. . . เงินเฟ้อ 7.6 ---> 8.9 ---> 9.0 ----> 10 . . .ทั้งปี 2551 เฉลี่ย 8%??...
...
เงินเฟ้อเดือนมิ.ย. สูงสุดในรอบเกือบ 10 ปี ขณะที่เงินเฟ้อพื้นฐานเกินเพดานเป้าหมายของธปท. เป็นครั้งแรก
จากรายงานตัวเลขดัชนีราคาสินค้า ในเดือนมิถุนายน 2551 โดยกระทรวงพาณิชย์ อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (Headline Inflation) เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.9 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เร่งตัวขึ้นจากร้อยละ 7.6 ในเดือนพฤษภาคม สูงกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้ (ค่าเฉลี่ยที่ร้อยละ 8.5) และเป็นอัตราที่สูงสุดในรอบเกือบ 10 ปี ขณะที่อัตราเงินเฟ้อในเดือนมิถุนายนที่เทียบกับเดือนพฤษภาคม เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.2
นอกจากนี้ อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานของเดือนมิถุนายนสูงขึ้นมาที่ร้อยละ 3.6 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนสูงสุดในรอบเกือบ 10 ปี นับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2542 และเป็นครั้งแรกที่เงินเฟ้อพื้นฐานสูงเกินกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อของธนาคารแห่งประเทศไทย (ที่ร้อยละ 0.0-3.5) หลังจากที่ธปท. กำหนดกรอบดังกล่าวในปี 2543
โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า มีแนวโน้มที่เงินเฟ้อพื้นฐานจะขึ้นไปเกินร้อยละ 4.0 ในเดือนสิงหาคม และในช่วงปลายปีอาจเคลื่อนเข้าหาระดับร้อยละ 4.5-5.0 ซึ่งจะเป็นประเด็นที่มีนัยอย่างยิ่งต่อการพิจารณากำหนดนโยบายการเงิน ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 16 กรกฎาคมนี้ และในครั้งต่อๆ ไป
ในด้านต้นทุนของผู้ประกอบการ ดัชนีราคาผู้ผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 18.6 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เร่งตัวขึ้นจากร้อยละ 15.6 ในเดือนพฤษภาคม และสูงสุดในรอบ 10 ปีเช่นเดียวกัน
ขณะที่หากมองไปข้างหน้า ราคาสินค้าวัตถุดิบยังมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะราคาพลังงาน ซึ่งนอกเหนือจากที่มีการคาดหมายว่าราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นไปถึงระดับ 150-170 ดอลลาร์ฯ/บาร์เรล ในช่วงฤดูร้อนของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นช่วงที่ปริมาณความต้องการใช้น้ำมันเพิ่มสูงขึ้นแล้ว
ราคาก๊าซในประเทศก็อาจจะมีการปรับเพิ่มขึ้น เพื่อลดภาระการอุดหนุนของทางการ รวมทั้งราคาสินค้าโภคภัณฑ์บางประเภท ก็ยังมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้น เช่น เหล็กและยางพารา
ทำให้คาดว่าดัชนีราคาผู้ผลิตในเดือนกรกฎาคม จะเพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 20 และอาจกล่าวได้ว่าต้นทุนของภาคอุตสาหกรรมอาจเพิ่มขึ้นสูงสุดนับตั้งแต่ต้นทศวรรษที่ 1980 หรือเมื่อเกือบ 30 ปีก่อน ซึ่งเป็นช่วงวิกฤตการณ์น้ำมันโลกครั้งที่ 2
แรงกดดันด้านต้นทุนของผู้ประกอบการดังกล่าว เป็นสัญญาณว่าราคาสินค้าผู้บริโภคอาจจะมีการทยอยปรับเพิ่มขึ้นอีก ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะสูงเกินร้อยละ 9 ในเดือนกรกฎาคม และอาจขึ้นไปเป็นตัวเลขสองหลักในเดือนสิงหาคม ซึ่งน่าเป็นช่วงที่เงินเฟ้อขึ้นไปสูงสุด แต่อาจจะยังคงอยู่เหนือระดับร้อยละ 9 ไปจนถึงเดือนตุลาคม ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อโดยเฉลี่ยของปี 2551 อาจอยู่ที่ร้อยละ 7.4-8.0 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าแนวโน้มเงินเฟ้อจะยังคงเพิ่มสูงขึ้นต่อไป จากแรงกดดันของต้นทุนผู้ผลิตที่เร่งตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังที่สะท้อนจากตัวเลขดัชนีราคาผู้ผลิตที่เพิ่มขึ้นในอัตราที่เร่งตัวมากกว่าอัตราเงินเฟ้อมาโดยตลอดระยะ 10 เดือนที่ผ่านมา
และเป็นที่สังเกตว่าช่วงห่างระหว่างการเพิ่มขึ้นของต้นทุนของผู้ประกอบการกับอัตราเงินเฟ้อยิ่งกว้างมากขึ้น (อัตราเงินเฟ้อทั่วไป และการเพิ่มขึ้นของดัชนีราคาผู้ผลิตในเดือนมิถุนายน ห่างกันถึงเกือบร้อยละ 10) เป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าผู้ประกอบการได้แบกรับภาระต้นทุนไว้มากขึ้นเรื่อยๆ
ซึ่งในที่สุด ต้นทุนที่ผู้ประกอบการแบกรับไว้ดังกล่าวก็จะต้องถูกส่งผ่านไปสู่การปรับขึ้นราคาสินค้าผู้บริโภคในระยะข้างหน้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อผู้ประกอบการไม่สามารถแบกรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้อีกต่อไป ขณะเดียวกัน แนวโน้มการเร่งตัวของอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานน่าจะมีนัยต่อการดำเนินนโยบายการเงินของธปท.ในช่วงที่จะถึงนี้
...
Create Date : 02 กรกฎาคม 2551 |
|
13 comments |
Last Update : 2 กรกฎาคม 2551 13:46:26 น. |
Counter : 1022 Pageviews. |
|
|
|
เงินเฟ้อ เงินฝืดและนโยบายการแก้ไข
เงินเฟ้อ ( Inflation )
ในระบบเศรษฐกิจระบบใดก็ตาม ในปัจจุบันถือว่าเงินเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสิ่งของ และเงินนี้จะเป็นปัจจัยหลักในการพัฒนาความเจริญรุ่งเรือง ดังนั้นความต้องการเงินจึงเป็นปัญหาพื้นฐานในระบบ
ความหมายของเงินเฟ้อ ( Inflation )
เงินเฟ้อ หมายถึง ภาวะที่ระดับราคาสินค้า สูงขึ้นเรื่อย ๆ ( rising prices ) การที่สินค้ามี ระดับราคาสูง ( high prices ) ไม่ถือว่าเป็นเงินเฟ้อ จำเป็นต้องสูงขึ้นเรื่อย ๆ จึงจะเป็นเงินเฟ้อ
ปัจจัยสำคัญที่ชี้ให้ทราบว่ามีภาวะเงินเฟ้อ คือ เวลา ไม่จำเป็นว่าราคาสินค้าทุกชนิดต้องมีราคาสูงขึ้นในเวลาที่เกิดภาวะเงินเฟ้อ อาจเป็นได้ว่าสินค้าบางชนิดมีราคาลดลง และสินค้าบางชนิดมีราคาสูงขึ้น สิ่งสำคัญคือว่า เมื่อรวมราคาทั้งหมดโดยเฉลี่ยแล้วสูงขึ้น สิ่งที่ใช้วัดการเปลี่ยนแปลงของระดับราคา คือ ดัชนีราคา (Price Index)
อธิบายภาวะเงินเฟ้ออย่างเข้าใจง่าย ๆ คือ ภาวะที่ข้าวของเครื่องใช้โดยทั่วไปมีราคาสูงขึ้นเรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่อง การสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้มูลค่าของเงินลดลง เช่น ปีที่ผ่านมาเราซื้อเสื้อผ้าด้วยเงินจำนวน 100 บาทต่อชิ้น มาปีนี้เราซื้อเสื้อผ้าตัวเดิมด้วยเงิน 103 บาท แสดงว่ามูลค่าของเงินลดลง 3% ปีต่อไปราคาของสินค้าชิ้นนี้ก็จะเพิ่มขึ้นอีกไปเรื่อย ๆ
แต่การเพิ่มขึ้นของสินค้า หมายถึงสินค้าทั้งหมดในระบบเศรษฐกิจ แต่ถ้าเพิ่มขึ้นเพียงอย่างเดียวหรือสองถึงสามอย่าง ก็ไม่ถือว่าเป็นภาวะเงินเฟ้อ
ตามหลักวิชาการจะแบ่งอัตราเงินเฟ้อเป็น 3 ประเภท คือ
1. เงินเฟ้ออย่างอ่อน ( Mild Inflation ) คือ อัตราเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นไม่เกินร้อยละ 5 ต่อปีภาวะอย่างนี้เป็นเหตุการณ์ปกติ ไม่มีผลเสียต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศมากนัก แต่กลับเป็นผลดีที่เป็นแรงจูงใจในการลงทุน
2. เงินเฟ้อปานกลาง ( Moderate Inflation ) คือ อัตราเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นเกินร้อยละ 5 แต่ไม่เกินร้อยละ 20 ต่อปี ประชาชนจะเกิดความเดือดร้อนเนื่องจากสินค้ามีราคาแพง ไม่สามารถปรับรายได้ให้สูงขึ้นตามราคาของสินค้าที่แพงขึ้นได้ทัน ในภาวะเช่นนี้คนงานจะเรียกร้องค่าจ้างให้สูงขึ้น วัตถุที่ใช้ในการผลิตราคาก็จะสูงขึ้น เมื่อต้นทุนสูง ระดับราคาก็ต้องสูงตามไปด้วย
3. เงินเฟ้ออย่างรุนแรง ( Hyper Inflation ) คือ อัตราเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นมากกว่าร้อยละ 20 ภายใน 1 เดือน เป็นภาวะที่ข้าวยากหมากแพง ราคาของสินค้าแพงขึ้นมากจนผู้มีสินค้าไม่อยากจะเอาออกมาขาย ค่าของเงินลดต่ำลง และในที่สุดก็จะหมดอำนาจในการแลกเปลี่ยน ต้องใช้ทองคำซึ่งราคาค่อนข้างแน่นอนทำการแลกเปลี่ยน ภาวะเช่นนี้จะเกิดขึ้นเมื่อประเทศอยู่ในภาวะสงคราม หลังสงคราม หรือเกิดจลาจล เป็นต้น
สาเหตุที่เกิดภาวะเงินเฟ้อมีจากสาเหตุหลัก 2 ประการ คือ
o ต้นทุนสินค้าเพิ่ม ( cost - push inflation ) คือ การทำให้สินค้ามีราคาสูงขึ้น
o ความต้องการสินค้าเพิ่ม ( demand pull inflation ) คือ ปริมาณความต้องการซื้อมากขึ้นทำให้ราคาสินค้าเพิ่มขึ้น
ต้นทุนการผลิต คือ สิ่งที่ใช้พิจารณานโยบายกำหนดราคาสินค้าและบริการ ถ้าต้นทุนเพิ่มขึ้นไม่ว่าจากค่าแรงที่เพิ่มขึ้น หรือราคา วัตถุดิบเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ราคาสินค้าต้องเพิ่มขึ้นด้วย ราคาสินค้าสูงขึ้นผู้บริโภคก็ต้องใช้เงินมากกว่าเดิมทำให้ปริมาณเงินที่ไหลเข้าสู่ตลาดมากขึ้น เมื่อพนักงานได้รับค่าแรงเพิ่มขึ้นทำให้เกิดการใช้จ่ายในการบริโภคมากขึ้น ทำให้ความต้องการสินค้าเพิ่มมากขึ้น ก็เป็นสาเหตุผลักดันให้เกิดเงินเฟ้อ
ภาคการผลิตเมื่อสินค้าราคาดีขึ้นก็จะมีคนเร่งผลิตสินค้าออกมาจำหน่าย ทำให้ต้องจ่ายค่าแรงในรูปของค่าล่วงเวลาก็จะทำให้รายได้ของพนักงานเพิ่มขึ้นอีก ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะหมุนเป็นวัฏจักรผลักดันทำให้เกิดภาวะฟองสบู่ในที่สุด
เมื่อถึงจุดๆ หนึ่งที่อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นเรื่อยๆ ราคาสินค้าก็สูงขึ้นจนทำให้เกิดยุคข้าวยากหมากแพง
ผลที่ได้รับจากภาวะเงินเฟ้อ
ภาวะเงินเฟ้อปานกลาง และภาวะเงินเฟ้ออย่างรุนแรง จะส่งผลเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ ทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้นมาก อำนาจการซื้อของเงินลดลง ซื้อสินค้าได้น้อยลงในจำนวนเงินเท่าเดิม ผลจากภาวะเงินเฟ้อทำให้บุคคล 2 กลุ่ม มีผลได้เปรียบเสียเปรียบแตกต่างกัน เช่น
กลุ่มบุคคลที่ได้เปรียบจากภาวะเงินเฟ้อ
1. เจ้าของกิจการ ผู้ผลิตสินค้า นักอุตสาหกรรม เมื่อบุคคลเหล่านี้ผลิตสินค้าออกมา สินค้าขึ้นราคาก็ต้องขายตามราคาสินค้าที่สูงขึ้น ถ้ามีสินค้าอยู่ในคลังสินค้าผลิต หรือซื้อมาในราคาต่ำ จะทำให้ได้ผลกำไรมากขึ้น สำหรับเกษตรกร สามารถขายผลผลิตได้กำไรราคาสูงขึ้น แต่ได้เท่าเดิม ต้องซื้อสินค้าอื่น ๆ ที่จำเป็นในราคาแพง และฐานะของเกษตรกรยังยากจนอยู่แล้ว ทำให้การผลิตในเนื้อที่จำกัดและขนาดเล็ก เมื่อเกิดภาวะเงินเฟ้อ เกษตรกรก็ได้รับความเดือดร้อนมากกว่าผู้ใด ทั้ง ๆ ที่ผลิตอาหารได้เอง
2. พ่อค้าและนักธุรกิจ จะได้ประโยชน์จากสินค้าและบริการที่มีราคาสูง เพราะสินค้าค้างสต็อค การกักตุนสินค้าซื้อถูกขายแพง แต่เมื่อเกิดภาวะเงินเฟ้ออย่างรุนแรง ค่าของเงินต่ำลงจนไม่มีค่า สินค้าขายไม่ออก พ้อค้า นักธุรกิจก็ไม่ได้รับประโยชน์เช่นกัน
3. ลูกหนี้ เมื่อค่าของเงินลดลง เงินหาง่ายขึ้น แต่ลูกหนนี้ยังคงชำระหนี้เช่นเดิม
4. ผู้ถือหุ้น สินค้าราคาทำให้ยอดขายสูงขึ้น กำไรเพิ่มขึ้น ผู้ถือหุ้นจึงเป็นฝ่ายได้เปรียบจากภาวะเงินเฟ้ออย่างปานกลาง
กลุ่มบุคคลที่เสียเปรียบจากภาวะเงินเฟ้อ
1. ผู้ที่ได้รับเงินเดือน ค่าจ้าง และบำนาญ เป็นรายได้ประจำเพราะได้น้อย ค่าของเงินลดลง ราคาสินค้าสูงขึ้น ถึงแม้จะมีการปรับเงินเดือน ค่าจ้างตามดัชนีราคาสินค้าอุปโภคบริโภค แต่ราคาสินค้าได้ขึ้นราคาไปรอล่วงหน้าก่อนแล้ว ฉะนั้นการปรับเงินเดือน ค่าจ้าง จึงเดินสวนทางกับราคาสินค้า
2. เจ้าหนี้ ค่าของเงินลดลงแต่การชำระหนี้เงินกู้ยังคงได้รับดอกเบี้ยเท่าเดิม เป็นไปตามสัญญาที่ทำไว้ก่อนที่จะเกิดภาวะเงินเฟ้อ
3. ผู้ที่มีรายได้จากค่าเช่า ค่าเช่าจะขึ้นเหมือนดัชนีราคาสินค้าอุปโภคบริโภคไม่ได้ แต่จะเป็นการขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป
4. ผู้มีรายได้ไม่แน่นอน จะเป็นผู้ที่เสียเปรียบมากที่สุด เพราะรายได้น้อยมาก และไม่แน่นอน แต่ราคาสินค้า เปลี่ยนแปลงสูงขึ้น
5. ผู้ที่มีเงินออม ค่าของเงินลดลงแต่ดอกเบี้ยยังไม่เพิ่มให้สูงขึ้น ตามดัชนีราคาสินค้าซึ่งโดยทั่วไปมีราคาสูงขึ้น
การแก้ไขภาวะเงินเฟ้อ
1. ใช้นโยบายทางการเงิน ( Monetary Policy )
1. ธนาคารกลางจะต้องพยายามลดปริมาณเงินในท้องตลาดให้หมุนเวียนน้อยลง
2. ธนาคารกลางจะต้องเพิ่มเงินสดสำรองของธนาคารพาณิชย์ให้มากขึ้น มีผลทำให้ธนาคารพาณิชย์ต้องลดการให้เครดิตลง
3. เพิ่มอัตรารับช่วงซื้อลดตั๋วเงินจากธนาคารพาณิชย์ให้สูงขึ้น ทำให้ธนาคารไม่กล้าซื้อลดตั๋วเงินหรือให้กู้มากนัก
4. ควบคุมการขายสินค้าผ่อนชำระให้มีระเบียบและหลักเกณฑ์มากขึ้น เช่น การส่งเงินดาวน์ครั้งแรก ( Down payment ) จะต้องสูงขึ้น และลดระยะเวลาผ่อนชำระให้สั้นลง
5. ธนาคารกลางขายหลักทรัพย์ออกไปในท้องตลาด เพื่อทำให้เงินสดสำรองของระบบธนาคารพาณิชย์ลดลง
6. รัฐบาลจะต้องลดค่าใช้จ่าย งบประมาณในเรื่องที่มีความไม่จำเป็นเร่งด่วนทั้งหมด
2. ใช้นโยบายทางการคลัง ( Fiscal Policy )
1. เก็บภาษีเข้าให้มากและลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นของรัฐบาลลง
2. ปรับปรุงการจัดเก็บภาษีอากรในอัตราที่สูงขึ้น เช่น ภาษีรายได้บุคคล ทำให้รายได้สุทธิส่วนบุคคลลดลง ประชาชนจะใช้จ่ายเงินน้อยลง และจัดเก็บภาษีทางอ้อมสำหรับสินค้าประเภทฟุ่มเฟือยไม่จำเป็นให้สูงขึ้น
3. ปรับปรุงหนี้สาธารณะเพื่อช่วยลดปริมาณเงินลง และช่วยสกัดกั้นไม่ให้มีการขยายเครดิตออกไป ( หนี้สาธารณะก็คือ เงินที่รัฐบาลกู้มาจากประชาชน สถาบันทางการเงินภายในประเทศและต่างประเทศ )
4. เพิ่มดอกเบี้ยเงินออมให้มากขึ้น เป็นการจูงใจให้ประชาชนมีการออมทรัพย์โดยมาฝากเงินกับทางธนาคาร และประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนซื้อพันธบัตรระยะยาวเป็นการช่วยชาติในการพัฒนาประเทศ
5. ถ้าประเทศได้เปรียบดุลการค้าในระหว่างภาวะเงินเฟ้อแล้ว จะทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อมากขึ้นไปอีกวิธีแก้ไขจะต้องถอนรายได้จากต่างประเทศนี้ออกไปเสียจากค่าใช้จ่ายหมุนเวียน หรือนำสินค้าที่ขาดแคลนเข้าประเทศให้มากขึ้น ลดการส่งออกให้น้อยลง นำรายได้จากต่างประเทศไปช่วยเหลือประเทศที่ด้อยพัฒนา โดยการให้กู้ระยะยาวดอกเบี้ยต่ำ เก็บภาษีขาออกให้มากขึ้น เก็บภาษีขาเข้าที่ขาดแคลนให้น้อยลง หรืออาจจะเพิ่มค่าของเงินให้สูงขึ้น ทำให้สินค้าเข้ามีราคาถูกและสินค้าขาออกมีราคาแพง
3. รัฐบาลจะต้องควบคุมค่าครองชีพไม่ให้สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
ด้วยการควบคุมค่าจ้าง เพื่อลดต้นทุนการผลิตลง
4. รัฐบาลจะต้องเข้ามาแทรกแซงควบคุมสินค้าที่จำเป็นต่อการดำรงชีพไม่ให้มีราคาสูงเกินไป
5. ใช้ระบบผ่อนคลายทางการเงิน ( Easy Money Policy )
หมายความว่า เป็นการใช้นโยบายที่ประนีประนอมกัน ไม่ใช้วิธีการรุนแรง
ปัญหา-การแก้ไขเงินเฟ้อ และนโยบายเศรษฐกิจที่ควรเป็น
ปัญหาเรื่องเงินเฟ้อจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินการทางธุรกิจมาก แต่ขณะเดียวกันภาวะเงินเฟ้ออย่างอ่อนจะทำให้เกิดการจ้างงาน แต่การพยายามควบคุมอัตราเงินเฟ้อให้น้อยลงอาจจะทำให้เผชิญปัญหากับอัตราว่างงานสูงขึ้น เพราะแรงจูงใจในการลงทุนน้อยลง
ภาระหนักของภาครัฐบาล คือ ทำอย่างไรถึงจะแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อได้โดยไม่ทำให้เกิดการว่างงาน ซึ่งนับว่าเป็นปัญหาที่ยากมาก เพราะเผลอ ๆ อาจจะทำให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นและการจ้างงานกลับลดลง
ดังนั้นรัฐบาลควรจะกระจายงานไปสู่ภูมิภาคให้มากที่สุด พร้อมเร่งให้เกิดระบบเศรษฐกิจชุมชน ให้ชาวชนบทสามารถพึ่งพาตนเองมากขึ้น และนโยบายของรัฐจะต้องเน้นการพึ่งพาตนเองด้วยไม่ควรพึ่งพาอาศัยการลงทุนจากต่างชาติมากจนเกินไป
การลงทุนจากต่างชาติจะทำให้ประเทศต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจของนักลงทุน ทำให้ประเทศชาติขาดเอกราชทางเศรษฐกิจ และการลงทุนจากต่างชาติจะยังให้เกิดการเปิดการค้าเสรี ซึ่งประเทศที่กำลังพัฒนา จะเสียเปรียบต่อประเทศที่พัฒนาแล้ว เนื่องจากศักยภาพ ในการแข่งขันของประเทศที่พัฒนาแล้วจะเหนือกว่าทุกทาง
ในระบบการค้าเสรีจึงเป็นเรื่อง ใครมือยาวสาวได้สาวเอา ในที่สุดระบบการค้าเสรีจะก่อให้เกิดอำนาจการผูกขาดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อถึงคราวนั้นการแก้ไขปัญหาจะไม่สามารถทำได้ง่ายดายนัก...
..........................................................................
เงินฝืด ( Deflation )
ความหมายของเงินฝืด
ภาวะเงินฝืดเป็นที่ภาวะที่ตรงกันข้ามกับภาวะเงินเฟ้อ คือ เป็นภาวะที่ระดับราคาสินค้าและบริการลดลงเรื่อย ๆ เป็นเวลานาน ซึ่งอาจจะเกิดจากสาเหตุหลายประการ เช่น เกิดจากการระดมเงินทุน เกิดจากการที่รัฐบาลกู้ยืมเงินจากเอกชน เกิดจากการลดจำนวนธนบัตร เป็นต้น
ในภาวะที่ตลาดซบเซาทำให้ผู้ประกอบการต่าง ๆ ต้องการเงินเพื่อมาหมุนเวียนในกิจการ ทำให้ต้องหาทางเพื่อเปลี่ยนสินค้าให้เป็นเงิน ซึ่งต้องลดราคาสินค้าเพื่อจูงใจผู้ซื้อ มีทั้งลด แลก แจก แถม
เงินฝืดมักจะเป็นผลพวงมาจากภาวะฟองสบู่แตก ทำให้เกิดปัญหาเกิดหนี้เสีย และความเชื่อมั่นต่อการลงทุนลดน้อยลง ทำให้ภาคการเงินระมัดระวังในการปล่อยสินค้าเชื่อมั่นมากขึ้นเมื่อสถาบันการเงินไม่ยอมปล่อยสินเชื่อทำให้ภาคธุรกิจภาคการเงินไม่สามารถที่จะหาเงินมาหมุนเวียนจนทำให้กิจการบางแห่งต้องปิดตัวลง ยังทำให้ต้องเลิกจ้างพนักงานเป็นจำนวนมาก
เมื่อพนักงานส่วนหนึ่งกลายเป็นคนตกงาน ทำให้ประชาชนไม่มีเงินจับจ่ายซื้อสินค้า ซึ่งจะส่งผลโดยตรงไปยังธุรกิจการค้า และมีผลต่อภาคการผลิตอื่น ๆ ทำให้เกิดปรากฏการณ์โดมิโนทางเศรษฐกิจทำให้เศรษฐกิจล้มระเนระนาดเฉกเช่นประเทศไทยเมื่อ พ.ศ. 2539 เป็นต้นมา
กลุ่มผู้ได้เปรียบจากกภาวะเงินฝืด
1. ผู้ที่มีรายได้ที่ประจำแน่นนอน เช่น ผู้ที่รับรายได้เป็นเงินเดือน ค่าจ้างแรงงาน บำนาญ
2. ผู้ที่มีรายได้จากดอกเบี้ย หุ้นกู้ ผู้ถือหุ้น ซึ่งมีฐานะเป็นเจ้านี้
3. ผู้ที่เก็บเงินไว้กับตัวเอง
4. ผู้มีรายได้จากค่าเช่า ผู้เช่าก็ต้องจ่ายในราคาเท่าเดิม เพราะได้ทำสัญญาผูกมัดแล้ว
กลุ่มที่เสียเปรียบจากภาวะเงินฝืด
1. ผู้ที่มีรายได้ไม่แน่นอน ไม่สามารถกำหนดได้ว่าแต่ละวันจะมีรายได้เท่าไร บางวันมีรายได้น้อย บางวันมีรายได้มาก และบางวันไม่มีรายได้เลย เช่น ผู้ที่รับจ้างทั่ว ๆ ไปไม่มีหลักแหล่ง
2. เจ้าของกิจการ ผู้ผลิตสินค้า นักอุตสาหกรรม เมื่อระดับราคาสินค้าที่ผลิตออกมามีราคาลดตำลงเรื่อย ๆ แต่ต้นทุนวัตถุดิบ ตนทุนในการผลิตสูง ผู้ผลิตจะไม่ทำการผลิตอีกต่อไป หรืออาจจะลดการผลิตออกมาให้น้อยลง
3. พ่อค้านักธุรกิจ เมื่อการผลิตชะลอตัวลง และหยุดชะงักการผลิต พ่อค้า นักธุรกิจ ก็ต้องขาดรายได้ คือ กำไร ตามไปด้วย แถมยังตกงานอีก
4. ลูกหนี้ ขณะที่ทำสัญญาขอกู้ยืมเงินมูลค่าของ เงินคงที่ แต่เมื่อเกิดภาวะเงินฝืด มูลค่าของเงินมีค่ามากขึ้น และการทำมาหากินฝืดเคือง รายได้ไม่พอกับรายจ่าย เงินหายากขึ้น แต่ต้องชำระหนี้ในมูลค่าเท่าเดิม
5. ผู้เช่า การผลิตก็ชะลอตัวลง และลดตำลงเรื่อย ๆ ราคาสินค้าก็ลดลง ด้านทุนการผลิตสูงขึ้น รายได้ที่รับเข้ามาก็ไม่คุ้มกับค่าใช้จ่าย ผู้เช่าก็ต้องจ่ายเงินให้กับผู้ให้เช่าในราคาเท่าเดิม ไม่ได้ลดไปตามราคาสินค้า
การแก้ไขภาวะเงิน ฝืด
1. การใช้นโยบายทางการเงิน
1. ธนาคารกลางจะต้องพิมพ์ธนบัตรออกมาหมุนเวียนในตลาดให้สอดคล้องกับปริมาณของอุปสงค์และอุปทาน
2. ธนาคารจะต้องลดอัตราเงินสดสำรองตามกฎหมายแก่ธนาคารพาณิชย์ เพื่อที่จะทำให้มีการขยายเครดิตเพิ่มขึ้น
3. ประกาศควบคุมกำหนดราคาสินค้าอุปโภคบริโภค และสินค้าประเภทจำเป็น เช่น ข้าว เนื้อสัตว์ นำมัน การขนส่ง ฯลฯ
2. การใช้นโยบายทางการคลัง
1. รัฐบาลจะต้องกระจายรายได้ไปสู่ชนบท ทำให้ประชาชนมีงานทำ มีรายได้เพิ่มขึ้น และเป็นการลงทุนให้ชนบท เช่น จัดให้มีโครงการสร้างงานในชนบท ( กสช. ) โดยเริ่มดำเนินงานมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2523 ใช้งบประมาณปีละ 3,500 ล้านบาท ส่งผลให้ประชาชนในชนบทมีงานทำมากเพิ่มขึ้น มีแหล่งนำ มีถนน ทำให้เพิ่มผลผลิตตามไปด้วย
2. งบประมาณรายจ่ายรายจ่ายของรัฐบาลจะต้องจ่ายให้มีสภาพคล่องตัวยิ่งขึ้น จะทำให้เงินหนุนเวียนในตลาดรวดเร็วขึ้น เช่น รัฐบาลจ้างทำของ ( ถนน เขื่อนกั้นน้ำ ชลประทาน ฯลฯ ) สั่งซื้อสินค้า เมื่อธุรกิจได้รับเงินของทางรัฐบาล จะทำให้เกิดการสร้างงานต่อไป
3. ขอกู้เงินจากสถาบันการเงินในประเทศและต่างประเทศ ดอกเบี้ยถูกจ่ายคืนในระยะยาว มาลงทุนในโครงการที่ช่วยพัฒนาประเทศและสามารถให้ผลประโยชน์ตอบแทนได้
4. ประชาสัมพันธ์ให้นักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศมาลงทุน โดยมีระยะปลอดภาษี และให้ความสะดวกทุกประการ
5. ลดอัตราภาษีของรายได้บุคคลของประชาชน ทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น เมื่อประชาชนมีรายได้เพิ่มมากขึ้น การใช้จ่ายก็มีมากขึ้นตามลำดับ
3. ใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ นำขึ้นมาใช้ เช่น แก๊สธรรมชาติ เท่ากับเป็นการสร้างงาน ทำให้ระบบเศรษฐกิจขยายตัวทำให้ภาวะเงินฝืดเบาบางลง
4. ส่งเสริมผลผลิตทางด้านการเกษตร อุตสาหกรรมออกสู่ต่างประเทศ โดยใช้การตลาดเป็นแกนนำ ทำให้เงินตราไหลเขาสู่ประเทศมากขึ้น
ตัวอย่างมาตรการทางการเงินที่ใช้ในการควบคุมภาวะเงินเฟ้อ และเงินฝืด
มาตรการ ควบคุมภาวะเงินเฟ้อ
1. เปิดตลาดซื้อขายพันธบัตร (open market operation) ธนาคารกลางจะประกาศขายพันธบัตรออกสู่ท้องตลาด เพื่อลดการหมุนเวียนของปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจ
2. การเพิ่มอัตราเงินสดสำรองตามกฎหมาย (change in legal reservation) ธนาคารจะประกาศเพิ่มอัตราเงินสดสำรองตามกฎหมาย เพื่อชะลอไม่ให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยสินเชื่อเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจมากขึ้น (ลดการหมุนเวียนของปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจ)
3. การเปลี่ยนแปลงอัตรารับช่วงซื้อลดหรืออัตราธนาคาร (change in rediscount rate or bank rate) ธนาคารกลางประกาศเพิ่มอัตรารับช่วงซื้อลดหรืออัตราธนาคารซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารกลางคิดกับธนาคารพาณิชย์เมื่อธนาคารพาณิชย์มากู้ยืมเงินจากธนาคารกลาง เพื่อกระตุ้นให้ธนาคารพาณิชย์ชะลอการปล่อยสินเชื่อเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ เพื่อลดการหมุนเวียนของปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจ อันเนื่องมาจากการเพิ่มอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว ทำให้ต้นทุนการกู้ยืมของธนาคารพาณิชย์มาเพื่อการปล่อยสินเชื่อสูงขึ้น
4.การขอร้องไปยังธนาคารพาณิชย์ (moral suasion) ขอความร่วมมือไปยังธนาคารพาณิชย์ให้ควบคุมการปล่อยสินเชื่อเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจเป็นไปอย่างมีคุณภาพ
5.การเปลี่ยนแปลงอัตราการกู้ยืมหรือสินเชื่อเพื่อการซื้อขายหลักทรัพย์ (change in margin requirement) ประกาศเพิ่ม margin requirement เพื่อให้ธนาคารพาณิชย์ชะลอการปล่อยสินเชื่อเพื่อการซื้อขายหลักทรัพย์
6. การเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก (change in deposit rate) เพิ่มอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก เพื่อเพิ่มระดับการออม เมื่อลดการใช้จ่าย ปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจก็จะลดลง
มาตรการ ควบคุมภาวะเงินฝืด
ธนาคารกลางจะประกาศซื้อพันธบัตรจากท้องตลาดกลับคืน เพื่อเพิ่มการหมุนเวียนของปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจ
ธนาคารกลางประกาศลดอัตราเงินสดสำรองตามกฎหมาย เพื่อส่งเสริมให้ธนาคารพาณิชย์เร่งปล่อยสินเชื่อเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจมากขึ้น(เพิ่มการหมุนเวียนของปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจ)
ธนาคารกลางประกาศลดอัตรารับช่วงซื้อลดหรืออัตราธนาคารซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารกลางคิดกับธนาคารพาณิชย์เมื่อธนาคารพาณิชย์มากู้ยืมเงินจากธนาคารกลาง เพื่อกระตุ้นให้ธนาคารพาณิชย์เร่งปล่อยสินเชื่อเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ เพื่อเพิ่มการหมุนเวียนของปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจ อันเนื่องมาจากการลดอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว ทำให้ต้นทุนการกู้ยืมของธนาคารพาณิชย์มาเพื่อการปล่อยสินเชื่อต่ำลง
ขอความร่วมมือไปยังธนาคารพาณิชย์ให้ลดความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ
ประกาศลด margin requirement เพื่อให้ธนาคารพาณิชย์เร่งการปล่อยสินเชื่อเพื่อการซื้อขายหลักทรัพย์
ลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนใช้จ่ายเพิ่มขึ้น เมื่อเพิ่มการใช้จ่าย ปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจก็จะเพิ่มขึ้น
ตัวอย่างมาตรการทางการคลังที่ใช้ในการควบคุมภาวะเงินเฟ้อ-เงินฝืด
มาตรการควบคุมภาวะเงินเฟ้อ-เงินฝืด
1. การเปลี่ยนแปลงในรายจ่ายของรัฐบาล (change in government expenditure)
2. มาตรการทางด้านรายได้ (ภาษี) ลดรายจ่ายของรัฐบาลในด้านต่างๆ เนื่องจากรายจ่ายของรัฐบาลเป็นองค์ประกอบสำคัญตัวหนึ่งที่รวมอยู่ในอุปสงค์มวลรวมลดลงในที่สุด
รัฐบาลควรเข้มงวดในด้านภาษีให้มากยิ่งขึ้น เพื่อประชาชนจะได้ลดการใช้จ่ายลง เช่น เรียกเก็บภาษีสินค้าฟุ่มเฟือยในอัตราที่สูง กำหนดอัตราภาษีนำเข้าในอัตราที่สูงขึ้น เรียกเก็บภาษีเงินได้ในอัตราภาษีแบบก้าวหน้า ( progressive tax) กล่าวคือ รายได้มากเก็บภาษีในอัตราที่สูง รายได้น้อยเก็บภาษีในอัตราที่ต่ำ เพิ่มรายจ่ายของรัฐบาล เพื่อยกระดับอุปสงค์มวลรวมของระบบเศรษฐกิจในการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวขึ้น
รัฐบาลควรเข้มงวดในด้านภาษี เพื่อลดภาระให้กับประชาชน ประชาชนจะได้มีรายได้มากขึ้น ที่จะนำไปจับจ่ายใช้สอยซื้อสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น เช่น ลดอัตราภาษีที่เก็บจากเงินได้ การลดอัตราภาษีสำหรับการส่งสินค้าออกทำให้ต่ำลงเพื่อสนับสนุนให้มีการส่งสินค้าออกมากขึ้น การเพิ่มอัตราภาษีสำหรับการนำสินค้าฟุ่มเฟือยเข้ามาจำหน่ายในประเทศ ฯลฯ
หมายเหตุ...(ลอกมาจากอินเตอร์เน็ตนานแล้ว จำไม่ได้ว่าเว็บไหน ขออภัยที่ไม่ได้อ้างอิงถึงแหล่งที่มาของข้อมูล)...
...