26 .. การตบยุง..ถือเป็นการผิดศีลไหม??
การตบยุง..ถือเป็นการผิดศีลไหม??
จาก
.รู้เฉพาะตน เรื่องที่ 24 - จักรวาลแห่งการกระทบกระทั่ง
โดย
. ดังตฤณ
"ศาสตร์ที่ตั้งต้นสอนให้มองออกนอกตัว คือศาสตร์ที่พาไปพบแต่ความเท็จ มีแต่ศาสตร์ที่เริ่มด้วยการสอนให้มองเข้ามาในตัวเองเท่านั้น ที่สอนให้เห็นความจริง พาไปพบที่สุดของคำตอบอันน่าพึงพอใจได้จริง "
คำถาม อยากทราบว่าการตบ ยุง ถือเป็นการผิดศีลไหม และจะขัดขวางการเจริญสติเพียงใด
นี่เป็นคำถามที่ผมได้รับบ่อยที่สุด และคิดว่าจะตอบได้ดีที่สุดก็ต่อเมื่อ ผู้ถามเป็นนักเจริญสติซึ่งใจหวังความหลุดพ้นจากกองทุกข์กองกิเลสทั้งปวงเป็นหลัก
เรื่องตบยุงนี่นะครับ แทนที่จะแค่คิดว่าบาปหรือไม่บาป ผมอยากให้คุณมองเป็นภาพใหญ่ภาพรวมไปเลยว่า เรากำลังอยู่ในจักรวาลแห่งการกระทบกระทั่ง นับตั้งแต่ระดับกาแล็กซีชนกัน ดวงดาวชนกัน เมฆชนกัน เครื่องบินชนกัน รถไฟชนกัน รถยนต์ชนกัน คนชนกัน เรื่อยลงไปจนถึงระดับอะตอมชนกัน
นี่คือจักรวาลแห่งการกระทบกระทั่ง ตราบเท่าที่คุณยังอาศัยอยู่ในจักรวาลนี้ อย่างไรคุณก็หลีกเลี่ยงการกระทบกระทั่งไปไม่พ้น เพราะมันคือธรรมชาติขั้นพื้นฐานที่มีมาแต่ดั้งเดิม
สิ่งมีชีวิตกระทบกระทั่งสิ่งมีชีวิตด้วยรูปแบบที่พิสดารกว่าการกระทบกระทั่งของสิ่งไร้ชีวิต และรูปแบบของการกระทบกระทั่งที่ชัดเจนที่สุดก็คือ การรบกวนให้รำคาญกัน ทำให้เจ็บใจกัน หรือกระทั่งทำให้แค้นแน่นอกขนาดคิดลงมือประหัตประหารกัน
จิตของสิ่งมีชีวิตต่างๆ ได้เสวยภพแห่งการมีภาวะอะไรอย่างหนึ่งก็ด้วยการจองเวรกันไปจองเวรกันมา อยากกระทบกระทั่งกันไม่เลิกรานี่เอง
คุณถูกยุงเบียดเบียนแล้วยุงก็เหมือนเป็นสัตว์ตัวจ้อยไร้ค่า ตบให้ตายๆไปเสียก็ไม่เห็นจะผิดแปลก แต่เรื่องของเรื่องไม่ได้อยู่ที่ค่าของชีวิตยุง เรื่องของเรื่องอยู่ที่คุณมีเจตนาฆ่า พยายามฆ่า และฆ่าสิ่งมีชีวิตสำเร็จ
เมื่อยังมีความยินดีในการฆ่า ก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้ยินดีวนเวียนอยู่ในวงจรของการผลัดกันฆ่า ต่อเมื่อหมดความไยดีในการฆ่าอย่างไร้เงื่อนไข จึงจะได้ชื่อว่าเป็น ผู้อโหสิ และพร้อมจะสละสิทธิ์ในการเป็นผู้อยู่ร่วมจักรวาลแห่งการกระทบกระทั่งเสียที
ลองดูปาฏิหาริย์ของการไม่คิดเบียดเบียนกันและกันเถิดครับ คุณไม่ตบยุง ยุงก็ไม่กัดคุณ หรือถึงกัดก็กัดน้อย ยิ่งถ้าหากเจริญสติได้จนถึงภาวะหนึ่งที่จิตรินเมตตาออกมาเอง ก็เหมือนทุกที่ที่คุณอยู่ แทบปลอดจากการรบกวนจากสิ่งมีชีวิตตัวน้อยเหล่านั้นอย่างเห็นได้ชัดเลยทีเดียว
ปาฏิหาริย์ทางธรรมชาติที่กล่าวข้างต้น ไม่ใช่ทำกันวันสองวันนะครับ แต่ต้องพิสูจน์ใจกันเป็นเดือนเป็นปี กระทั่งธรรมชาติแน่ใจแล้วว่าคุณอยากออกจากวัฏฏะแห่งการเบียดเบียนแน่ๆ ปาฏิหาริย์แห่งชีวิตประจำวันของผู้ทรงศีลจึงแสดงตัว
ตรงข้าม คงเห็นกันนะครับว่ายิ่งมีจิตประทุษร้ายมาก คิดฆ่ามากๆ ก็จะยิ่งถูกรบกวนมากเป็นเงาตามตัว เปรียบเทียบเช่นนี้แล้ว ในที่สุดคุณจะพบกับความจริงว่า โลกนี้แต่ละคนมีที่ยืนเฉพาะตนอยู่ที่หนึ่ง เป็นแนวโน้มว่าจะต้องกระทบกระทั่งหรือเบียดเบียนสิ่งมีชีวิตอื่นมากน้อยเพียงใด และที่ยืนนั้นก็ไม่ใช่อะไรอื่น มันคือจิตของแต่ละคนที่เป็นผู้มีศีลหรือไร้ศีลนั่นเอง
จิตของผู้มีศีลย่อมสะอาดปราศจากความเดือดเนื้อร้อนใจ เมื่อตั้งมั่นแล้วจะรู้สึกเหมือนยืนอยู่ในเขตปลอดภัยตลอดเวลา พร้อมจะเจริญสติได้อย่างมีกำลังและความมั่นใจ ส่วนจิตของผู้มีศีลด่างพร้อยหรือขาดทะลุย่อมเต็มไปด้วยความกระวนกระวายเดือดเนื้อร้อนใจ เมื่อตั้งมั่นแล้วย่อมรู้สึกเหมือนต้องวิ่งพล่านอยู่ในเขตอันตรายทั้งวันทั้งคืน จะเอาเวลาที่ไหนไปทำความสงบให้จิตได้พอจะเจริญสติไหวเล่า?
ธรรมะสวัสดี
ร่มไม้เย็น ค่ะ
Create Date : 07 ธันวาคม 2551 |
|
101 comments |
Last Update : 21 เมษายน 2556 18:53:48 น. |
Counter : 9253 Pageviews. |
|
|
|
สาธุค่ะคุณป้า
ชอบบทความวันนี้และภาพประกอบมากกกกกค่ะ
ขอบคุณรายการธรรมะสวัสดีนะคะ