Group Blog
 
<<
กันยายน 2554
 
23 กันยายน 2554
 
All Blogs
 
อ้ำอึ้งเตียงหัก!บ๊วยมีปัญหาตุ๊ก



''บ๊วย-เชษฐวุฒิ'' อ้ำอึ้งข่าวเตียงหัก! รับสนิทไฮโซ ''โม'' จริงแต่เป็นแค่เพื่อนร่วมงานเท่านั้น อุบยังไม่รู้ว่าความสัมพันธ์กับภรรยาสาว ''ตุ๊ก-ชนกวนันท์'' เป็นอย่างไรกันแน่? แต่ทุกวันนี้ตั้งใจทำทุกอย่างเพื่อลูกทั้ง 2 คนมากกว่า

เรียกว่าเป็นกระแสข่าวช็อกวงการเลยทีเดียว เมื่อมีข่าวเม้าท์...ข่าวลือเตียงหักครอบครัวของพิธีกรหนุ่มอารมณ์ดี ''บ๊วย'' เชษฐวุฒิ วัชรคุณ กับภรรยานางแบบสาว ''ตุ๊ก'' ชนกวนันท์ วัชรคุณ โดยมีชื่อของไฮโซสาว ''โม-นภัสนนท์'' ทายาทร้านทองชื่อดัง เข้ามาเอี่ยวที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นมือที่สามทำขาเตียงของ ''ตุ๊ก-บ๊วย'' สั่นคลอนอีกต่างหาก

จากกระแสข่าวดังกล่าวทำให้พิธีกรหนุ่ม ''บ๊วย-เชษฐวุฒิ'' ได้เตรียมที่จะตั้งโต๊ะแถลงข่าวชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว โดยได้เชิญสื่อมวลชนมาร่วมฟังคำแถลงทุกอย่างจากปากของ ''หนุ่มบ๊วย'' เมื่อช่วงเช้าตรู่วันที่ 22 ก.ย. 54 ณ สตูดิโอรายการคันปาก ช่อง 7 ซึ่งทันทีที่ผู้สื่อข่าวได้ไปถึงพิธีกรหนุ่มก็ได้กำลังทำหน้าที่ดำเนินรายการ ''คันปาก'' อยู่ตามปกติ จนกระทั่งทางรายการ ''คันปาก'' ซึ่งเป็นรายการข่าวบันเทิงของช่อง 7 ได้นำวีทีอาร์ข่าวการสัมภาษณ์ภรรยาสาว ''ตุ๊ก-ชนกวนันท์'' เกี่ยวกับกรณีข่าวลือเตียงหักดังกล่าวมาเปิด ผู้สื่อข่าวได้สังเกตเห็นถึงสีหน้าของหนุ่มบ๊วยที่ฉายแววถึงความเคร่งเครียดได้อย่างชัดเจนเลยทีเดียว ซึ่งในวีทีอาร์การสัมภาษณ์ ''ตุ๊ก'' นั้น! นางแบบสาวก็ได้กล่าวว่า

ตุ๊ก : ''ข่าวก็คือข่าว ไม่ได้รู้สึกอะไร สิ่งที่สำคัญที่ทำให้รู้สึกก็คือลูก ไม่รู้ว่าคนอื่นรู้สึกคลุมเครือ หรือว่าอะไร การที่เรารู้สึกว่าเรายังมีครอบครัวอยู่ ทุกคนมีหน้าที่ก็ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด พี่บ๊วยก็ไปทำงานกลับมาบ้าน ดูแลลูกด้วยกัน พ่อ-แม่ที่ได้เลี้ยงลูกด้วยกันมันหาที่ไหนไม่ได้แล้ว แล้วก็หาไม่ได้ง่ายๆ เรามีความสุขกับการเลี้ยงลูก มันไม่สามารถสร้างขึ้นได้ เป็นเรื่องของพ่อ-แม่ เพราะฉะนั้นเราก็เติมความหวานกันระหว่างเลี้ยงลูก ไม่ได้มีปัญหา นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกสวีต เราอยู่ด้วยกัน เห็นหน้ากันทุกวัน อะไรที่เรารู้ก็รู้ อะไรที่เราไม่รู้ เราก็ไม่ต้องรอข่าว แล้วค่อยมาถาม บางทีแล้วเรา 2 คนต้องรู้เอง การอยู่ด้วยกันมันกลมๆ ผลัดกันไป ผลัดกันมา ความรักมันไม่มีเหตุผล ไม่มีศักดิ์ศรีอยู่แล้ว เราดูแลกันในสิ่งที่เราทำได้ และทำให้ดีที่สุดด้วยหน้าที่ของภรรยา พี่บ๊วยเองก็ตั้งใจทำงานและดูแลลูก ตุ๊กก็ตั้งใจ แล้วก็เป็นหน้าที่ที่เราเห็นแล้วว่าควรเลี้ยงลูกเป็นหลัก เพราะไม่อยากให้คนอื่นเลี้ยง อยากให้ลูกเติบโตกับแม่ เป็นความเหนื่อยบนความสุข

สุดท้ายก็ขอขอบคุณที่เรามีกันและกัน เราทุกคู่ก็มีเรื่องราวของแต่ละชีวิตคู่ ขอบคุณที่เค้าเป็นสามีที่ดี เป็นพ่อที่ดีของลูก ครอบครัวมันขาดคนใดคนนึงไปไม่ได้อยู่แล้ว ขอบคุณที่เค้าเป็นส่วนหนึ่ง รวมกันเป็นครอบครัวและสร้างมันขึ้นมา ชีวิตมันก็มีเรื่องราวในชีวิตแต่ละวันไม่เหมือนกัน และเรื่องมันก็เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ตามสภาพของแต่ละวัน แต่เอาเป็นว่าถ้าเราเข้มแข็ง และเป็นกำลังใจให้กัน ก็เชื่อว่าเราจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันทุกวันอย่างมีความสุขค่ะ''

หลังจากที่ ''บ๊วย-เชษฐวุฒิ'' ได้จัดรายการ ''คันปาก'' เสร็จเรียบร้อยแล้วก็ได้มานั่งแถลงข่าวเปิดใจถึงเรื่องราวข่าวลือดังกล่าวกับสื่อมวลชนนับร้อยที่เฝ้ารอฟังคำชี้แจงข้อเท็จจริงจากปากของหนุ่มบ๊วย โดยพิธีกรหนุ่มได้มีสีหน้าเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัดเจน ก่อนจะเปิดใจกับสื่ออย่างละเอียดยิบทุกคำถามเลยทีเดียว

ข้อเท็จจริงกับข่าวที่เกิดขึ้นเป็นยังไง?

บ๊วย : ''ผมก็ไม่รู้ว่าข่าวมาได้ยังไงนะครับ เรื่องราวจริงๆ แล้วอย่างที่คุยในรายการคันปากคือมันเป็นเรื่องของครอบครัว ซึ่งผมเองก็เป็นครอบครัวหนึ่งที่เป็นครอบครัวธรรมดาที่ตกลงใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน เวลาเราไปทำงานก็เป็นเรื่องของเวลางานครับ ผมก็ยังยืนยันเวลาที่ผมเลี้ยงลูก หรือเวลาที่ผมมีความสุข ผมเชื่อว่าผมทำหน้าที่ได้ดีไม่ได้ต้องการสร้างภาพว่าเป็นแฟมิลี่แมนหรือว่าอะไร ก็จะมีเจตนารมณ์ที่อยากจะมีครอบครัวมีชีวิตที่ดีและสมบูรณ์อยู่แล้ว โดยเฉพาะที่มีลูกนะครับ แต่ตอนนี้ข่าวที่ออกมาว่าเตียงหัก ข่าวที่ออกมาว่ามีมือที่สาม ผมรู้สึกว่ามันแรงเกินไปสำหรับผม

โดยส่วนตัวแล้วเตียงยังไม่ได้หักนะครับ มันเป็นเรื่องของอย่างที่บอกว่า เป็นครอบครัวธรรมดา มีทุกข์มีสุข มีปัญหาบ้าง มันก็มีปัญหามาเรื่อยๆ ถามว่ามีใครมาถามไหม มันก็ไม่มีใครถาม และผมจำเป็นต้องไปบอกใครไหม ก็ไม่ได้จำเป็นใช่ไหมครับ เพราะฉะนั้นการที่มีปัญหากันเรื่อยๆ เราก็ปรับตัวกันมาเรื่อยๆ นะครับ มันเป็นเรื่องของครอบครัวเรา ต้องแยกก่อนว่าตัวผมเองกับตุ๊กนี่คือหนึ่งครอบครัวคือเราจะมีปัญหาอะไรก็แล้วแต่เราจะมีแค่สองคน ผมไม่อยากให้ทุกคน สื่อมวลชนทุกฝ่าย หรือแขนง อะไรก็แล้วแต่ ไปดึงบุคคลที่สามเข้ามาเกี่ยวข้อง ผมเข้าใจว่าเนื่องจากว่าในฐานะที่ผมก็เป็นสื่อมวลชนด้วยเองเนี่ย ประเด็นมันน่าสนใจ

ที่เขาบอกว่าเป็นมือที่สามหรืออะไรก็แล้วแต่เนี่ย เพราะฉะนั้น ผมขอปฏิเสธว่าจริงๆ แล้วถ้าเกิดว่า อย่าเอาบุคคลที่สามเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะว่าเขาก็มีชื่อเสียง มีหน้ามีตาในสังคม และก็มีพ่อมีแม่ที่รักและเป็นห่วงนะครับ เพราะฉะนั้นการที่เราพูดอะไรแล้วไปทำร้ายใครแล้วเขารู้สึกไม่มั่นใจในชีวิตทำให้เขาศูนย์เสียอิสรภาพ หรือว่าทำให้คนเข้าใจผิดในการมองอีกฝั่งหนึ่งเป็นมือที่สาม ผมว่ามันเป็นสิ่งที่ลูกผู้ชายอย่างผมไม่ควรทำ''

สนิทกันจริงหรือเปล่า?

บ๊วย : ''สนิทกันจริงครับ ก็สนิทกันจริง ไม่รู้ว่ามาสนิทกันตอนไหนใช่ไหมครับ ก็คือผมทำงานอีเวนต์ของฮั่วเซ่งเฮง ไปทำงานพิธีกร ก็เนื่องจากว่าก็เป็นงานสนุกสนานงานเลี้ยงเซยิด 60 ปี ฮั่วเซ่งเฮง ผมก็ทำหน้าที่ของผมอย่างเต็มที่ในงานวันนั้น ก็สนิททั้งญาติของทางน้องโมด้วย ก็สนิทกันได้เร็ว หลังจากงานนั้นก็จะมีโอกาสคุยงานกันอย่างต่อเนื่องว่า เอ๊...ถ้ามีงานอีก ก็ส่วนมากจะเป็นเรื่องของงานมากกว่า เพราะฉะนั้นผมไม่ทราบว่าข่าวมาได้อย่างไร พอข่าวมาเป็นแบบนี้ผมก็จะบอกว่าที่มาที่ไปมันคืออะไร เพราะบางคนก็สงสัยว่ารู้จักกันได้ยังไง''

ยืนยันไม่มีปัญหานอกเหนือความสัมพันธ์เกินคำว่าเพื่อน?

บ๊วย : ''ไม่ๆ ครับ ผมคิดว่าถ้าผมจะตัดสินใจทำอะไรในครอบครัวต้องชัดเจน แล้วก็ผมเป็นหัวหน้าครอบครัววันหนึ่งถ้าเกิดผมทำอะไรต่างๆ เนี่ยสิ่งที่ผมต้องคิดมากที่สุดคือลูกสองคน ณ วันหนึ่งคือตอนนี้เขาอาจจะยังไม่รู้เรื่องไร้เดียงสา แต่ถ้าวันหนึ่งเขาโตขึ้นมาอ่านหนังสือได้ข่าวก็ยังเป็นข่าวครับ เขาก็สามารถย้อนกลับมาดูได้ และถ้าผมจะพูดอะไรเนี่ย หรือว่าตัดสินใจอะไรไปมันต้องดีที่สุดสำหรับเขาครับ''

พอมีข่าวแบบนี้ได้พูดคุยกับ ''โม'' บ้างไหม?

บ๊วย : ''พูดคุยสิครับ เนื่องจากว่าเรารู้จักกัน ก็พูดคุยว่ามันเป็นแบบนี้นะ ขอโทษด้วยที่โมเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย''

คือ ''บ๊วย'' โทร.ไปขอโทษ ''โม''?

บ๊วย : ''ก็พูดคุยกันว่าข่าวมันเป็นแบบนี้ ผมก็ตกใจเหมือนกัน''

แล้ว ''โม'' ว่ายังไงบ้าง?

บ๊วย : ''ข่าวอันนี้เนี่ย ทางนู้นเขาบอกว่าเขาไม่ได้เกี่ยวข้องอะไร ก็ช่วยชี้แจงด้วย''

แล้วกับ ''ตุ๊ก'' ล่ะ?

บ๊วย : ''ผมก็คุยกับตุ๊กว่าผมจะพูดแบบนี้นะ ว่าทุกทีที่ผ่านมาก็ไม่ได้ปัญหาอะไร ผมก็บอกตุ๊กเราต้องคุยแล้วล่ะ เพราะบางทีเราก็เป็นครอบครัวธรรมดาที่ก็ต้องกระทบกระทั่งกันบ้างเป็นเรื่องธรรมชาติครับ''

คำสัมภาษณ์ของ ''ตุ๊ก'' ก็ค่อนข้างที่จะกำกวมดูเหมือนงอนๆ?

บ๊วย : ''ให้มาถามผมใช่ไหมครับ ส่วนเรื่องงอนคือไม่ๆ ถ้าเกิดจริงๆ แล้วเราอยู่ในข่าวหรือในสายงานจริงๆ เราจะรู้ว่าการสัมภาษณ์ ณ วินาทีนั้น คนสัมภาษณ์รู้สึกอย่างไรที่พูดออกไป แต่คนเขียนก็คงมีการใช้คำว่าเอาความรวมนั้นแหละ และมันมีถึงสามกระบวนการในการสื่อสารด้วยกัน คือจากคนพูดสื่อสารไป คนที่สองคือฟังแล้วรู้สึกอย่างไร มันจะบอกว่าไม่มีความรู้สึกเลยคงเป็นไปไม่ได้ มันไม่เป็นการถอดคำพูดเหมือนในคดีของศาลนะครับ สามคือคนดูและอ่านข่าวก็เป็นที่มาว่าทำไมเราถึงมารวมตัวกันอยู่ตรงนี้''

ถือว่าเคลียร์กับ ''ตุ๊ก'' แล้ว?

บ๊วย : ''ไม่มีอะไรตั้งแต่แรกอยู่แล้วครับ ถ้ามีปัญหาก็มีปัญหาผมกับตุ๊กครับ''

ข่าวนี้กระทบความสัมพันธ์ไหม?

บ๊วย : ''กระทบแน่ครับ ดูสิครับ ผมไม่เคยมีชีวิตต้องมานั่งถูกสัมภาษณ์เยอะขนาดนี้ ด้วยเรื่องนี้ครับ''

ก่อนหน้านี้มีทะเลาะกันบ้างไหม?

บ๊วย : ''เป็นธรรมดาครับ เรื่องของการทะเลาะ แต่ถามว่าหนักน้อยแค่ไหน ผมขออนุญาต ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัว และผมก็ขออนุญาตไม่พูด เพราะว่า หนึ่งผมก็เป็นผู้ชายครับ ถ้าเกิดพูดไปว่าทะเลาะกับตุ๊กเรื่องอะไร ใครไม่ดีใครถูกใครผิดมันก็ไม่ดีไม่สมควรใช่ไหมครับ''

แต่ไม่ได้ทะเลาะกันเพราะเรื่องมือที่สาม?

บ๊วย : ''ยืนยันครับว่าไม่ได้เกี่ยวกับมือที่สามกรุณาอย่านำมือที่สามเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะว่าจะทำให้เรื่องใหญ่โต ผมเชื่อว่าทุกครอบครัวก็ต้องมีปัญหา เป็นปัญหาครอบครัว ผมก็มีของผม''

ทำให้กระทบความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนกับ ''โม'' ไหม?

บ๊วย : ''ใช้คำว่าช่องว่างระหว่างกัน คือผมพูดอะไรผมต้องระวังมากเลยนะ จริงๆ บางทีเนี่ย อย่างที่บอกมันมีด้วยกันสามตอน มันเป็นความรู้สึกที่ไม่มีอะไรยืนยันว่าไม่มีอะไร ถามว่ากระทบความสัมพันธ์ไหม การที่คนเราจะเลิกคบกันก็น่าจะมาจากปัญหาของคนสองคนถูกไหมครับ เลิกคบกันไม่ได้บอกว่าเป็นแฟนกันนะครับ เลิกคบกันชี้แจงว่าเป็นเรื่องของเพื่อนกัน การที่เราจะเลิกคบเพื่อนเป็นเพราะว่าเป็นข่าวเหรอ ต้องถามเหตุผลว่าเราจะเลิกคบเพื่อนด้วยเหตุผลอะไร ถ้าถามผมก็คงไม่''

เคยมีไปไหนมาไหนด้วยกันไหมเลยทำให้เป็นข่าว?

บ๊วย : ''ก็มีไปกินข้าวและไปกินนี่ ไม่ได้ไปคนเดียว หรือว่าไปกันสองคนกับโมอยู่แล้วนะครับ ก็ไปกับพี่ชายเขา แต่ด้วยภาพผู้หญิง-ผู้ชายมั้งครับ ผมว่าน่าจะถูกมองว่าไปกันสองคนหรือว่ายังไงก็แล้วแต่''

สรุปแล้วความสัมพันธ์ในครอบครัวตอนนี้เป็นยังไง

บ๊วย : ''ทุกวันนี้อย่างที่บอกว่ามีปัญหา ผมก็พยายามปรับตัวให้ดีที่สุดอยู่แล้วนะครับ คำว่าครอบครัวหรือว่าลูกน่าจะสำคัญที่สุดในชีวิตของผมและก็ตุ๊กนะครับ เราสองคนก็จะทำหน้าที่พ่อและแม่ให้ดีที่สุด ถามว่าตอนนี้ผมพยายามแก้ปัญหา ถามว่าอนาคตจะเป็นอย่างไรไม่ทราบ''

ในส่วนของสามี-ภรรยาล่ะ?

บ๊วย : ''ผมไม่ทราบจริงๆ ครับ ถ้าเกิดพูดไปปุ๊บวันหนึ่งเป็นอะไรยังไงก็แล้วแต่ มันไม่ได้แย่มาก และมันก็ไม่ได้ คือ ณ วันหนึ่งเนี่ยมันเกิดอะไรขึ้นก็ได้ เพราะว่าอนาคตเป็นอะไรที่ไม่แน่นอน''

มีข่าวถึงขนาดผู้ใหญ่บอกว่าถ้าจะคบ ''โม'' ก็ให้ไปเลิกกับ ''ตุ๊ก'' ก่อน?

บ๊วย : ''อันนี้ผมตลกมาก นอกจากแปลกใจ จะใช้คำว่าตลกก็จะดูหน้าหมั่นไส้ ใช้คำว่าแปลกใจมากว่าผู้ใหญ่เกี่ยวข้องอะไร การที่เราดึงผู้ใหญ่มา ชื่อก็บอกแล้วว่าผู้ใหญ่ไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่ทางฝ่ายไหนก็ตามผมคิดว่าไม่สมควรที่จะดึงผู้ใหญ่เข้ามาเกี่ยวข้อง และก็ยืนยันแล้วว่าความสัมพันธ์ระหว่างผมกับโมก็เป็นคนรู้จักกันครับ''

ณ ตอนนี้ถือว่ายังเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์อยู่?

บ๊วย : ''ผมก็กลับบ้านทุกวันครับ เวลาชีวิตผมก็เล่นเวต เลี้ยงลูก ทำงาน''

แสดงว่าตอนนี้ยังไม่ชัดเจน?

บ๊วย : ''ก็แค่ว่าวันหนึ่งคนเรามีปัญหาอะไร ผมเชื่อว่าคนเราก็เคยมีปัญหานะครับ เวลาเรามีปัญหาเราไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหาอย่างไรก็ต้องแก้กันไปทีละจุด โดยเฉพาะข่าวในวันนี้มันจะง่ายมากเลย ถ้าผมพูดว่า โอ๊ย...ยังรักกันดี แต่ผมไม่อยากโกหกความรู้สึกตัวเอง ก็แค่บอกว่าตอนนี้ก็มีปัญหาก็เท่านั้นเองครับ ต่อไปผมก็จะพยายามทำให้ดีที่สุด โดยยืนบนพื้นฐานของความถูกต้องและก็ความเหมาะสม''

มีข่าวเม้าท์แรงขนาดว่าตอนนี้ ''บ๊วย'' หลง ''โม'' มาก?

บ๊วย : ''ผมตอบยากมากนะครับ คำว่าหลงมันคืออะไร มันน่าจะเป็นเรื่องของคนที่คบกันมากกว่า ผมกับโมไม่ได้คบกันครับ''

มีข่าวว่าเมื่อคืน ''ตุ๊ก'' ป่วยเข้าโรงพยาบาล?

บ๊วย : ''ผมก็เป็นคนพาไปโรงพยาบาลเองครับ''

เพราะเครียดกับข่าวหรือเปล่า?

บ๊วย : ''ผมไม่ทราบเหมือนกันครับ ก็ปวดหัวตัวไม่ได้ร้อนมาก เหมือนจะอาเจียนอย่างนี้ ก็พาไปโรงพยาบาล แล้วก็ทานยา มียาฆ่าเชื้อ อาจจะรับประทานอะไรไม่ค่อยดี ก็ปรึกษาหมอว่ายาฆ่าเชื้อทานเข้าไปมีผลต่อลูกไหม เพราะว่าลูกต้องกินนมตุ๊ก ก็ดูแลกันไปแบบนี้ครับ''

แล้วงานตอนช่วงบ่ายที่ต้องออกคู่กันล่ะ?

บ๊วย : ''คงไม่ได้ไป ทีแรกผมถามว่าไปคนเดียวได้ไหม อะไรต่างๆ เนี่ยไม่ได้เกี่ยวกับว่ากลัวสื่อมวลชน กลัวผมก็ไม่ได้มานั่งตรงนี้ ผมคิดว่าผมบริสุทธิ์ใจผมมานั่งแล้วก็พูดคุยดีกว่า คือผมพูดไปเชื่อไม่เชื่อก็เป็นเรื่องของคนอื่นแล้วกันนะครับ ผมพูดตามความรู้สึกและความจริงที่ผมเจอก็คือว่าตุ๊กป่วยจริงครับ ผมพาไปโรงพยาบาลจริง เขาไม่ไหวเพราะว่าเขาดูแลลูก เพราะฉะนั้นควรไปไหมครับ ผมคิดว่าไม่ควรไปนะครับ''

ณ วันนี้ความสัมพันธ์ในครอบครัวถึงขั้นแตกหักไหม?

บ๊วย : ''ผมพูดไม่ได้จริงๆ ครับ ถ้าวันหนึ่งผมพูดอะไรไปแล้วผมเชื่อว่าลูกอ่านหนังสือได้ ทุกวันนี้ย้อนอดีตต่างๆ ข่าวก็เป็นข่าว มันเป็นข่าวอยู่ในกระแสสังคมวันหนึ่งคนสนใจแต่สามสี่วัน อาทิตย์หนึ่ง เดือนหนึ่งผ่านไปคนก็จะลืม แต่สำหรับครอบครัวผมมันสำคัญและมันก็จะอยู่ตลอดไป''

แสดงว่ายังอยู่ในกระบวนการของการตัดสินใจอยู่ว่าจะยุติความสัมพันธ์สามี-ภรรยา หรือว่ายังคงเป็นครอบครัวอยู่?

บ๊วย : ''ทุกวันนี้ผมก็กลับบ้านครับ ไม่ได้มีอะไร''

พยายามที่จะประคองให้กลับมาเหมือนเดิมไหม?

บ๊วย : ''ผมเชื่อว่าใครที่มีครอบครัวไม่อยากจะเลิกหรอกครับ ใช่ไหมครับ และก็อะไรต่างๆ เนี่ย ก็คงต้องตัดสินใจหลายอย่างๆ ครับ ถามว่าวันนี้ฟังอาจจะดูแย่มาก วันพรุ่งนี้อาจจะไม่ดูแย่อย่างนี้ก็ได้ เนื่องจากว่าผมเองก็พูดในฐานะที่นอนไม่หลับ แล้วก็เครียดนะครับ จะบอกว่าคนอื่นที่นั่งทำรายการก็สนุก ผมก็อยากจะเล่นด้วย แต่ก็จะถูกมองอีกว่ามีอย่างนี้ยังสนุกสนานได้อีก คือผมเชื่อว่าการอ่าน การเสพ การทำอะไรก็แล้วแต่กับข่าวนะครับ เรามาพร้อมกับการวิเคราะห์ตามเสมอ เพราะฉะนั้นผมต้องทำงาน เป็นคนทำงาน บางคนอาจจะเข้าใจ บางคนอาจจะให้กำลังใจ ขอบคุณครับ บางคนอาจจะไม่เห็นด้วย บางคนอาจจะหมั่นไส้ ไม่เป็นไรครับ ผมก็คิดว่าผมได้ทำหน้าที่หรือว่าพยายามไม่พูดอะไรที่กระทบทุกๆ ฝ่ายให้มากที่สุดครับ''

ทางนู้นเขาพูดประมาณว่า ''บ๊วย'' ได้ขอเขาแต่งงานแล้ว?

บ๊วย : ''ก็คงเป็นไปไม่ได้นะครับ เพราะว่าผมพูดในกรณีของครอบครัวๆ หนึ่ง ไม่ได้หมายถึงผมนะครับ ถ้ามีปัญหาครอบครัวแล้วหย่าร้าง แล้วอยู่ๆ จะกระโจนไปแต่งงานใหม่เลยเหรอครับ อีกอย่างถ้าเค้าพูดเล่นๆ ก็ไม่น่าถาม ผมรู้สึกว่ามันเป็นไปไม่ได้ครับ การที่เป็นเพื่อนกันไปขอแต่งงานเพื่อนมันเป็นเรื่องที่ประหลาดครับ''

แล้วตอนนี้จะจัดการกับชีวิตตัวเองยังไงต่อไป?

บ๊วย : ''ทำงานครับ ชีวิตผมก็ต้องทำงานไป เดี๋ยววันนี้แถวมีนบุรี แล้วก็จัดการชีวิตอย่างไรง่ายๆ ว่าผมก็เป็นมนุษย์ธรรมดามีทั้งความสุขและความทุกข์ครับ''

ตอนนี้ความรักที่มีต่อ ''ตุ๊ก'' ลดน้อยลงไหม?

บ๊วย : ''โอ้โห เป็นคำถามที่ถามว่าผมไม่เคยโกรธตุ๊ก ไม่เคยบอกว่าไม่รักตุ๊กนะครับ แล้วผมไม่เคยบอกว่ารักน้อยลง หรือว่าลดลง ผมไม่เคยพูด ณ วันนี้ผมเชื่อว่าเวลาใครคบกัน จะครอบครัว แฟน หรืออะไร คนเราเปลี่ยนไปทุกวันครับ เพียงแต่ว่าจุดประสงค์ในชีวิตของเราคืออะไร ผมกับตุ๊กเชื่อว่าเรามีเป้าหมายเดียวกันคือเลี้ยงลูกให้ดีที่สุดครับ''

ครอบครัวของทั้งสองฝ่ายว่ายังไง?

บ๊วย : ''มันก็ไม่ดีหรอกครับ ขณะที่ผมสัมภาษณ์อยู่ทางฝั่งผม ฝั่งตุ๊กคงไม่สบายใจกับข่าวที่เกิดขึ้น มันเป็นเรื่องระหว่างผมกับตุ๊กสองคนครับ เราไม่ได้ไปปรึกษาใคร ผมคิดว่าเราสองคนโตและมีวุฒิภาวะเพียงพอแล้ว''

เหมือนที่เห็นวีทีอาร์ของ ''ตุ๊ก'' ที่เปิดดู ''บ๊วย'' ก็ถึงกับเครียดไปเลย?

บ๊วย : ''ไม่ได้เครียดหรอกครับ จะให้ผมทำหน้าอะไร ถ้ายิ้มก็ผมพูดตรงๆ ว่ากับสถานณ์การแบบนี้ผมทำตัวไม่ถูก เพราะว่าไม่เคยเกิดขึ้นครับ''

สบายใจขึ้นไหม?

บ๊วย : ''ก็ดีขึ้นครับ ก็เรื่องราวก็เป็นอย่างนี้ครับ''

ภาพ ''บ๊วย'' ดูเป็นแฟมิลี่แมน รักครอบครัว?

บ๊วย : ''ผมบอกแล้วการที่ผมทำอะไรลงไป ผมเป็นคนที่ทำอะไรจริงใจ ไม่ได้คิดจะโกหกใคร เวลาเลี้ยงลูก แสดงความรักหรืออะไรก็แล้วแต่ มันเป็นความรู้สึกที่เราแสดงออกไปจริงๆ ถามว่ากระทบมั้ยกับข่าวนี้ ผมไม่แน่ใจครับ ผมว่าคนที่กระทบเป็นคนที่ชมผมมากกว่า ผมก็ทำหน้าที่ของผมให้ดีที่สุดอยู่แล้วครับ''

อยากบอกอะไรกับผู้ชมที่ติดตามข่าวนี้ไหม?

บ๊วย : ''ก็ขอบคุณที่เป็นกำลังใจและสนใจเรื่องราวของผม ผมก็จะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด''

หมดหน้าที่สามี-ภรรยาแล้วเหลือแต่หน้าที่พ่อ-แม่?

บ๊วย : ''เวลามีปัญหาอะไรต่างๆ ผมเชื่อว่าถ้าจบไปแล้วบางครั้งอนาคตเปลี่ยนไป ผมพูดตรงๆ ในหลักของธรรมะว่า ถ้าเราพูดอะไรออกไป ณ วันนี้แล้ววันนึงมันก็จะเป็นบ่วงที่มาคล้องคอเรา คำพูดต้องเป็นนายตัวเองครับ ในเมื่อวันนี้ผมยังไม่สามารถพูดอะไรได้มาก ผมก็พูดไม่ได้จริงๆ ครับ มันไม่ได้มีผลต่อศาลหรือว่าอะไรก็จริง แต่มันมีผลต่อครอบครัวผมจริงๆ ผมบอกแล้วข่าวออกไปสามวันอาจจะเป็นถุงกล้วยแขกแล้ว แต่มันก็ยังจะคงประทับอยู่ในครอบครัวผมครับ''


ทุกวันนี้ทำหน้าที่พ่อให้ดีที่สุด?

บ๊วย : ''ผมคิดว่าทุกๆ อย่างที่ผมจะทำ...เวลาที่เราทำอะไร ถามว่ามีผู้ใหญ่เข้ามาเกี่ยวข้องมั้ย ไม่ได้มี แต่ผู้ใหญ่สอนผมเรื่องของการดำเนินชีวิตตลอดเวลาว่าทำอะไรแล้วเราต้องสง่างาม เราควรจะทำอะไรโดยการตัดสินใจของสติสัมปชัญญะที่ครบถ้วน''

จุดเปลี่ยนของความรู้สึกมันเกิดขึ้นได้ยังไง?

บ๊วย : ''จะบอกว่าเปลี่ยนเลยมันก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้น ผมกับตุ๊กเราก็มีวิถีชีวิตคู่แบบของเรา จะทุกข์จะสุขมันก็เป็นทุกข์กับสุขในแบบของเรา ไม่ได้เกี่ยวกับใครมาตั้งแต่ต้นแล้ว เป็นรูปแบบที่ผมกับตุ๊กจะต้องปรับเข้าหากัน ผมไม่ทราบว่าตอนนี้ที่เป็นข่าวกันอยู่ไปทราบข่าวกันมาจากไหน แล้วผมก็ไม่ต้องการหาต้นตอด้วย ในเมื่อเป็นข่าวมาแล้วผมเชื่อว่าอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นมันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เหมาะสม สาสม เสมอ นี่คือหลักของธรรมะ ถามว่าจุดเปลี่ยนเป็นอย่างไรในเรื่องของความรู้สึก คนเราเปลี่ยนทุกวันครับ ผมไม่สามารถบอกได้ว่าเปลี่ยนอย่างไร ณ วันนี้ผมไม่ได้บอกว่า...ผมคิดว่าชีวิตผมไม่ได้เปลี่ยนอะไร''

คิดจะเคลียร์พร้อมหน้ากันสามคนเลยไหม?

บ๊วย : ''ไม่มีอะไรทำไมต้องเคลียร์ครับ มันไม่มีอะไรมาตั้งแต่แรกแล้ว ตุ๊กเองเขาก็ไม่ได้สนใจอะไรอยู่แล้ว''

''ตุ๊ก'' เองรู้จักกับ ''โม'' ไหม?

บ๊วย : ''ไม่ได้เจอครับ เพราะตุ๊กเองเขาก็เลี้ยงลูกอยู่บ้าน ส่วนผมก็ทำงาน เวลาผมไปคุยงานผมก็ไม่ควรพาภรรยาและลูกไปใช่ไหมครับ และเท่าที่คุยตุ๊กเขาก็ไม่ได้ไม่สบายใจอะไรหนิครับ เพราะผมคุยกันตลอดเวลาครับ ทุกอย่างผมกับตุ๊กเราเคลียร์กันหมดแล้ว ผมกับโมไม่ได้มีอะไรกัน ณ วันนี้โมไม่ใช่ อนาคตก็ไม่ควรใช่เหมือนกันครับ สงสารเขาครับ อย่าดึงเขามาเป็นบุคคลที่สามเลยครับ เรื่องแบบนี้มันอยู่กับครอบครัวไหนเสื่อมเสียชื่อเสียงครับ ฉะนั้นเรานึกแทนว่าเราเป็นพ่อ-แม่เราก็คงไม่อยากให้ลูกของเรามีข่าวแบบนี้กับใครก็ตาม''

รู้สึกสงสาร ''ตุ๊ก'' มั้ยเพราะเขาต้องเลี้ยงลูก?

บ๊วย : ''ผมสงสารตุ๊กอยู่แล้วครับ ตุ๊กเนี่ยเสียสละตัวเองเป็นแม่บ้าน แล้วผมก็เห็นเสมอเวลาที่ใครสัมภาษณ์ผมก็จะบอก แต่ที่ผมพูดถึงโมเยอะเพราะว่าเขาเป็นบุคคลที่สามเรื่องของผมกับตุ๊ก ผมไปคุยกับตุ๊กได้ สมมติถ้าผมไปคุยกับโมก็จะไปจับประเด็นกันอีกว่าเป็นห่วงอะไรกันอีกมั้ย ต่างๆ นานา ที่ผมกล้าออกมาพูดเพราะผมเคลียร์กับตุ๊กแล้ว ผมเข้าใจเสมอว่าตุ๊กเสียสละทั้งอาชีพการงาน ชีวิตทั้งชีวิตเพื่ออุทิศให้กับลูกทั้งสองคน เขาไม่เคยบกพร่องในเรื่องตรงนี้เลย''

ความจริงคือมีปัญหากันมาอยู่แล้ว แต่ดันมีประเด็น ''โม'' เข้ามา?

บ๊วย : ''ใช่ครับ ก็เป็นเรื่องที่น่าโยงและเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก ถ้าเป็นละครก็ดูสนุก แต่นี่เป็นชีวิตผม ผมไม่สนุกครับ ชีวิตคู่นะครับมันก็ต้องมีปัญหากันมาเรื่อยๆ สะสมแต้มกันมาอยู่แล้ว ทะเลาะก็เป็นเรื่องทั่วไป แต่เราก็ปรับตัว ตลอดหกปีกว่าก็ยังต้องปรับ เพราะชีวิตเราเปลี่ยนไปทุกวัน ลองสังเกตใจเราเรื่อยๆ เลยว่าเรารู้สึกว่ามันเลี่ยนไปตลอด ผมเองก็ไม่ได้อยากให้มีข่าวแบบนี้ ผมอยากให้ชีวิตของผมปกติสุข ความปกติเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดแล้วครับ''

พูดเหมือนเวลาเปลี่ยนใจเปลี่ยน?

บ๊วย : ''มันเป็นอย่างนั้นจริงครับ เป็นกันทุกคนแหละครับ นี่ผมเอาหลักธรรมะมาพูดครับ ผมไม่ได้บอกว่ามันเป็นความรู้สึกผม แต่ผมเอาหลักธรรมะมาพูดว่าทุกอย่างเปลี่ยนไปหมด หินก้อนใหญ่มันยังกลายเป็นก้อนเล็กได้เลย''

ไม่ใช่ว่ายิ่งนานมันยิ่งจืดจางลงนะ?

บ๊วย : ''พูดตรงๆ ว่า ถ้าผมจะเปลี่ยนแปลงครอบครัวหรืออะไรก็แล้วแต่ไม่เกี่ยวกับมือที่สามแน่นอน แล้วถ้าจะเปลี่ยนมันต้องมีเหตุผลที่สมควรครับ ผมเป็นผู้ชาย ผมรับได้ทั้งหมด ผมเป็นคนออกมาสัมภาษณ์เองได้ แต่ก็มีคนที่เกี่ยวข้องกับผมเยอะ อยากขอให้ทุกๆ ฝ่ายเข้าใจ ทั้งตุ๊กด้วย ทั้งลูกผมด้วย ทั้งโมด้วย''

ตอนที่นั่งคุยกันมีร้องไห้ไหม?

บ๊วย : ''มันไม่ใช่ปัญหาที่ต้องมานั่งร้องไห้ครับ หลังจากนี้จะเป็นยังไงผมก็คงไม่เตรียมตัวรับมือกับมัน รู้สึกยังไงก็เป็นอย่างนั้น คนเราอย่าโกหกตัวเองครับ อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ผมถึงเลือกที่จะออกมาพูดความจริงว่าเราทะเลาะกันครับ เรามีปัญหากันก็เท่านั้นเอง แต่ความสัมพันธ์ยังไม่ได้เปลี่ยนง่ายๆ เหมือนพ่อ-แม่เรา ที่วันนี้ทะเลาะกัน พรุ่งนี้อาจจะดีกันก็ได้ แต่มันเป็นเรื่องของอนาคตไง ถ้าเกิดผมพูดไปมันก็เหมือนถ่มน้ำลายรดตัวเอง'' แต่คำว่าอยู่

เพื่อลูกมันก็ฟังยังไงอยู่นะ?

บ๊วย : ''มันก็ไม่ถึงขนาดนั้น เอาเป็นว่าลูกคือสิ่งที่สำคัญ ผมไม่อยากจะพูดอะไรที่มันกระทบแล้วอนาคตลูกผมต้องมานั่งอ่านข่าวนี้''

ท้ายที่สุดแล้วตอนนี้ยังรัก ''ตุ๊ก'' อยู่ไหม?

บ๊วย : ''ก็ผมไม่ได้บอกหนิว่า...ก็โอเคครับ ก็รักอยู่ (พูดเสียงเบามาก จนทำให้นักข่าวต้องแซวว่าเมื่อก่อนยังพูดเสียงดังได้อยู่เลย) ก็ยังรักอยู่ (เสียงยังเบาเช่นเดิม) ไม่ใช่อย่างนั้นครับ มันหลายๆ อย่าง ไม่ได้บอกว่าไม่รักนะ นี่พูดจริงๆ มันเป็นเรื่องของครอบครัวที่ว่าวันนี้เราต้องทำอะไรให้ลูก วินาทีนี้ต้องทำอะไรให้ลูก ใครที่เป็นมนุษย์พ่อมนุษย์แม่จะเข้าใจตรงนี้ จะเข้าใจว่าการที่เราจะมาบอกรักกันมันน้อยมาก ชีวิตเราจะเทไปทางลูก เราจะมานั่งห่วงว่าช่วงนี้ลูกเข้าโรงเรียนแล้ว ผมกับตุ๊กก็ต้องไปสอบเข้าโรงเรียกับลูก ลูกไม่ต้องสอบหรอก เดี๋ยวนี้สอบพ่อ-แม่ ตอนนี้ก็ทำหน้าที่มนุษย์พ่อมนุษย์แม่ยังไงดี ตารางเป็นยังไงบ้าง จะเลี้ยงลูกยังไงให้เขาเติบโตมาเป็นคนดีที่สุด และเลี้ยงไปในวิถีเดียวกัน เราก็ต้องมานั่งพูดคุย จะเรียกว่าเป็นความรักก็ได้ จะเรียกว่าเป็นความผูกพันธ์ก็ได้ มันแล้วแต่คนมอง พูดจริงๆ ตอนนี้ผมไม่กล้าพูดอะไรออกไป หรือจะออกมาพูดได้เต็มปากเต็มคำ เพราะมันมีคนพร้อมที่จะมองได้สองแง่สองง่าม ผมก็เลือกที่จะพูดแบบนี้ดีกว่าครับ ตอนนี้น้องแพรวก็อายุสามขวบกว่าแล้ว ส่วนคนเล็กเพิ่งสามเดือนเอง กำลังเริ่มยิ้มเองครับ''

ส่วนใหญ่คนที่พูดแบบนี้ท้ายที่สุดแล้วก็มักจะเลิกกัน?

บ๊วย : ''ง่ายๆ เลยครับว่า ตอนนี้ยังไม่ได้เลิก แต่ถ้าคนจะมองว่าอย่างนั้นเหมือนชีวิตคู่ของคนอื่นที่ผ่านๆ มามันก็คิดได้ครับ แต่มันก็ไม่ใช่บทสรุปของทกๆ ครอบครัวใช่มั้ยครับ ชีวิตเราก็คงต้องมีแบบแผนเป็นของตัวเอง คนที่มองภาพทั้งหมดว่าดูดีจังเลย ของหรือรถยนต์ชิ้นนั้นที่คนมองแล้วสวยจัง เราจะไม่รู้หรอกว่ามันจะมีปัญหาอะไรตามมาอีกบ้าง ต่อเมื่อเราได้ใช้มันแล้ว ฉะนั้นพอเราใช้มันแล้...ปัญหาเหล่านั้นเราจะสามารถอยู่ร่วมกับมันได้มั้ย เท่านั้นเอง นี่คือชีวิตครับ ผมพูดมาจากชีวิต ผมเองก็พยายามค่อยๆ ปรับ ไม่มีใครรู้หรอกว่ามันเป็นยังไง ยิ่งพูดยิ่งเละ มันคงไม่ใช่อย่างที่คิดทุกๆ เรื่องหรอกครับ ลูกเองก็ยังเล็ก มันก็ไม่ควรพูด ลูกผมน่ารักมากครับ ผมรักลูกผมมาก ผมรักลูกทุกวินาที''



Create Date : 23 กันยายน 2554
Last Update : 23 กันยายน 2554 1:58:57 น. 2 comments
Counter : 1327 Pageviews.

 


โดย: aodblo22 วันที่: 18 ตุลาคม 2554 เวลา:16:47:48 น.  

 
ติดตามๆๆ
.
.
.
.


โดย: aodblo22 วันที่: 28 ตุลาคม 2554 เวลา:18:45:07 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ลูกโป่งลอยฟ้า_ชิงช้าสวรรค์
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 63 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add ลูกโป่งลอยฟ้า_ชิงช้าสวรรค์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.