2 เท้าจะก้าวย่าง ยืน ณ ยอดดอยผ้าห่มปก
2 เท้าจะก้าวย่าง ยืน ณ ยอดดอยผ้าห่มปก
บันทึกการเดินทางก้าวเล็กๆ สู่ยอดดอยผ้าห่มปก ดอยนี้ฝันอยากไปนานแล้ว
จากปกหนังสือ "คืนสู่ภูเขา"
ของคุณดวงดาว สุวรรณรังษี ที่พิมพ์เมื่อปี 2528 พิมพ์ปุ๊บซื้อปั๊บ แล้วก็ ฝันอยากมานับแต่นั้น
ข้อมูลการเดินทาง: 1. การขึ้นยอดดอยผ้าห่มปกต้องเดินเท้า เทรลเดินไปกลับเกือบ 7 กิโล 2. ฟิตร่างกายมาบ้างก็ดี จะได้ไม่เหนื่อยมาก ใช้เวลาเดินขึ้นประมาณ 2 ชม.- 2ชั่วโมงครึ่ง ขาลง เดินประมาณ หนึ่งชั่วโมงครึ่ง 3. ความยากของเทรลเดินอยู่ในระดับไม่ยาก ถ้าให้ rate ก็อยู่ในระดับ 1 แต่คนไม่เคยชินอาจหอบ อ่านรีวิวก่อนไปเห็นหลายคนบอกว่าเหนื่อยมาก 4. สามารถขับรถขึ้นไปถึงจุดเริ่มเดินได้ คือลานกางเต็นท์กิ่วลม (ลานกางเต็นท์ที่สูงที่สุดในประเทศไทย 1,924 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง) 5. รถที่ใช้ขึ้นต้องเป็นกระบะไม่โหลดเตี้ย หรือโฟล์วีลเท่านั้น ไม่อนุญาตให้เก๋งขึ้น ทางบางช่วงชันยาว แล้วผิดทางหลายช่วงเป็นลูกรัง 6. ถ้าไม่มีรถมาเอง ทางอช.มีบริการรถพาขึ้น เป็นของอาสาสมัครจากชาวบ้านแถวนั้น โดยทางอช.เป็นคนกลางประสานงานดูแลมาตรฐานบริการและความเรียบร้อย 7. จุดเริ่มต้นถนนขึ้นดอยอยู่ที่ด่านตรวจอช. ตรงอ่างเก็บน้ำห้วยบอน ตรงนั้นมีบริการรับฝากรถด้วย สามารถตรงไปตรงอ่างเก็บน้ำนี้ได้เลย ถ้าเป็นกรณีที่มากันเป็นกลุ่มที่พร้อมจะเหมารถขึ้น แต่ถ้ามากันน้อย เช่นสองสามคนไม่อยากเหมา ให้ตรงไปที่ทำการอช. ก่อน จนท.ทางอุทยานฯจะเป็นตัวกลางหากลุ่มให้เราแจมรถขึ้น แต่บางคนมากันน้อยแต่ไปเสี่ยงดวงขอโบกขึ้นที่อ่างเก็บน้ำเลยก็มี 8. ที่ทำการอุทยานฯ อยู่ที่บ่อน้ำพุร้อนฝาง อยู่ห่างจากห้วยบอนประมาณ 13 โล 9. ค่าเหมารถขึ้นดอย 1,800 บาท/คัน คันนึงนั่งได้ 8 คน ถ้าเกิน 8 อาจคิดคนละ 200-220 บาท 10. อุทยานฯ มีบริการเช่าเต็นท์ และเครื่องนอน อาทิ แผ่นรองนอน ถุงนอน หมอน และผ้านวม สามารถติดต่อขอเช่าและชำระเงินได้ที่ศูนย์บริการนักท่องเทียวตรงที่ทำการฯ (บ่อน้ำพุร้อนฝาง) ส่วนผ้านวมไปเช่าบนดอย 11. อัตราค่าเช่า เต็นท์ 225 บาท/หลัง (หลังหนึ่งนอนได้ 2-4 คน), หมอนใบละ 10 บาท, ถุงนอน 30, แผ่นรองนอน 20, ผ้าห่มนวม 60 12. เทรลเดินขึ้นยอดดอยส่วนใหญ่นิยมเดินกันแต่เช้ามืด (ตีสี่) เพื่อไปชมพระอาทิตย์ขึ้นบนยอด จำเป็นต้องมีคนนำทาง โดยทางอช.มีอาสาสมัครชาวมูเซอร์แถวนั้นมาช่วยนำทาง ค่านำทาง 400 บาทต่อกลุ่ม แต่ถ้าไปแบบไม่มีกลุ่ม จ่ายแบบปลีกได้ นักท่องเที่ยวจ่ายค่านำทางคนละ 50 บาท แต่ถ้าเดินกลางวันๆ ก็ไม่ต้องมีคนนำทางก็ได้ครับ เทรลเดินเดินง่าย ทางชัด 13. ที่ลานกางเต็นท์สามารถดูทะเลหมอกได้ วิวทิศเดียวกันกับบนยอดดอย แต่ไม่มีมุมดูพระอาทิตย์ขึ้น มีแต่มุมดูพระอาทิตย์ตก 14. บนลานกางเต็นท์มีร้านอาหารตามสั่งบริการอยู่หนึ่งร้าน ราคาไม่แพง จ่ายพอๆ กับฟาสฟู้ดในห้าง 15. กรณีต้องการขับรถขึ้นไปเองต้องไปให้ถึงอ่างเก็บน้ำให้ทันก่อนบ่ายสามครึ่ง หรือสี่โมงเย็นเป็นอย่างช้า ไม่อย่างนั้นจนท.อาจไม่อนุญาตให้ขับขึ้นไปเพราะกลัวเราจะไม่ชินทางและได้รับอันตราย ถ้าไม่แน่ใจกลัวไม่ทันอาจโทรแจ้งล่วงหน้า 16. ใครต้องการแจมรถอาจจะโทรไปแจ้งล่วงหน้าก่อนสักชั่วโมงสองชั่วโมง โดยเฉพาะในวันธรรมดา จนท.จะได้ประสานรถให้ล่วงหน้า ไปถึงอุทยานฯจะได้ไม่ต้องคอยนาน เบอร์โทรอุทยานฯ 084-4834689 053-453517-8 (เบอร์แรกโทรติดง่ายกว่า) 17. ค่าธรรมเนียมเข้าอุทยานฯ ผู้ใหญ่ 40 เด็ก 20 รถยนต์เล็ก 50 ฝากรถไว้ได้ทั้งที่บ่อน้ำพุร้อนฝาง และห้วยบอน (เด๋วคิดไรออกจะมาเขียนเพิ่มครับ)
ปะปะ ไปกัน
การเดินทางของเราเริ่มต้นที่กรุงเทพ บินไปลงเชียงใหม่ ความจริงดูจากแผนที่แล้วบินไปลงเชียงรายจะเดินทางไปอุทยานฯ ใกล้กว่า แต่เราเลือกลงเชียงใหม่ เพราะพอดีทริปนี้เป็นทริปนี้เราแพลนไปดูดอกซากุระเมืองไทยที่ขุนช่างเคี่ยนกัน (ทริปนี้เกิดขึ้นเมื่อ 30-31 มค.) ช่วงนั้นขุนช่างเคียนกำลังพีค
จากนั้นก็เช่ารถครับ ระยะทางจากสนามบินเชียงใหม่ไปที่ทำการอช. ดอยผ้าห่มปก (บ่อน้ำพุร้อนฝาง) 164 กิโลเมตร แต่ถ้าบินไปลงเชียงราย ระยะทางจะเหลือ 119 กิโล ต่างกันอยู่ 45 กิโล เทียบเป็นชั่วโมงเดินทางน่าจะต่างกันประมาณ 1 ชั่วโมง ไปทางเชียงรายเร็วกว่า จากการอ่านรีวิวทำการบ้านมาก่อนหน้านี้คือทุกคนต้องพุ่งตรงมาที่นี่ก่อนเลยนะครับ ที่ทำการอุทยานแห่งชาติดอยผ้าห่มปก พอมาถึงด่านเก็บค่าธรรมเนียมฯ ผมก็ลงไปแจ้งเค้าว่าจะมาขึ้นดอยผ้าห่มปก จนท. ดูรถเราแล้วเป็นเก๋ง ก็บอกว่าต้องเหมารถขึ้น ได้จองมามั้ย เราบอกว่าไม่ได้จอง จนท. ก็วอไปตามศูนย์ แล้วบอกเราว่ามีกลุ่มนทท.อีกกลุ่มจองรถไว้ เป็นกลุ่ม 6 คน กำลังเดินทางออกจากตัวเชียงใหม่ สามารถแจมกลุ่มเค้าได้เลย เด๋วจะประสานงานให้ ก็เก็บค่าธรรมเนียมฯ เข้าอุทยานฯแล้วบอกให้ขับเข้าไป ตรงไปติดต่อที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวเลย มาถึงศูนย์ก็แจ้งความจำนงค์อีกที พร้อมชำระค่าเช่าเต็นท์ ถุงนอน แผ่นรองนอน (เต็นท์หลังหนึ่งใช้แผ่นรองนอนได้ 3 แผ่น ถ้าต้องการแบบกางเต็มนะครับ กางเต็มพื้นที่แผ่นจะได้ไม่เลื่อนไปเลื่อนมา หมอนก็มี ผ้านวมก็มี แต่ต้องไปเช่าข้างบน ตรงนี้มีป้ายบอกสถิติอุณภูมิเมื่อเช้า ณ ลานกางเต็นท์กับยอดดอย เห็นตัวเลข เลขตัวเดียว ลานกางเต็น 9 ยอดดอย 7 ของเมื่อเช้า บรื๋ย ตัดสินใจทันทีว่าต้องทั้งถุงนอน+ผ้านวม
นี่เป็นครั้งแรกที่ได้มาที่นี่ด้วย ตรงนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม เป็นบ่อน้ำพุร้อน น้ำพุจะพุ่งสูงหลายสิบเมตรให้เห็นอย่างในภาพนี่ทุกๆ 30 นาที น้ำพุร้อนฝาง เราเดินทางมาถึงบ่ายสอง ก็รอไปครับ เนื่องจากเป็นวันธรรมดา ไม่มีรถบริการขึ้นดอยมาจอดรอด้วย เจ้าหน้าที่ต้องแน่ใจว่ามีนทท.จะใช้รถถึงจะโทรไปเรียกรถให้ขับเข้ามา ส่วนใหญ่เป็นของชมรมคนรักษ์ดอยผ้าห่มปก พวกอาสาสมัครชาวบ้านชาวเขาแถวนี้แหละ ที่มีรถแล้วนำมาร่วม รถที่มารับพวกเราก็ถูกโทรเรียกกะทันหันเหมือนกัน เรียกว่าแต่งตัวออกจากบ้านแทบไม่ทัน เพราะจนท. ต้องรอจนน้องๆ กลุ่มที่เดินทางมาจากตัวเมืองเชียงใหม่ตามมาสบทบก่อนเพื่อความชัวร์ แต่ถ้าเราบอกว่าเราต้องการเหมาะเลย สองคนก็จะเหมาแบบนี้เค้าโทรเรียกให้ได้ทันที แต่เราขอแจมกลุ่มดีกว่า ประหยัดไปเป็นพัน ระหว่างรอที่นี่ก็มีร้านอาหาร มีศาลานั่งพักผ่อนอย่างในภาพครับ บรรยากาศร่มรื่น จนท.ที่ประสานงานเค้าขอเบอร์มือถือเราไว้แล้ว ถ้ารถมาคนพร้อมเค้าจะโทรมาบอก ส่วนรถของเราจนท. แนะนำให้มาจอดหลังศูนย์ฯ เลย เค้าจะได้ดูแลสอดส่องให้ระหว่างที่เราขึ้นไปค้างบนดอยกัน ระหว่างนี้ก็นั่งๆ นอนๆ ล่ะครับ คอยเป็นชั่วโมง ถ้ารู้ว่าต้องคอยนานนะผมอาบน้ำแร่ไปแล้ว เค้ามีบริการน้ำแร่ ห้องอาบมีทั้งกลางแจ้ง ในร่ม ค่าบริการหัวละเริ่มต้น 20 บาทเท่านั้นเอง
ในที่สุด สองชั่วโมงเต็มๆ ครับ ทุกคนก็พร้อม รถก็พร้อมแล้ว ก็จัดแจงแบ่งสัมภาระ อันไหนไม่ใช้ก็ทิ้งไว้ที่รถ พอรถขับออกจากอช.ไปได้หน่อยก็ถูกวอให้วกกลับไปอีก บอกว่ามีอีก 4 คนขอแจมไปด้วย เป็นฝรั่ง 2 คน และคนไทยอีก 2 เอาล่ะสิ เบียดกันเลยทีนี้ 12 คน ฝรั่งสองคนนั่นก็โอ้เอ้มาก เดินไปเดินมา จัดของช้าๆ แถมมีเดินไปหาห้องน้ำเข้า หายไปอีกนาน กว่าจะพร้อมอีกทีสี่โมงสี่สิบ จากนั้นก็ห่อตะบึงกันล่ะทีนี้ ผมนี้หัวร้อนเลยกลัวไม่ทันถ่ายพระอาทิตย์ตก เส้นทางนะครับ ระยะทางทั้งหมด จากที่ทำการฯ ถึงลานกางเต็นท์กิ่วลม 28.6 กิโล ถ้านับจากอ่างเก็บน้ำห้วยบอก ถึงลานกางเต็นท์ก็ 15.2 โล พิกัด google maps นำทางด่านเก็บน้ำห้วยบอนนะครับ เผื่อใครจะขับตรงไปที่อ่างเลย >> https://goo.gl/kOJ222ก่อนถึงลานกางเต็นท์ประมาณเกือบ 4 กิโลซ้ายมือมีจุดชมวิวทิวสน มองเห็นวิวสวยงาม และน่าจอดแวะถ่ายภาพ ภาพด่านตรวจของอุทยานฯ ตรงอ่างเก็บน้ำห้วยบอน ด่านตรวจห้วยบอน จุดเริ่มต้นเส้นทางขับขึ้นดอยผ้าห่มปก
ใครมาไม่ทันเวลาเหล็กกั้นนี้จะปิด อดขึ้นนะครับ จริงๆ เห็นมีหลายคนก็นอนที่บ่อน้ำร้อนนะครับ แล้วนัดรถตีสามมารับ ขึ้นไปบนกิ่วลมให้ทันตีสี่ก็เดินขึ้น สำหรับคนที่ไม่อยากนอนเต็นท์นะครับ แต่มาทั้งทีนอนเต็นท์บนกิ่วลมดีกว่า จากอุทยานฯ มาถึงห้วยบอน ระยะทาง 13.4 กิโล ใช้เวลาขับรถประมาณ 15 นาที เส้นทางสู่ยอดดอยมีหลายสภาพพื้นผิวทาง คอนกรีตก็มี คอนกรีตเลนนึงลูกรังเลนนึงก็มี (เนื่องจากมีก่อสร้างเส้นทางกระจายอยู่ตลอดทาง ก่อสร้างมานานหลายปีแล้วยังไม่เสร็จ บางช่วงก็เป็นลูกรังล้วนๆ ช่วงชันยาวต่อเนื่องเป็นกิโลก็มี รถต้องมีกำลังนะครับถ้าจะขับขึ้นเองขอให้มั่นใจกำลังรถตัวเองไว้ด้วย จุดชมวิวทิวสนจากห้วยบอนถึงจุดชมวิวทิวสน ใช้เวลาประมาณ ครึ่งชั่วโมง
ถึงแล้ว ลานกางเต็นท์ที่สูงที่สุดในประเทศไทย ลานกางเต็นท์กิ่วลม ใช้เวลาไปทั้งหมด รวมแวะจุดชมวิวทิวสนสิบนาที เวลาใช้ไปทั้งสิ้น 1 ชั่วโมงพอดี อยู่เชิงยอดดอยผ้าห่มปก จากจุดนี้ก็เหลือระยะทางที่ต้องเดินเท้าขึ้นยอดดอยอีก 3 กิโลเมตรเศษ ทางเริ่มเดินอยู่หลังศูนย์บริการนักท่องเที่ยวในภาพนี้ล่ะครับ จอดรถแล้วก็ตรงเข้าไปยื่นใบเสร็จค่าเช่าเต็นท์กับเครื่องนอนแล้วรับของกันได้เลย ข้างๆ ศูนย์ฯ จะมีเพิงอาหารนะครับ เป็นร้านอาหารของชาวบ้านชาวเขาที่มาเปิดให้บริการแหละ รายการอาหารก็เป็นพวกอาหารตามสั่ง ผัดกระเพรา หมู, ไก่ ราดข้าว ราดข้าว 50 กับข้าว 100 ผัดบ๊อคโคลี่น้ำมันหอย 50 กับข้าว 80 ผัดดอกกระหล่ำน้ำมันหอย 50 กับข้าว 80 ผัดผักรวม 50 กับข้าว 80 ผัดเห็นหอมสด 50 กับข้าว 100 ไข่เจียวหมูสับ 40 กับข้าว 50 หมูกระเทียม 50 กับข้าว 100 ต้มจืดเต้าหู้สาหร่ายหมู กับข้าว 80 ต้มยำไก่ กับข้าว 150 ไข่ดาวฟองละ 10 ตอนเช้าก็มีข้าวต้มหมูเห็ดหอม หมูจุ่มก็มี ชุดละ 500 โทรสั่งอาหารก่อนได้ด้วย ผมจดป้ายเบอร์โทรหน้าร้านมาฝาก 093-2800035 ต้อม
** อย่าลืมนัดเวลารถกลับมารับด้วยนะครับ เขาไม่ได้อยู่นอนกะเราข้างบน สำหรับผมก็ใช้วิธีกะเวลา ดวงอาทิตย์วันนั้นขึ้น 7 โมง กะว่าถ่ายเพลินๆ 8 โมงเดินลง 9 โมงเศษกลับถึงลานกางเต็นท์ กินข้าวอีกสักหน่อย ก็เลยนัดรถมารับสิบโมง พระอาทิตย์ใกล้ตกแล้ว ช่วงที่ไปพระอาทิตย์ตกเร็วขึ้นช้า เพราะยังเป็นหน้าหนาว หลังศูนย์บริการฯจะเป็นเนิน เดินขึ้นเนินซ้ายมือจะเป็นลานชมวิวกิ่วลม และหัวเนินตรงนี้จะมีป้ายเขียนไว้ว่าเส้นทางศึกษาธรรมชาติ ยอดดอยผ้าห่มปก นี่เป็นจุดเริ่มต้นเดินเท้า เด๋วพรุ่งนี้เช้ามืดตีสามกว่าเราจะตื่นขึ้นมารวมตัวกันที่หน้าศูนย์ เพื่อเริ่มออกเดินกันตีสี่
รอถ่ายพระอาทิตย์ตกกันที่ ลานชมวิวกิ่วลม ดวงตะวันตกผ่านฉากหน้ากิ่งสนสวยดี มุมแบบนี้ไม่ต้องหา รอบตัวเราตอนนี้มีแต่ต้นสนสูงชะลูด
บรรยากาศแสงสุดท้ายของวันนั้น ที่ลานกางเต็นท์กิ่วลม ถือเป็นจุดที่เหมาะสำหรับชมตะวันตกดินและชมทะเลหมอกยามเช้า ดวงดาวเดือนเกลื่อนฟ้าผ้าห่มปกดอยผ้าห่มปกได้ชื่อว่ามีจุดกางเต็นท์ที่จะเห็นดวงดาวเกลื่อนฟ้า เพราะกลางลานเป็นท้องฟ้าเปิดโล่ง และที่นี่อยู่สูง อยู่ห่างเมือง ไม่มีแสงไฟใดๆ รบกวน แถมหลังสี่ทุ่มบนนี้ปิดไฟหมดอีก เพราะยังอาศัยไฟแสงสว่างจากเครื่องปั่นไฟ ฉะนั้นใครเตรียมถ่ายดาวก็สนุกแน่ แต่ต้องทนหนาวหน่อยนะ ภาพนี้ผมก็ตั้งกล้อง 40 นาที ตัวเองก็นั่งเฝ้ากล้องอยู่ในเพิงร้านอาหารครับ คือถ่ายตอนนั่งสั่งข้าวกินเนี่ยแหละ
ตีสี่แล้ว ได้เวลาเดินไนท์เทรลขึ้นพิชิตยอดดอย
ตีสามกว่าตั้งเวลาปลุกไว้ครับ ตื่นมาเตรียมลุก ไปรอกันที่หน้าศูนย์บริการ จะมีชาวเขาอาสา หรือบางทีก็จนท.พนง. มารอนำทางขึ้นยอดดอย เนื่องจากเราต้องเดินกันกลางคืนเพื่อให้ทันดูดวงอาทิตย์ขึ้น อย่าลืมไฟฉายนะครับ แบบคาดหัวจะสะดวกกว่า มือจะได้ว่างบางทีต้องยึดเกาะต้นไม้กิ่งไม้ข้างทาง สำหรับค่าคนนำทางจะคิดที่ 400 บาท/กลุ่มนทท. 8 คน แต่กรณีมากันแบบเบี้ยหัวแตก ไม่เป็นกลุ่ม เค้าจะคิดหัวละ 50 บาท เค้าจะนำหน้าคนนึงและปิดท้ายคนนึงทั้งขาขึ้นและขาลง อ้อ แล้วก็น้ำดื่มด้วย ห้ามลืมเด็ดขาด พกกันไปอย่างน้อยขวดครึ่งลิตรคนละ 2 ขวด
ใช้เวลาฝ่าความมืดขึ้นมาราวๆ สองชั่วโมง หกโมงก็ถึงยอดแล้ว แต่สู้ลมไม่ไหว อุณหภูมิตอนนั้นประมาณ 7 องศา บนยอดจะไม่มีต้นไม้ใหญ่ให้หลบลม ต้องใช้วิธีเดินย้อนทางลงไปหน่อย ไปหลบแนวชายป่า พอฟ้าสางหน่อยก็ออกแรงเดินต่อร้อยเมตรสุดท้าย ก็มายืนรอแสงแรกของวันกันบนยอดผ้าห่มปก
เทรลเดิน 3.2 กิโล (ส่วนใหญ่จะใช้ 3.5 กิโล ไปกลับ 7 แต่ผมวัดด้วยจีพีเอส ไปกลับมันได้แค่ 3.2 ขออนุญาตใช้ตัวเลขนี้แทนนะครับ) เส้นทางจะเดินไปตามสันดอย เดินไป 400 เมตรแรกจะเจอกับเนินชันยาวสุดชื่อ ม่อนวัดใจ ยาว 200 เมตร บางคนทรุดนั่งหอบกันเลย ให้ดีก็คือควรวอร์มอัพ ยืดเส้นยืดสายกันตั้งแต่ก่อนออกเดินครับ เพราะเดินตีสี่แบบนี้ร่างกายเหมือนจะยังไม่พร้อมกัน ประกอบกับอากาศเย็นและมองไม่ค่อยเห็นทางด้วยทำให้เหนื่อยเร็ว เลยจากม่อนวัดใจไปทางที่เหลือก็ถือว่าไม่ยากแล้ว ผ่านจุดหมายต่างๆ ที่เค้าปักป้ายไว้เป็นหมายธรรมชาติ เพราะเส้นทางนี้เป็นเส้นทางที่เค้าทำไว้เป็นทางศึกษาธรรมชาติด้วย เหมาะสำหรับเดินเล่นตอนกลางวันครับ จะได้สังเกตอะไรชัดๆ ป้ายบอกต่างๆ จะมีคำอธิบายให้ความรู้ด้วยครรับ มีทั้งหมด 8 จุดสนใจ จากนั้นก็จะถึงยอดดอยผ้าห่มปก ยอดสูงอันดับที่ 2 ของไทย 2,285 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง แผนที่ 3D Map เทรลเดินครับ
ในที่สุด 2 เท้าก็ก้าวย่าง มายืนอยู่ ณ ยอดดอยผ้าห่มปก หนาว ลมแรง หมอกฟุ้ง ทะเลหมอกหาย! โชคไม่เข้าข้างเท่าไหร่ เสียดาย ถามคนนำทางเค้าบอกว่าที่นี่หมอกจะอลังต้องมีฝนตกสักหน่อยทิ้งช่วงสักวันสองวันแล้วขึ้นมารับรองร้องว้าว สิ่งที่ผมคิดคือทะเลหมอกเต็มรอบทิศทางนะครับ แต่ก็รู้ว่าโอกาศเกิดยาก แต่ที่หวังมากกว่าหมอกคือ ที่ดั้นด้นขึ้นมานี่นอกจากต้องการมาพิชิตยอดดอยสูงอันดับสองแล้ว อีกใจเลยคือต้องการมามองยอดดอยหลวงเชียงดาว ยอดสูงอันดับสามที่ยิ่งใหญ่ที่จะมองเห็นได้ชัดจากบนนี้ ย่ิงถ้าอากาศดีมากๆ จะเห็นไกลไปถึงดอยอินทนนท์เลยครับ แต่!! ฟ้าเช้าวันนั้นไม่ใช่วันของเรา อุณภูมิจากเซนเซอร์บนนาฬิกา 8.7 องศาเซลเซียส ปลดจากข้อมือมาสัมผัสอากาศตลอดเทรล พิกัดจีพีเอส ณ ป้ายยอดดอยผ้าห่มปก
บรรยากาศตะวันขึ้นนะครัช กว่าจะทะลุเมฆมาได้ นี่ตอนแรกนึกว่าจะไม่เห็นแม้แต่ตะวันนะ คือขอบฟ้าเรืองรองก็ชวดไปละหนึ่ง นี่ยังดีมีแบบเมฆกระพือบางลงจนตะวันทะลุมาได้บ้าง อ่ะ ถือว่าสวยไปอีกแบบละกัน
อันนี้มุมมองด้านทิศเหนือ จะเห็นเหลี่ยมดอยสวยอยู่ ก็เดินมาเรื่อยๆ นะครับ เลยจากป้ายมา ทางลาดลงเล็กน้อย ทางดูเหมือนจะเดินต่อได้เรื่อยๆ แต่ก็รกขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน ก็เลยเดินไปไม่ไกลนัก บนนี้ถ้าฟ้าปิดหมดก็เหลือแต่ป้ายยอดดอยผ้าห่มปกนี่ล่ะครับที่ให้ถ่าย บนป้ายมีเทอร์โมมิเตอร์ติดไว้ แต่รุ่นนี้พยายามอ่านก็อ่านอุณหภูมิไม่ออก!!
บนนี้มีดอกไม้ป่าให้ถ่ายหลายชนิด เหลืองๆ นี่น่าจะเป็นดอกบัวทอง มีขึ้นกระจายอยู่เยอะ นอกนั้นดอกอะไรบ้างก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ ถ้ามีคนชี้เป้าล่ะก็ก่อนขึ้นถึงยอดดอยจะมีชมพูพิมพ์ใจครับ ที่ที่ว่ากันว่าพบที่เดียวในไทยที่ดอยหลวงเชีียงดาวนั่นแหละ และมีดอกเทียนคำด้วย แต่ไม่ได้บานฤดูนี้
อันนี้คนนำทางบอกว่าชื่อดอกเมหม้าย ผมก็พยายามถอดเสียงนะครับ แกพูดไทยกลางไม่ชัด ส่วนนี่ตาคนนำทางบอกว่าชือดอกคาวข้าว ถอดเสียงได้แค่นี้ล่ะครับ ขนาดบุหรี่ wonder พี่แกยังออกเสียงฟังเหมือนมอนซะเตอเลย
ด้านเหนือของยอดดอย รกนิดหน่อย ต้นไม้เล็กๆ กำลังเจริญเติบโตบนทางเดินก็มี เทรลเดินบนนี้ถือว่าไม่ยากนะครับ แตะหุ้มสนใส่ถุงเท้ากันเท้าเย็นหน่อยก็ขึ้นได้ ผ้าใบดอกดีดียิ่งเหมาะ หรือจะสตั๊ดดอยก็ได้ถ้าใครมีอยู่แล้ว สำหรับผมก็คู่เดินแทบทุกดอยครับ คู่นี้ ยกเว้นเทรลเดินที่เป็นน้ำ และมีกรวดเยอะใส่ไม่ได้ครับ กรวดหินจะเข้าไปขัดขาเรื่อย เทรลเดินทิศเหนือของยอดดอยลาดชันนิดหน่อยและเป็นหน้าผาสูง พื้นทางอาจลื่นถ้าใบไม้ทับถมอยู่เยอะ และเปียกน้ำค้างด้วย เดินด้วยความระมัดระวังมากๆ นะครับ
มุมนี้ยอดดอย ผาชันด้านทิศตะวันตกครับ เดินถอยลงมาหน่อยแล้วถ่ายกลับขึ้นไป บนยอดเป็นพื้นที่แคบๆ รีรี ยาวไปตามแนวเหนือใต้ ความยาวบนยอดไม่กี่สิบเมตร แต่ความกว้างนี่ไม่กี่เมตรนะ ได้วิวเปิดเมฆบางลงแว้บนึง มองเห็นสันดอยแวดล้อมสองสันด้านทิศตะวันตก สันสัญลักษณ์ของวิวบนยอดดอยผ้าห่มปก สันที่สองไกลๆ นั่นคือแนวพรมแดนไทย-พม่า ได้เวลาเดินทางลงละ สรุปว่าอยู่บนยอดนี่หนึ่งชั่วโมง อยู่จนเป็นคนสุดท้าย คนนำทางเค้าจะทิ้งไว้คนนึงคอยปิดท้ายขบวน เพื่อแน่ใจว่านักท่องเที่ยวไม่ตกค้างอยู่ข้างบน
บรรยากาศตอนเริ่มเดินลงครับ ฟ้าแจ่มจริงจริ๊งงงง ไม่เป็นไร เหมือนเทรลเดินบนฟากฟ้าสรวงสวรรค์ดี
ขาลงเทรลสว่าง ก็เริ่มมองเห็นความงามของป่าบนยอดดอยผ้าห่มปกมากขึ้น ถือว่าเป็นป่าที่สวยมากๆ
บรรยากาศป่าห่มผ้า หรือป่าใส่เสื้อ หรือป่าโบราณ ป่าที่ต้นไม้ใหญ่ๆ กิ่งก้านจะเต็มไปด้วยพืชชั้นล่างจำพวกมอสเฟิร์นห่อห่มเต็มลำนะครับ ผสมๆ กับหมอกบางๆ โอย สวย
ต้นไม้ใหญ่ใส่เสื้อ ถ้าเดินรีบๆ นี่ชั่วโมงเดียวก็ถึงนะครับ เดินแบบจ่้ำๆ แต่เราเดินแบบไม่เร่ง เจอไรสวยก็ถ่ายไปเรื่อย นัดรถไว้สิบโมงนี่เพิ่งจะแปดโมงกว่า ป่าสวยจนไม่อยากเดินเร็ว
ขาลงเนื่องจากเดินลงคนสุดท้าย มีคนนำางปิดท้าย ก็เลยมีเจ้าตูบตัวนี้ของคนนำทางเดินเป็นเพื่อนตลอดทาง เราเดินมันเดิน เราหยุดมันก็หยุดอยู่กะเรา เออ ดีแฮะ น่ารักมาก
ป่าสวยตลอดทาง
แสงอาทิตย์เริ่มส่องให้เห็น คนนำทางพูดแซวเลยว่าดูสิพอเดินลงมาค่อยโผล่ นี่ถ้าเดินย้อนขึ้นยอดดอยตอนนี้นะวิวสวยแน่ๆ อ่า ถ้าไม่เกรงใจว่านัดรถไว้เนี่ยผมเดินย้อนขึ้นจริงๆ นะ ว่าไปแล้วมาคิดดูน่านอนค้างสองคืนครับ มาหนหน้าถ้ามีจะขอนอนสองคืนแน่นอน ในที่สุดก็ย้อนมาถึงม่อนวัดใจ ขาขึ้นนี่ทำเอาหอบ แต่ขาลงม่อนนี่สบายหน่อย พ้นม่อนนี้ไปก็เท่ากับเดินอีก 400 เมตรก็ถึงลานกางเต็นท์ละ
จบเทรลเดินที่ลานชมวิวกิ่วลมนะครับ ฟ้าแจ้งแจงแวงมวาก เสียดาย อยากวิ่งกลับขึ้นไปยอดดอย มองดูจุดเริ่มต้นขึ้นยอดดอยอีกครั้ง บรรยากาศลานกางเต็นท์ตอนสายๆ นักท่องเท่ี่ยวหายหมดละ รถก็หายเกลี้ยงหมดดอย! พวกนี้รีบมารีบไปกันจิมจิม ลงมาถึงเก้าโมงกว่า รถมาจอดรอรับละ คนอื่นๆ ก็รอพร้อมกันหมดแล้ว มาเร็วกว่าเวลานัดเกือบครึ่งชม.นะเนี่ย แผนที่วางไว้ว่าจะลงมากินข้าวก่อนล่ะ! แต่พอเหลือบไปมองร้านค้า อ่าว ปิด! เฮ้ย ถ้าเปิดนี่ได้อีกหลายจานนะเนี่ย เป็นอันว่าลงมาถึงก็หอบเครื่องนอนไปคืน จ่ายค่านำทางคนละ 50 บาท แล้วก็เอาของขึ้นรถ พร้อมเดินทางลง
บ๊ายบายดอยผ้าห่มปก แล้วเราจะกลับมาใหม่ ที่ตั้งใจไว้มากแต่ยังไม่ได้ทำคือเดินถ่ายภาพป่าสนสองข้างทางบริเวณทางใกล้ๆ ลานกางเต็นท์นี่ล่ะครับ หนาตามาก และแต่ละต้นก็สูงใหญ่ อ้อ เห็นซากุระเมืองไทย นางพญาเสือโคร่งเบ่งบานแทรกอยู่ริมทางด้วยต้นนึง สวยเลยต้นนี้ จากนั้นโฟล์วีลก็พาบึ่งกลับบ่อน้ำพุร้อนฝาง อาบน้ำอาบท่ากันที่นี่แล้วก็เปลี่ยนมาขับรถเก๋งที่เช่ามา บึ่งกลับเมืองเชียงใหม่ ปลายทางสนามบิน จับเครื่องบินไฟล์ทหกโมงเย็นกลับกอทอมอ.
Create Date : 23 กุมภาพันธ์ 2560 |
|
30 comments |
Last Update : 23 กุมภาพันธ์ 2560 14:34:23 น. |
Counter : 6773 Pageviews. |
|
|
|