Enjoy life and learn
Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2554
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
14 สิงหาคม 2554
 
All Blogs
 

และแล้วก็มาถึง..










จุดเริ่มต้นของการเป็นเด็กเลี้ยงแกะได้เริ่มขึ้นแล้ว หลายคนมักจะถามว่าทำไมต้องเลือกที่นิวซีแลนด์ เราเองก็ตอบไม่ถูกเหมือนกัน รู้แต่ว่าอยากจะไปมานานแล้ว ตั้งแต่เด็กแล้วมั้ง เคยเห็นในภาพถ่าย เห็นแล้วก็จินตนาการเองว่า โอ้โห… ทุ่งหญ้ามันกว้างใหญ่จัง เลี้ยงแกะไว้เต็มเขาเลย อากาศท่าทางเย็นสบาย ท้องฟ้าแจ่มใส ถ้าได้ไปเหยียบคงมีความสุขดี คือเรารู้สึกแบบนี้นะ ยิ่งมีคนบอกว่าที่นิวซีแลนด์มีแกะมากกว่าคนอีก เลยอยากรู้ว่า เฮ้ย!! มันขนาดนั้นเลยเหรอวะเนี่ย พอวันนึงเกิดอยากไปเรียนภาษาขึ้นมา ที่นี่เลยเป็นแห่งแรกที่เรานึกถึง มีคนท้วงด้วยนะว่า สำเนียงที่นี่มันเปล่งๆนะ ไม่เหมือนของอังกฤษ จะไปจริงๆเหรอ หรือไม่ก็เงียบจะตาย แน่ใจนะว่าอยู่ได้ เราก็มานั่งคิดทบทวนอยู่เหมือนกัน เอาไปเอามา คำตอบมันก็ยังเป็นที่นี่อยู่ดี ก็เลย เอาวะ ลองมันดูสักตั้ง ว่ามันจะเป็นยังไง

แต่เดิมเรามักจะเป็นนักคิด คือ คิดเป็นอย่างเดียวแต่ข้าไม่ทำ ใครจะทำไมวะ หรือไม่ก็ คิด.. แล้วสั่งให้คนอื่นทำ 555 รู้สึกว่าจะชั่วได้ที่ แต่วันนึงเอยู่ๆก็เกิดปิ๊งไอเดีย เรื่องไปเรียนภาษาขึ้นมานี่แหละ แบบว่า ไม่ได้ดูหนังหน้าตัวเองสักนิดว่า อายุขนาดนี้เนี่ยนะ จะไปเรียนภาษา จริงๆแล้วอายุขนาดนี้ น่าจะอยู่บ้านเลี้ยงลูกมากกว่าอ่ะ ครั้งนี้เป็นการคิดแล้วทำทันที แบบไม่ลังเลซะด้วย แอบแปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกัน รีบติดต่อเอเจนท์เรื่องหาที่เรียน ตอนแรกเค้าก็เสนอที่เรียนใน Auckland ให้ แต่ข้าหยิ่งอ่ะ ใครๆก็ไปกันเยอะแล้วเมืองนี้ ยิ่งเป็นช่วงอยากลี้หนีหน้าผู้คน ไม่เอาอ่ะ ไปเลือกเมืองอื่นเถอะ เอาแบบเงียบๆ สบายๆ ไม่พลุกพล่าน ซึ่งตอนนั้นบอกตามตรงคือยึดเอาไปเทียบกับบ้านเรา สุดท้ายได้ข้อสรุปที่ Napier เค้าบอกว่าเป็นเมือง Art Deco ของโลกเลยนะ ไอ้เราก็ไม่รู้จักหรอก อาร์ทเดคคง เดคโคอะไรเนี่ย เสิร์ทหาข้อมูลในอินเตอร์เนต ก็นึกว่าอ่านแล้วจะเข้าใจ ยิ่งไปกันใหญ่ ไม่ได้เรื่องเลย เอานี่หล่ะวะ เมืองท่าตากอากาศ ประมาณหัวหินบ้านเรา มีไร่องุ่นทำไวน์ของนิวซีแลนด์เยอะแยะเลย ฟังดูท่าทางดี .... นั่นคืดจุดเริ่มต้นที่ทำให้มีวันนี้

ก่อนหน้านี้ช่วงที่ทำเรื่องขอวีซ่า เราใช้เวลาไปเดือนกว่าๆได้ เพราะช่วงเมษา – พฤษภา ชั่งมีวันหยุดกันกระหน่ำซัมเมอร์เซลจริงๆ ไม่เราหยุด เค้าก็หยุด เลยใช้เวลานาน ไอ้เราก็ลุ้นผลวีซ่า ว่ามันจะให้ผ่านมั้ยเนี่ย ข้าวของก็ยังไม่กล้าเตรียม กลัวเตรียมไปก่อน วีซ่าไม่ผ่าน แห้วจะรับประทานไปซะอีก สรุปผลวีซ่าออกมาก่อนโรงเรียนเปิดเรียน 2 อาทิตย์ ...โอ้พระเจ้า ทีนี้ไอ้ 2 อาทิตย์หลังนี่สิ วุ่นวายเตรียมเข้าของ ทั้งๆที่โน๊ตไว้บ้างแล้วนะว่าน่าจะต้องมีอะไรบ้าง ยิ่งรีบก็ดูเหมือนวันเวลามันชั่งผ่านไปเร็วเสียนี่กระไร เอาละสิ.. ความรู้สึกไม่อยากไปเริ่มมาเกาะกินหัวใจข้าทีละนิด ทีละนิด ภาวนาขอให้วันเวลาผ่านไปช้าลงอีกนิดจะได้มั้ย มันไม่มีเวลาให้เตรียมตัวเตรียมใจกันบ้างเลย เพราะก่อนหน้านี้มัวแต่ไปคิดเรื่องวีซ่าซะมาก พยายามเบรคตัวเองว่า ข้าเสียเงินไปเยอะแล้ว เสียเวลาไปก็มาก ที่ดันมาคิดว่าจะไปเรียนภาษาเอาอายุปูนนี้ ซึ่งรวมๆแล้วก็คิดช้าไป 10 ปีเห็นจะได้ ถ้าวันนี้ไม่ทำ วันหน้าก็จะมานั่งเสียใจแบบที่เป็นอยู่นี้อีกหรอก ฮึดขึ้นมาได้อีกเฮือกใหญ่ 555 ก้มหน้าก้มตายอมรับความจริงต่อไป

สุดท้ายวันเดินทางก็มาถึง เร็วราวกับกระพริบตา 26 พฤษภา ออกเดินทางจากเชียงใหม่ ไปโอ็กแลนด์ก่อน แล้วถึงจะต่อไฟล์ทไป เนเปียร์ในวันถัดไป มีคนตามมาส่งหลายคนมาก ซึ่งทุกทีที่เดินทางมักจะมีแม่กับเป้เท่านั้นแหละที่มาส่ง แต่ครั้งนี้มีคนตามมาให้กำลังใจกันเพียบเลย ประหนึ่งว่า ไปครั้งนี้อีกนานเลยกว่าจะได้กลับ ซึ่งจริงๆมันแค่ 6 เดือนเองแหละ 555 น่าไม่อายจริงจริ๊ง ตอนแรกนึกว่าจะได้เสียน้ำตาซะแล้ว เปล่าเลย เป็นไปได้ไง สำหรับสาวขี้แยอย่างชั้น เอ... หรือว่าเราเพิ่งผ่านการทำร้ายจิตใจจากชายคนนึง ( เข้าโหมดน้ำเน่าได้อีกกู ) เลยไม่ยอมเสียน้ำตาง่ายๆ ข้อดีของมันนี่เอง ที่ทำให้จิตใจเราเข้มแข็งขึ้น ( เป็นนางเอกเข้าไว้ แล้วจะดีเอง 555 ) ออกนอกเรื่องไปเยอะ จะเข้าเรื่องไม่ถูกแล้วหว่ะ สรุปว่าวันนั้นเราเช็คอินทรูยาวไปเลยถึงโอ็กแลนด์ ได้ Boarding Pass ทั้ง 2 แห่ง ไม่มีปัญหา ชิว ชิว พอเครื่องถึงกรุงเทพ ต้องเดินต่อไป Gate C 9 ไอ้นี่แหละไกลโครต พอไปถึงหย่อนก้นลงนั่งยังไม่ทันร้อนเลย ก็เรียกให้ขึ้นเครื่องแล้ว ยังไม่ทันจะโทรไปบอกที่บ้านเลย หันรีหันขวางดูผู้คนรอบๆ ทำไมมันน้อยจังวะ ถึงว่าแป๊บเดียวเสร็จ มีผู้โดยสารยังไม่ถึง 1 ใน 3 เลยมั้ง แน่นอนว่าถ้าเป็นแบบนี้ ผู้โดยสารอย่างเรายิ้มแน่ เพราะได้นอนไปชัวร์ เชิญเลือกที่นอนได้ตามสบายคร้าบ เครื่องออกได้สักพัก เราเลือกดูหนังเกาหลีเรื่องนึง กำลังสนุกชียว แต่ก็ดันง่วงนอนขึ้นมาซะงั้น เลยนอนดีกว่า เพราะพรุ่งนี้ถึงที่โน่นแล้วจะไปไงไม่รู้ เก็บแรงไว้ก่อน หนังไว้ค่อยไปหามาดูทีหลังละกัน

หลังจากนั้นก็เข้านอน พอเคลิ้มๆได้ที่ คุณลุงฝรั่งแถวถัดไปเกิดอยากเปิดไปอ่านหนังสือขึ้นมาซะงั้น โอเคเราไม่ว่ากัน เพราะเวลามันอาจจะเร็วอยู่ แกคงยังไม่ง่วง พอสักพักเริ่มจะหลับก็เห็นแกปิดไฟเตรียมนอน เออดี... ผ่านไปสักแป๊บนึง .. อะไรวะ พอเคลิ้มๆ แกก็ดันเปิดไฟขึ้นมาอีก มันจะไม่เป็นไรเลยถ้าแกหยุดแค่นั้น แต่นี่มัน 3-4 หนอ่ะ จนกระทั่งเราง่วงมากแล้วหลับไปเองเลยแหละ ก็หลับๆตื่นๆเป็นพัก เพราะเวลาบินมันนานเป็น 10 ชั่วโมง นี่ดีหน่อยที่นอนได้ยาว ขืนได้นั่งหลับมีหวัง ได้เป็นศพเดินได้แน่ๆ มารู้สึกตัวตื่นอีกทีก็ 2 ชั่วโมงก่อนเครื่องลง ก่อนสะดุ้งตื่น จำได้ว่าฝัน ว่าเดินเข้าไปในห้องนอนตัวเองที่บ้าน เปิดประตูไปเจอลูกกวางอยู่ในห้อง กำลังเดินเข้าไปจับตัว แล้วร้องเรียกให้อาอีกคนมาเอาตัวมันไป แล้วก็สะดุ้งตื่น พอตื่นก็นึกได้ว่า ทำไมไม่ฝันถึงแกะวะ เรากำลังจะไปประเทศที่มีแกะมากที่สุดในโลกแล้วนะ ทำไมดันฝันถึงกวางซะงั้น ใครรู้ช่วยบอกที เผื่อจะได้เอาไปแทงหวยถูก 555




พอเครื่องกำลังจะร่อนลง ชะโงกไปดูที่กระจก โอ้โห... มีแต่เขาเตี้ยๆ หญ้าเขียวไปทั้งเขา บ้านหลังเล็กๆชั้นเดียว สวยจัง มองแล้วสบายตา ไม่มีตึกรามบ้านช่องใหญ่โตเหมือนบ้านเรา ตื่นเต้นจัง นี่ชั้นได้มาถึงประเทศในฝันแล้วเหรอเนี่ย มองออกไปเห็นสนามบินโอ็กแลนด์ เล็กกว่าสุวรรณภูมิหลายเท่าเลย ( 555 ขอเกทับบ้าง ) ก่อนลงแอร์บอกให้ถือพาสปอร์ตไว้ในมือ ตอนแรกก็งงทำไมหว่า พอถึงเค้าท์เตอร์ ต.ม. แล้วค่อยยื่นไม่ได้เหรอ มารู้ความจริงเอาก็ตอนออกจากเครื่อง จะมีเจ้าหน้าที่หลายคนมายืนเล็ง ดักพวกแปลกแยก คือพวกที่ไม่ได้ถือพาสปอร์ตนิวซีแลนด์ หรือดูแล้วหน้าตาไม่ใช่ฝรั่งหัวทอง หรือ ดูให้ตายยังไงก็ไม่ใช่พวกเมารี เพราะเราเองก็โดนเรียกมันตั้งแต่ก้าวออกจากเครื่องเลย เค้าก็ถามคำถามธรรมดานะ อย่างเช่น มาทำไม อยู่นานแค่ไหน อยู่กับใคร เราก็บอกๆไป ฮีก็เซ็นกำกับนิดหน่อย ประมาณว่าผ่านด่านแรกเข้ามาละ พอถึงด่านต่อไปซึ่งก็คือด่าน ต.ม. เค้าก็ถามคำถามทั่วไปเหมือนกัน ยังมีแอบบอกว่าภาษายูก็ดีนี่ 555 แอบปลาบปลื้มเล็กน้อย อ้อ.. ลืมบอกว่าเราติ๊กช่องว่าเรามียาเข้ามาด้วย จะ declair ของ เค้าก็ถามว่า เป็นยาอะไร เราก็บอกไปว่ายาส่วนตัว ก็เห็นเค้าเขียนลงในกระดาษว่า Personal Medicine จบไปด้วยดีกับด่านนี้ ต่อไปก็ไปเอากระเป๋า แล้วไปเช็คกับศุลกากร เอ็กซเรย์กระเป๋าทั้งหมดที่มี เราก็แสดงความบริสุทธ์ใจ ว่าอยากจะ Declair กระเป๋าเหลือเกิน เจ้าหน้าที่ก็บอกว่าไม่ต้องหรอก Personal Medicine ไม่ต้องก็ได้ แล้วก็ให้เราผ่านไป เราว่าข้อดีของการติ๊กช่องให้เค้า Declair ของๆเรา มันเป็นการแสดงความบริสุทธ์ใจให้เค้าเห็นตั้งแต่แรก ส่วนเค้าจะตรวจหรือไม่นั้นก็อีกเรื่อง

เมื่อผ่านพ้นการตรวจทั้งหมดแล้ว ก็ออกมาข้างนอก แต่ที่นี่ไม่มีใครมารับเรา สายตาจับจ้อง Mcdonald เอาไว้ให้ดี เพราะเราต้องหาทางออกเพื่อไปเช็คอิน Domestic ที่นั่น มีป้ายบอกทาง ทำให้ง่ายยิ่งขึ้น ไปถึงก็ส่งเอกสารที่เราจองตั๋วเอาไว้ โชคดีที่ครั้งนี้เรามีเวลาเหลือเฟือในการต่อเครื่อง เลยไม่ถึงกับต้องรีบร้อนอะไรนัก เจ้าหน้าที่ถามว่าเรามีกระเป๋าที่ต้องโหลดอยู่กี่ใบ เราบอกไปว่ามี 2 ซึ่งปกติแล้ว เค้าจะให้ฟรีแค่ใบเดียว ใบที่ 2 ต้องจ่ายเงินเพิ่มอีก 20 เหรียญ และกระเป๋าแต่ละใบน้ำหนักต้องไม่เกิน 23 กิโล หลังจากเช็คอินแล้ว เราก็ลากกระเป๋าใบเล็กเดินต่อไปยังฝั่ง Domestic แต่วันนี้อากาศเย็นนิดหน่อย แต่ดูฟ้าตั้งเค้าว่าฝนจะตกเร็วๆนี้แน่ เพราะเมฆก้อนดำมหึมาลอยอยู่บนหัวนี่เอง การเดินต่อไปฝั่ง Domestic ไม่ยุ่งยากเลย ให้ดูทางเท้าซึ่งเค้าจะขีดเส้นสีฟ้า – ขาวเอาไว้บนพื้น เราก็แค่เดินตามทางนั้นไปเรื่อยๆก็ถึง ที่นี่ส่วนใหญ่เค้าให้เช็คอินกระเป๋าและ Boarding Pass เอง จะมีเค้าท์เตอร์อยู่หลายอัน มีที่ชั่งน้ำหนักให้เสร็จ แต่ส่วนนี้เราไม่ต้องทำอะไรแล้ว เพราะเราเช็คอินจากฝั่ง Inter มาเรียบร้อย มาถึงก็ไปยืนดูจอที่บอกเวลา และประตู ของเราต้องออกที่ Gate 43 ซึ่งเค้าจะแบ่งเป็นฝั่งซ้ายและขวา ไปให้ถูกทางละกัน ของเราต้องไปทางซ้าย เดินเรื่อยๆก็เห็นที่ที่เค้าจัดไว้ให้นั่งรอ ตอนแรกเราก็ดูงงๆอยู่เหมือนกัน ว่าทำไมไม่ให้ไปรอหน้าเกต สังเกตดูรอบๆ เหมือนว่าเค้าประกาศเรียกไฟล์ทไหน ผู้โดยสารก็ค่อยลุกไปเข้าแถวเพื่อเช็ค Boarding Pass ระหว่างนั้นก็สังเกตว่าใครต่อใครที่เค้าถือกระเป๋าลาก ต่างก็มีขนาดเล็กกว่าเราทั้งนั้น ทั้งๆที่ของเราเนี่ยมัน Carry on size ปกติเลยนะ ดูๆอยู่ก็เห็นว่า เจ้าหน้าที่ๆนี่เข้มงวดจัง เห็นใครมีกระเป๋าหนักๆ พี่แกจับให้ขึ้นชั่งหมดเลย ปกติที่นี่เค้าให้ได้ไม่เกิน 7 กิโล เรารู้ว่าของเราเกินแน่ แต่อย่างว่าไฟล์ทบินจากบ้านเราไม่เห็นเค้าเข้มงวดขนาดนี้นี่นา ไปๆมาๆเห็นท่าไม่ค่อยดีแล้วสิ เกิดถึงเวลาเครื่องออก แล้วพี่แกไม่ให้เราผ่าน จะเสียเวลาเปล่าแน่ๆ เราทำใจเดินไปถามพี่แกเลย ว่าชั้นดูแล้วของชั้น น่าจะเกินแน่ พี่แกบอกให้ยกขึ้นชั่ง โอ้... ล่อไปซะ 11 โล แกบอกอย่างนี้ไม่ได้ เอาไปโหลดเลยละกัน สรุปแล้วข้าเจ้าเลยต้องเสียเงินเพิ่มอีก 70 เหรียญ พระเจ้า .. จำไว้เลยนะ ใครที่มีไฟล์ทต่อเครื่อง Domestic ของที่นี่ ทำมันให้ถูกเสียแต่แรกเถอะ หรือไม่ก็ไม่ต้องแบกมาเยอะ เรามันบ้าสมบัติ ไม่อยากไปซื้อใหม่ เลยต้องเสียเงินเยอะขึ้นอีก เรียกว่าเสียให้เค้ากินเปล่าๆเลยหล่ะ ตอนที่ต้องไปโหลดกระเป๋าใหม่ เราก็ยื่นเอกสารให้ว่าเรามีไฟล์ทบินต่อไป Napier มีกระเป๋าโหลดไปแล้ว 2 ใบ ส่วนใบนี้น้ำหนักเกินกว่าที่จะหิ้วขึ้นได้ พี่แกบอกจ่ายเพิ่มอีก 70 เหรียญ แล้วก็ปริ้น Tag ติดกระเป๋าส่งให้เรา โอ้.. เก็บเงินไปแล้ว ยังไม่ทำให้อีก เราต้องเอามาติดกระเป๋าเอง และลากไปโหลดบนสายพานเอง เรียกว่าทำเองแทบทุกอย่างแหละ แต่ก็ดี ถือเป็นประสบการณ์ใหม่ที่ไม่เจอในบ้านเรา




พอเสร็จจากการโหลดกระเป๋า ก็เดินกลับมานั่งรอที่เดิม สักพักเค้าก็เรียกขึ้นเครื่อง พอสแกน Boarding Pass เสร็จ ก็เดินเข้าไปที่ทางเข้า มองให้ดีว่า Gate ที่เรามีอยู่ฝั่งซ้ายหรือขวา ของเราเป็นฝั่งซ้าย พอถึงประตู ออกมาเป็นลานจอดเครื่องบินเลย แปลกใหม่สำหรับเราอีกแล้ว ที่สำคัญแค่เห็นเครื่องบินปุ๊บก็เข้าใจเหตุผลทั้งหมดเลย ลำกระจิ๊ดริด เป็นเครื่องแบบใบพัด ใช้ตัวย่อรุ่นเป็น Q300 ลองไปเสิร์ทหาดูภาพก็แล้วกัน ขึ้นบันได 6-7 ขั้นก็ถึงตัวเครื่องแล้ว นับดูมีที่นั่ง 2 ฝั่ง ฝั่งละ 2 ที่นั่ง มี 12 แถว นั่งได้ราวๆ 50 คน มีแอร์อยู่คนเดียว เครื่องใช้เวลา Take Off แป๊บเดียวเองก็บินจื๊ดๆขึ้นฟ้า สนุกดี เพราะเราไม่เคยเห็นแบบนี้ เลยรู้สึกแปลกใหม่ พอเครื่องขึ้นได้แป๊บนึง แอร์และกัปตันก็ประกาศ ให้ตายสิ ... ไม่อยากบอกเลยว่า ชั้นฟังไม่รู้เรื่องสักนิด พอคาดเดาได้ว่า ประกาศสภาพภูมิอากาศทั่วไป เส้นทางการบิน และระยะเวลาการบิน เหมือนที่อื่นๆทั่วไปแหละ เพียงแต่ฟังไม่ออกสักประโยค แล้วที่คุณพี่ ต.ม. บอกว่าภาษาชั้นดีนั่นหล่ะ มันคืออะไรกันเนี่ย โอเค... ก็ทำใจนะ ว่า ถ้าภาษาดีจะมาเรียนทำไมหล่ะ ไม่ใช่ภาษาพ่อ ภาษาแม่สักหน่อย ได้เท่านี้ก็บุญแล้วหล่ะ

สักพักแอร์ก็เสิร์ฟน้ำ อารมณ์ประมาณน้ำที่ใส่ในถ้วยพลาสติกเล็กๆ แล้วปิดซีลด้านบน ส่วนใครอยากได้กาแฟก็มีให้ เป็นแก้วพลาสติกมีฝาปิด ข้างในใส่ซองกาแฟผงสำเร็จรูป มีคุ๊กกี้ให้ 1 ชิ้น นม 1 ถ้วยเล็กๆ สักพักแอร์ก็เดินถือกาน้ำร้อนมารินให้ ตอนนี้เราขอหลับไปก่อนละกัน เหนื่อยมาก อีกแป๊บเดียวก็ถึง ใช้เวลาบินประมาณ 1 ชั่วโมงได้ สนามบินที่ Napier เล็กนิดเดียว พอเครื่องลง ผู้โดยสารก็ลงจากเครื่องเดินเข้าไปในตึก ระหว่างที่จะมองหาที่รับกระเป๋า ก็มีคนเข้ามาทักเรา Host นี่เอง เป็นคุณลุง คุณป้าอายุมากแล้วหล่ะ คุณลุงเดินลำบากอยู่สักหน่อย ต้องใช้ไม้เท้าช่วย เราเลยบอกว่า เดี๋ยวเราจะไปรอกระเป๋าก่อน ก็เข็นรถเข็นเข้าไป ตรงที่มีป้ายบอก Baggage Claim ความรู้สึกแรกแปลกจัง ทำไมต้องมีประตูกระจกกั้นด้วยหว่า สักพักก็มองเห็นประตูเหล็กด้านหลังค่อยๆเลื่อนเปิดขึ้น รถเข็นกระเป๋าก็ลากล้อเลื่อนเข้ามา แล้วประตูกระจกก็เปิดออก เรากำลังงงๆอยู่ เห็นผู้โดยสารเดินเข้าไปหยิบกระเป๋าเอง ของใครของมัน เอ่อ.. แปลกได้อีกละ ตลกดี คือดูๆแล้วมันน่ารัก ดูกระจิ๋วเดียว ง่ายๆ ไม่เหมือนบ้านเรา อาจเพราะคนของเค้ามันน้อยมากเมื่อเทียบกับบ้านเรา นี่ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เปิดโลกทัศน์ของตัวเอง ได้รู้ ได้เห็น ในสิ่งที่บ้านเราไม่มี

หลังจากนั้นก็ออกเดินทางมาบ้าน ระหว่างทางเห็นทุ่งที่เค้าเลี้ยงแกะด้วย สวยจัง ได้เห็นของจริงๆเสียที มีไร่ปลูกองุ่นเรียงกันไปเป็นแถว ๆ ขอบอกว่าท้องฟ้าสวยมาก มันใสปิ๊งเลย เหมือนที่เคยเห็นในรูป ส่วนใหญ่จะเป็นเนินเขาเตี้ยๆ ไม่ใช่ภูเขาเหมือนที่เชียงใหม่ บ้านแต่ละหลังปลูกกันชั้นเดียว หลังเล็กๆ เราเดาเอาเองว่าอาจจะเป็นเพราะ ส่วนใหญ่สังคมครอบครัวของฝรั่งเป็นครอบครัวเดี่ยว พอลูกโตก็ย้ายออกไปอยู่ที่อื่นกันหมด เลยไม่จำเป็นต้องปลูกบ้านหลังใหญ่ๆ บวกกับวิถีชีวิตแบบเรียบง่ายด้วย ต่างคนต่างอยู่ ไม่ได้แข่งขันอะไรกัน จะมองให้ดี มันก็ดีไปอีกแบบนะ










เราว่าแม่ต้องชอบที่นี่แน่ๆ มันสงบดี ไม่พลุกพล่าน แต่ไม่แน่ใจว่าน้องเรามันจะชอบรึเปล่า หล่อนอาจจะเฉาตายก็ได้ บ้านที่เราอยู่ ใกล้กับที่เรียนพอควร เดินไปประมาณ 15 นาทีก็ถึง เป็นบ้านหลังเล็ก มี 3 ห้องนอน แต่มีห้องน้ำแค่ห้องเดียว ( แยกห้องส้วมออกจากห้องอาบน้ำ ) แต่ก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไร เพราะอยู่กันแค่ 3 คน รวมเราด้วย วันแรกที่มาถึงปวดหัวพอควร เพราะพยายามฟังว่าเค้าพูดอะไรกับเราบ้าง เพราะสำเนียงมันไม่คุ้นเคยเลยอ่ะ ยิ่งคุณลุงพูดยิ่งแล้วใหญ่ ฟังไม่ออกสักนิด สงสารตัวเอง และสงสารคุณลุงจัง คิดว่าขอเวลาปรับตัวสักพักน่าจะดีขึ้น หวังว่างั้นนะ ก็ทำการตกลงกับเจ้าของบ้าน เพราะเราเคยได้ยินมาบ้างเรื่องการอาบน้ำ และ การใช้อินเตอร์เนต เพราะที่นี่มันแพง สรุปว่าเราควรจะอาบน้ำได้ ไม่เกิน 10 นาที ส่วนใช้อินเตอร์เนต ไม่เกิน วันละ 2 ชั่วโมง ตายหล่ะหว่า อยู่บ้านชั้นเข้าส้วมเป็นชั่วโมง จะเอ้อละเหยลอยชายยังไงก็ได้ ไม่เคยต้องจำกัดสิทธ์อยู่แค่นี้ เอาวะ ลองดู 555 เกิดมาไม่เคยอาบน้ำได้เร็วแบบนี้มาก่อน ปกติเค้าอาบน้ำกันแค่วันละครั้ง แต่ชั้นว่าคงไม่ไหว ของอาบ 2 ครั้งละกัน นั่นหมายความว่า เวลาแต่ละครั้งที่อาบควรจะเร็วขึ้นด้วยสิ OMG!!









ส่วนเรื่องใช้อินเตอร์เนตก็อีก ที่นี่แพงกว่าประเทศไหนๆในโลกเลยว่างั้น เค้าว่ากันแบบนี้นะ ถ้าไม่อยากจ่ายส่วนต่างที่แพงมหาศาล โปรดเจียม Body ไว้ ไอ้เรารึก็ยังนึกว่า มาอยู่ที่นี่ไม่เป็นไร หาโหลดหนังดูออนไลน์ ก็ได้จะได้ไม่เหงา สรุปความฝันชั้นต้องพับเก็บไว้ไม่เป็นท่า อดดูหนุ่มน้อยในดวงใจเลย คงต้องขอให้ที่บ้านซื้อแผ่นหนังเก็บไว้ให้ แล้วค่อยกลับไปดู แต่ช่างทรมานเสียนี่กระไร อดตั้ง 6 เดือน นี่มันครึ่งปีเชียวนะ ตอนนี้เพิ่งผ่านไปได้แค่ 2 วันเอง โอ๊ย... อยากจะบ้าตาย สรุปก้มหน้ารับกรรมต่อไป 555

วันแรกที่มาถึงไม่มีอะไรมาก เพราะมาถึงก็บ่ายมากแล้ว เข้าบ้านก็ลื้อของจากกระเป๋า ออกมาจัด แค่นี้ก็มืดค่ำแล้วหล่ะ พอเสร็จก็ทานมื้อเย็น Host ทำบะหมี่ผัด กับน่องไก่อบมาให้ นั่งคุยกันนิดหน่อยก็ขอตัวไปออนไลน์คุยกับที่บ้านก่อน เม้าท์กับที่บ้านมากไปหน่อย สักพักก็ไปนอน หนาวมากตอนกลางคืน เราก็ว่าเสียบปลั๊กฮีทเตอร์แล้วนี่นา ทำไมยังหนาวอยู่ ก่อนนอนก็พอไหว ดึกมาเริ่มสั่นงึกๆ เปิดไฟลุกดู อ้าว... โง่ได้โล่เลยจริงๆ เสียบปล๊ก แต่ไม่ได้เปิดสวิทไฟ 555 กลับไปหลับต่อ ตื่นมา 10 โมงครึ่งได้ ก็มันเพิ่งตี 5 ครึ่งบ้านเรานี่นา

ป้าบอกว่าค่อยกินมื้อเที่ยงตอน เที่ยงครึ่ง เราเลยออกไปเดินแถวๆบ้านนิดหน่อย ลองกะเดินดูว่าจากบ้านไปถึงโรงเรียนใช้เวลาแค่ไหน ก็ประมาณ 15 นาทีได้ เดินแบบทอดน่องอ่ะนะ กลับมาก็กินข้าว แล้วลุงกับป้าก็พาไปซื้อของในซุปเปอร์ มีเครื่องปรุงของเอเชียบ้างนิดหน่อย หลังจากนั้นก็ไปแวะร้านขายผัก ไม่ไกลจากบ้านนัก ที่นี่เค้าปลูกผัก ปลูกผลไม้ แล้วก็เปิดเป็นร้านให้คนไปเลือกซื้อได้เลย ราคาก็ไม่แพง พลันสายตาไปประสบเข้ากับต้นหอม โอ้.... ดีใจมาก ดูอีกทีเจอผักชี โอ้... รอดตายแล้วกู เพราะไม่คิดว่าจะได้เจอผักชีที่นี่ อย่างน้อยทำข้าวต้มของโปรดกินได้แล้ว ไม่รู้บ้าอะไรกับข้าวต้มนักหนา กินได้ไม่เบื่อ ป้าแกเลยซื้อกลับมาด้วย อ้อ ลืมบอกไปมีพริกด้วยหล่ะ ไอ้ที่มันยาวกว่าพริกขี้หนูหน่ะ โอเคกินกันตายก็พอไหว ตกลงมื้อเย็นนั้นเราเลยทำกับข้าวให้เค้ากิน ผัดเส้นหมี่ใส่เนื้อวัว ผักฉ่อย และขอโรยด้วยต้นหอมกับผักชีหน่อยเถอะ ไหนๆก็ซื้อมาแล้ว เพราะมันเริ่มจะเหี่ยวแล้วหล่ะ พร้อมใจกันคอตก ตั้งไม่ขึ้นเชียว 555

เช้าวันนี้ตื่นได้ไม่ต่างจากเมื่อวานเลย หวังว่าพรุ่งนี้เปิดเรียนวันแรกจะไม่มีปัญหาอะไรนะ ออกมาก็นั่งเม้าท์กับเจ้าของบ้าน เค้าบอกอยากกินอะไรก็ไปทำกินเอง หรือจะอุ่นผัดหมี่ที่เหลือจากเมื่อวานกินก็ได้ โอเคได้เลย ง่ายซะ แค่อุ่นในไมโครเวฟเอง ลุงถามว่าหนาวมั้ย เราก็หนาวสิ แกเปิดม่านด้านข้างในห้องรับแขกให้ แล้วเรียกมานั่งกลางแดด ไม่อยากบอกเลยว่า ให้ตายยังไง ชั้นก็ไม่ทำแบบนี้ที่บ้านชั้นหรอกนะ ไม่มีทาง แต่ที่นี่ ไม่ได้อ่ะ เห็นแดด เป็นต้องวิ่งเข้าใส่ ความรู้สึกมันบอกไม่ถูกเหมือนกัน ตอนนั้นที่เรานั่งอยู่ ลุงกับป้าเดินออกจากห้องไป เราแอบนั่งขำกับตัวเอง ว่าลองไปทำแบบนี้ที่บ้านสิ หลังได้ไหม้แน่ๆ ความสุขมันก็วิ่งเข้าใส่มาอีกระลอกนึง มันแบบรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก มาอยู่ในที่ๆไม่มีใครรู้จักเรานี่ก็ดีเหมือนกันนะ ตอนแรกยังคิดว่าช่วงแรกที่มาอยู่ใหม่ๆเ เราอาจจะเศร้าคิดถึงบ้าน แต่ก็แปลกนะ ไม่เลยสักนิด




 

Create Date : 14 สิงหาคม 2554
0 comments
Last Update : 14 สิงหาคม 2554 8:17:45 น.
Counter : 1608 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ouan ouan
Location :
เชียงใหม่ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]





เป็นคนนึงที่ชอบทำอาหารและขนมมาก เพราะเกิดมาก็เห็นคุณยายทำ ตอนเล็กๆไม่มีโอกาสได้ไปวิ่งเล่นเหมือนเด็กคนอื่นๆ เพราะต้องช่วยคุณยาย เราก็จะคิดอยู่อย่างเดียวว่า เมื่อไหร่คุณยายจะเลิกทำซะที และในที่สุดคุณยายก็เลิกทำสมใจเรา

กาลเวลาผ่านพ้นไป เราก็มีหน้าที่การงานดีๆทำ จนวันนึงอยู่ๆก็เกิดคำถามขึ้นมาในใจว่า สิ่งที่ทำอยู่ตรงนี้ มันคือตัวตนจริงๆของเรามั้ยนะ คิดทบทวนอยู่หลายตลบ ก็ได้ข้อสรุปว่า สิ่งที่เราพยายามหนีมันเมื่อครั้งยังเด็ก นั่นแหละมันคือชั้นเลยหล่ะ
จึงทำให้มีวันนี้ได้ ร้านอาหารเล็กๆ ที่ขายทั้งอาหารและขนม ที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นเหมือนอยู่ที่บ้าน ดังนั้นจึงต้องขอบคุณคุณยาย ที่เคี่ยวเข็ญ จนมันซึมเข้าสายเลือดไปแล้ว





: Users Online free counters
Where is my Sweenita?... Please, click here ka..
Friends' blogs
[Add ouan ouan's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.