบ ด้วยแรงบันดาลใจให้กับผู้ที่เหมาะสม ผลักดันให้มันกว้างขึ้น ใหญ่ขึ้น จนกลายเป็นสิ่งที่เรียกว่า เมือง ซึ่งจะหมายถึงจำนวนของผู้คนที่มากขึ้นตามไปด้วย มากจนผู้คนเริ่มจะไม่ใส่ใจกัน มากจนกระทั่งใครบางคนอาจหายตัวไปโดยไม่มีใครสน มากจนกระทั่งมันจะกลายเป็นแหล่งอาหารอันอุดมของเหล่าผีดูดเลือดที่จะทวีจำนวนเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

“ในที่สุด มันก็จะกลายมาเป็นเมืองในฝันของพวกเรา” ผีดูดเลือดน้อยไม่ค่อยรู้สึกคล้อยตามความคิดของมารดาซึ่งยังคงพูดถึงแผนต่างๆ ที่จะนำมาใช้กำกับพวกมนุษย์เพื่อให้เป็นไปตามที่ต้องการ 'แต่มันเป็นสิ่งที่ดีจริงหรือ' เธอเริ่มสงสัย ทั้งที่เธอไม่ควรสงสัย ก่อนที่ความคิดบางอย่างจะแทรกตัวขึ้นมา

'พวกเราเป็นเพื่อนกันแล้ว และเธอจะต้องไม่ทำแบบนี้อีก'

มันคือคำตอบจากเพื่อนใหม่ที่มีให้กับข้อเสนอของเธอที่บอกออกไปว่าจะช่วยกำจัดโจรน่ากลัวพวกนั้นให้ ซึ่งเป็นหนึ่งในสิ่งที่มารดาแนะนำให้ลองทำเพื่อที่จะได้รับความไว้วางใจจากพวกเขา เธอไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเกรทจึงตอบสนองแบบนั้น ในเมื่อมันจะทำให้เธอได้ในสิ่งที่ต้องการ โดยที่ไม่ต้องทำในสิ่งที่มนุษย์คิดว่าเป็นความเลวร้าย ที่จริงแล้วเกรทควรจะต้องรู้สึกยินดีด้วยซ้ำไป

'เพราะเราเป็นเพื่อนกัน และเพื่อนย่อมไม่ยอมให้เพื่อนต้องทำในสิ่งเลวร้ายเพื่อตนเอง'

เธอไม่รู้ว่ามันเป็นเสียงของใคร คำตอบของใครที่ดังขึ้นภายในหัวของเธอ แต่มันก็ฟังดูมีเหตุผลอยู่บ้าง แม้ว่าจะต่างไปจากสิ่งที่มารดาคอยเฝ้าบอกกับเธอก็ตาม ทำไมเพื่อนใหม่พวกนั้นจึงไม่อยากให้เธอทำอะไรให้ เหมือนอย่างที่มารดาอยากให้เธอทำ อยากให้ทุกคนทำอย่างที่นางต้องการ

'เพราะมันไม่ควรเป็นแบบนั้น เธอต้องไม่คิดแบบนั้น' เสียงในหัวของเธอดังขึ้นกว่าเดิม แต่แม่บอกว่า 'ไม่มีแม่หรือใครทั้งนั้น เธอเป็นผีดูดเลือด จำได้ไหม' เสียงนั้นดังก้องจนเธอรู้สึกปวดร้าวไปทั้งศีรษะ

“แต่ แม่...” ผีดูดเลือดน้อยเงยหน้าขึ้น และมันไม่มีใครอยู่ที่ข้างกายเธอทั้งสิ้น “แม่ แม่คะ” เธอส่งเสียงพร้อมกับมองหาไปรอบๆ แต่มีเธอยืนอยู่เพียงลำพัง ภายใต้เงาของความมืดมิดแห่งป่ากว้าง เสียงในหัวนั้นยิ่งดังขึ้น จนเธอต้องยกสองมือขึ้นปิดหู แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไร เพราะเสียงนั้นดังอยู่ภายใน และสะท้อนไปมาอย่างไม่รู้จบสิ้น จนในที่สุดเธอก็ต้องล้มลงพร้อมกับกลิ้งไปมาบนพื้นอย่างเจ็บปวด

'นึกให้ออก จงรีบนึกให้ออก'

ทันใดนั้นความเจ็บปวดทั้งหมดก็ยุติลงอย่างฉับพลัน ผีดูดเลือดน้อยค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นช้าๆ แต่ตอนนี้เธอไม่ใช่ผีดูดเลือดตัวน้อยอีกแล้ว เธอนึกออก เธอรู้ตัวแล้วว่าเป็นตนเองเป็นใคร


Create Date : 17 สิงหาคม 2557
Last Update : 17 สิงหาคม 2557 20:10:00 น. 0 comments
Counter : 533 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

zoi
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




..........
Friends' blogs
[Add zoi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.