|
''โป๊งเหน่ง''ยอมขอขมา เมียร่ำไห้ย้ำโดนไล่ทำแท้ง
''โป๊งเหน่ง'' ยอมรับแล้ว ''ยายอ้อย'' คือแม่ที่แท้จริงของตน ยอมรับน้อยใจเมื่อตอนวัยเด็กแม่ไม่เคยเลี้ยงดู และไม่เคยได้รับความรักจากแม่เลย วอนให้ความยุติธรรมกับตนบ้าง พร้อมพาเมียเข้าไปขอขมาแม่ที่วัดพรุ่งนี้ 10 โมงเช้า ด้าน ''หมู-สมญา'' ภรรยาตลกดัง ร่ำไห้ทั้งน้ำตายอมรับเคยถูกแม่สามีไล่ให้ไปทำแท้ง 2 ครั้ง ยันไม่เคยไล่แม่สามีออกจากบ้านแต่ ''ยายอ้อย'' หนีออกไปเอง ฝั่ง ''ยายอ้อย'' พร้อมอโหสิและให้อภัยหากลูกชายและลูกสะใภ้มาขอโทษ และส่งเสียเลี้ยงดูตามข้อตกลง
กลายเป็นประเด็นข่าวใหญ่ที่ฮือฮาอย่างมากเลยก็ว่าได้ สำหรับกรณีที่ ''ยายอ้อย'' นัฐกนก วันเพ็ญ วัย 70 ปีได้ออกมาแฉว่าถูก ''นายวลัธณัฏฐ์ ก้องภพฐิตารีย์'' หรือที่รู้จักกันในนามตลกชื่อดัง ''โป๊งเหน่ง เชิญยิ้ม'' ซึ่งเป็นลูกชายแท้ๆ เพียงคนเดียวไม่ส่งเสียค่าเลี้ยงดูและถูกลูกชายไล่ออกจากบ้านจนทำให้ต้องไปอาศัยอยู่ที่วัดมาได้สักพักหนึ่งแล้วนั้น โดยก่อนหน้านี้ทางฝั่งของ ''โป๊งเหน่ง'' ก็ได้ชี้แจงมาเพียงสั้นๆ ผ่านสื่อแค่ว่าไม่รู้ว่า ''ยายอ้อย'' เป็นแม่ที่แท้จริงของตนหรือเปล่าถึงได้ทำกับตนเองอย่างนี้ แต่กลายเป็นตีความหมายไปว่า ''ยายอ้อย'' ไม่ใช่แม่ ''โป๊งเหน่ง'' จึงทำให้ ''ยายอ้อย'' ถึงกับท้าตรวจดีเอ็นเอกับตลกชื่อดังเลยทีเดียว ล่าสุดผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อวันที่ 14 พ.ย. 55 เวลาประมาณ 10.00 น.ตลกชื่อดัง ''โป๊งเหน่ง เชิญยิ้ม'' ได้นัดสื่อมวลชนแถลงข่าวเกี่ยวกับข้อเท็จจริงกรณีข้อพิพาทที่กำลังเป็นประเด็นอื้อฉาวอยู่ในขณะนี้ ณ สตูดิโอกรุงเทพ แจ้งวัฒนะ ท่ามกลางสื่อมวลชนที่มาร่วมฟังข้อเท็จจริงครั้งนี้จำนวนมากเลยทีเดียว โดยก่อนที่สื่อมวลชนจะได้เปิดโอกาสให้กับผู้สื่อข่าวซักถาม ตลกชื่อดังก็ได้เริ่มต้นขอพูดความในใจของตนเองก่อนทันที โป๊งเหน่ง : ''ก่อนอื่นผมขอพูดก่อนเลยแล้วกันนะครับ ก่อนอื่นต้องขอสวัสดีทุกๆ คนนะครับ ที่เป็นแฟนรายการของผมที่ส่วนใหญ่แล้วจะมองผมไปในทางที่ไม่ดี ตามหน้าตาของผมนะครับ จริงๆ ที่ผมแสดงอยู่ทุกวันนี้ เป็นตัวโกง ปล้นนู่น ฆ่านี้ เป็นเพียงแค่การแสดงนะครับ แต่ผมจะพูดตรงๆ ตรงนี้เลยนะครับว่า ผมเป็นคนที่จิตใจละเอียดอ่อนมากเลยนะครับ ผมเป็นหนึ่งในสังคมที่ยอมนับว่าผมเป็นแฟมิลี่แมน คำว่าแฟมิลี่แมนในที่นี้ก็คือรักครอบครัวนะครับ ผมไปไหน ส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเป็นกองถ่าย หรือว่าอะไรเกือบทุกที่ถ้าเห็นผมก็ต้องเห็นเมียผมด้วย ซึ่งวันนี้ก็มานะครับ แต่คงให้สัมภาษณ์อะไรมากไม่ได้ เพราะแกเป็นคนขี้อายต้องไปถามกันเอาเองนะครับ แล้วก่อนอื่นผมขอพูดครั้งแรก เรื่องแรกเลยนั่นก็คือที่มีข่าวว่าให้ผมไปตรวจดีเอ็นเอ เกี่ยวกับว่าผมเป็นลูกแท้ๆ ของคุณยายอ้อยหรือเปล่า คือไอ้ของอย่างนี้นะครับ ไม่ต้องไปตรวจหรอกครับ ผมพูดตรงนี้เลยนะครับ เค้าเป็นแม่ผมจริงครับ และผมก็เป็นลูกเค้าจริง แต่คำพูดที่ผมหลุดออกไปวันนั้นผมกำลังขับรถอยู่ มีนักข่าวถามผมมา ผมตอบไปว่าไม่รู้ว่าเค้าเป็นแม่ที่แท้จริงของผมหรือเปล่าที่เค้าทำกับผมแบบนี้ แล้วทำกับผมตั้งแต่เด็กๆ จนถึงปีนี้ที่ผมอายุ 49 แล้ว สิ่งที่เค้าทำกับชีวิตของผมมา ผมไม่เคยได้รับความอบอุ่นจากคำว่าแม่เป็นอย่างไร ทำไมไปไหนผมต้องไปกับเมีย ผมกลัวเมียเหรอ สาเหตุที่ผมไปกับเมียเพราะอะไรรู้ไหมครับ ชีวิตผมตั้งแต่ผมมีเมียคนเนี้ย ผมอดทนลำบากอยู่กินกันมาด้วยกัน 30 กว่าปีครับ เป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็นน้อง เป็นเหมือนแม่ เป็นคนที่ปรึกษาทุกสิ่งทุกอย่าง จนมาวันนึงผมก็ได้โอกาสจาก พี่เป็ด เชิญยิ้ม ให้โอกาสผมจากคนธรรมดาที่เป็นลิเก ความรู้ก็น้อย เรียนก็ต่ำ แต่ว่าผมมีความสามารถ และความสามารถที่ผมอยู่ในวงการนี้มาได้ 20 กว่าปี ผมสร้างขึ้นมาด้วยตัวของผมเอง แต่วันนี้มันกำลังจะถูกทำลายโดยใครสักคนหนึ่งซึ่งคำว่าแม่น่ะครับ ผมพูดต่อหน้าสื่อตรงนี้เลยว่าลูกที่ไม่เลี้ยงแม่ ไม่ดูแลแม่ สังคมเรียกว่าลูกอกตัญญู แต่ถ้าแม่ล่ะครับ ที่ไม่ได้เลี้ยงผมเลย แม่จะถูกเรียกว่าอะไรครับ ทุกวันนี้ผมขอความเป็นธรรมบ้างให้สังคมได้รู้ว่าผมก็มีมุมของผม แต่ไอ้เรื่องแง่มุมความที่ว่าแม่เคยทำกับเรายังไง อย่าให้ผมพูดออกมาจากปากผมเลยนะครับ เพราะถ้าพูดออกไปแล้วทุกสื่อก็โจมตีผมอีก หาว่าผมเป็นลูกชั่ว มันเอาแม่ไปทิ้งแล้วยังจะประจานอีกเหรอ พอแล้วครับ ผมขอพอวันนี้จบวันนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างผมจะเคลียร์ทั้งหมด และผมกล้าพูดต่อหน้าพระทุกๆ ที่ว่าผมจะพูดด้วยความเป็นจริงทั้งหมดนะครับ ส่วนท่านที่อ่านก็ไปพิจารณาเอาเองแล้วกัน ถ้าผมเป็นคนเลวในสังคมก็อย่ามาดู อย่ามาชื่นชมผลงานของผม ถ้าคิดว่าในแง่ของผม ผมโอเค คนเราเกิดมามีความผิดด้วยกันทุกคนแหละครับ ถ้าผมเป็นคนผิด ให้ทุกๆ ท่านให้โอกาสผมอีกสักครั้งนึงผมจะทำให้ดีที่สุดครับ'' ยอมรับแล้วเรื่องความเป็นแม่ลูก? โป๊งเหน่ง : ''ตรงนี้ผมยอมรับครับ เพราะว่าไอ้การเป็นแม่ลูกเนี่ยไม่ต้องไปตรวจหรอกครับดีเอ็นเอ เรารู้อยู่แก่ใจของเราเองน่ะครับว่าเค้าเป็นแม่เรา'' จากข่าวที่บอกว่าทิ้งแม่? โป๊งเหน่ง : ''สาเหตุคือความเข้าใจผิดน่ะครับ ผมไม่เคยทิ้งคุณแม่ของผมนะครับ พยานคนไหนที่ยืนยันว่าผมเอาแม่ผมไปทิ้งไว้ที่วัด ที่วัดผมยังไม่เคยไปเหยียบเลยนะครับ สาเหตุที่คุณแม่ออกไปจากบ้านช่วงหลังเค้ามาอยู่กับผมได้เกือบปีนะครับ เราก็ต้องเลี้ยงดูเค้าเพราะเค้าเป็นแม่เรา ทุกๆ ครั้งที่แกหนีออกไปจากบ้านผมก็ต้องไปรับ ถ้าวันไหนผมไปทำงานก็จะให้ลูกชายไปรับกลับมาอยู่ที่บ้าน แต่ทำไมเค้าถึงอยู่กับเราไม่ได้ ทำไมเค้าไม่ได้รับความสบาย ทำไมเค้าบอกว่าเข้าห้องน้ำก็ลำบากต้องฉี่-อึในกระโถนแล้วเอาไปทิ้ง ทุกอย่างมันมีสาเหตุหมดแหละครับ ทีนี้ว่าไอ้เรื่องแบบนี้มันเป็นเรื่องในครอบครัว นอนบนบ้านให้อยู่ในห้องกับลูกสาว คนแก่แล้วก็ล้มบ้างอะไรบ้าง ก็อยู่ไม่ได้ ขึ้นไปล้มหัวฟาด เดี๋ยวตายขึ้นมายุ่งเลย เค้าก็ขอไปอยู่หลังบ้าน ซึ่งหลังบ้านจริงๆ แล้วมันพูดกันง่ายๆ ตามประสาคนมีบ้าน ห้องนั้นก็คือห้องคนใช้ มันก็จะมีของบ้างอะไรบ้าง ซึ่งแกก็ไปบอกกับนักข่าวว่าไปนอนกับรองเท้า เอาไปทิ้งไว้หลังบ้าน แล้วหลังบ้านมันจะเข้ามาในตัวบ้านไม่ได้ แล้วห้องน้ำมันจะอยู่ในบ้าน แล้วระหว่างที่แกจะเดินมาเข้าห้องน้ำ แกเคยถ่ายอุจจาระเรี่ยราดตามทางหลายครั้งแล้ว ผมก็บอกว่าความสะดวกของแม่ก็ให้อึ-ฉี่ในกระโถนแล้วเราก็เอาไปทิ้ง มันเป็นความสะดวกสบาย แล้วบอกว่ากลางคืนก็ไม่ให้เข้าไปในบ้าน ผมจะบอกว่าหลังบ้านติดกับกำแพง ขโมยจะเข้ามาเมื่อไรก็ไม่รู้ กุญแจหลังบ้านก็ให้แกไว้ ก็ไม่รู้แกเอาไปทิ้งไว้ที่ไหนหมด ผมก็ขอแก้ข้อนี้ก่อนนะครับ'' ยืนยันว่าดูแลแม่เต็มความสามารถแล้ว? โป๊งเหน่ง : ''แน่นอนครับ แต่แม่ของผมแกเป็นคนที่ขาดเพื่อนไม่ได้ เพื่อนในที่นี้หมายถึงว่าสมัยที่มีเงินมีทอง แกจะใช้อำนาจในการมีเงิน คือแกทำเงินกู้น่ะครับ แกมีห้องเช่าประมาณ 20 ห้อง แกมีเงินนะครับ เดือนๆ นึงแกมีรายได้เยอะนะครับ แต่ช่วงที่แกรวย มีสตางค์ผมไม่เคยได้ใช้ชีวิตอยู่กับแกเลยครับ'' เกี่ยวกับแม่ไม่ชอบภรรยาด้วยหรือเปล่า? โป๊งเหน่ง : ''อันนี้พูดกันตรงๆ เลยนะ เรื่องภรรยาเนี่ย แม่ผัวลูกสะใภ้ มันเป็นเรื่องน้ำเน่ามาตั้งแต่สมัยไหนแล้ว ไม่ใช่ว่าคนเราอยู่ๆ จะยืนด่ากันโดยไม่มีเหตุผล มันจะเป็นไปได้ยังไง แสดงว่าคนที่ไปด่าคนแก่ที่เดินตามข้างถนนโดยไม่มีเหตุผล คนนั้นก็คงจะบ้าไปแล้ว มันมีสาเหตุครับ แต่ว่าผมไม่ขอพูดแล้วกันว่าสาเหตุอะไร เอาเป็นว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นผมยอมรับผิดเพียงผู้เดียวครับ'' แสดงว่าภรรยากับแม่มีปากเสียงกันจริง? โป๊งเหน่ง : ''แน่นอนครับ มันต้องมีครับ แล้วที่แม่เคยพูดกับนักข่าวว่าเมียผมด่าคำหยาบๆ คายๆ แต่จริงๆ แล้วเค้าไม่ได้บอกเลยว่าเมียผมด่าแม่ นี่ผมพูดตรงๆ นะครับ ผมกับเมียอยู่ด้วยกันตลอดเวลา จะไม่อยู่ตอนเดียวก็คือเค้าไปเข้าห้องน้ำนั่นแหละครับ ผมถามหน่อยนะ ผมคนที่เป็นลูกเนี่ยมีคนมาด่าหยาบๆ คายๆ คนเป็นลูกจะทนได้เหรอ มันเป็นไปไม่ได้หรอกครับ ที่ผมจะทนให้เมียผมมายืนด่าแม่ผม ทีนี้บางครั้งเนี่ยมันจะยอมรับกันไหม ผมถึงบอกไว้ข้างต้นแล้วว่าผมไม่อยากขุดคุ้ยเรื่องเก่าๆ ขึ้นมา จะยังไงก็แล้วแต่ผมรับผิดครับ'' ต่อจากนี้จะทำยังไง? โป๊งเหน่ง : ''ผมปรึกษากับพี่เป็ดแล้วนะครับก็คงจะต้องตามใจเค้า ตอนแรกแกพูดว่าจะกลับไปอยู่กับผม แกบอกแกไม่กลับแน่นอน เพราะแกกลับมาไม่ได้หรอกครับ เพราะว่าหลาน ก็คือลูกผมเนี่ยแหละ ไม่เคยเลี้ยงดูกัน ไม่เคยมีความผูกพันกัน แล้วไปบอกว่าเมียผมไปสอนลูกว่าไม่ให้เรียกเค้าว่าย่า มันเป็นไปไม่ได้หรอกครับ มันเป็นละครมากเกินไปครับ แต่ว่าทำไมหลานถึงไม่ค่อยได้สัมผัสกับย่า เพราะมันไม่มีความผูกพันกันไงครับ เพราะอยู่ๆ มีผู้หญิงแก่คนนึงมาบอกว่าเป็นย่าแล้วจะให้ไปรัก ไปกอด ไปดูแล มันก็ไม่ใช่นะ'' สรุปคือคุณแม่หนีออกไปเอง? โป๊งเหน่ง :''ใช่ครับ ก่อนหน้าที่เค้าจะหนีไปอยู่วัดเนี่ยเค้าหนีออกไปที่อื่นหลายที่มาแล้ว'' ครั้งนี้ทำไมไม่ไปตาม? โป๊งเหน่ง : ''หลายคนก็ถามว่า 3 เดือนทำไมไม่ไปดูแม่เลย ผมถามว่าแล้วคุณรู้ไหมว่าเค้าอยู่ที่วัด ผมรู้ครับแต่ผมทำงานครับ ผมทำงานคนเดียวครับ ผมยุ่งมาก ตอนนี้ชีวิตผมกำลังสับสนมาก ยิ่งมีเรื่องแม่มาด้วยยิ่งไปกันใหญ่เลยครับ ถ้าถามว่าหลังจากข่าวออกมาแล้วทำไมไม่ไปหาเดี๋ยวไปครับ พรุ่งนี้เลยครับ เดี๋ยวให้นักข่าวไปด้วยเลยครับให้เห็นกับตาเลยว่าผมไปทำอะไร หนึ่งที่แม่เค้าเรียกร้องมาอยากให้ผมไปขอโทษที่ผมไม่รับเค้าว่าเป็นแม่โอเคผมทำตาม สองที่ให้ข่าวมาในวันแรกๆ ว่าแกอยากไปอยู่บ้านพักคนชราบางแค ซึ่งตอนนั้นถ้าไม่มีลูกหลานมาเซ็นก็จะไม่สามารถมารับไปได้เพราะว่าเดี๋ยวจะหาว่าไปขโมยแม่เค้ามาเดี๋ยวจะเดือดร้อนอีก ถ้าพรุ่งนี้แกบอกว่าแกจะไปอยู่ ผมก็จะไป แล้วก็ให้ทางบ้านบางแคมารับแกไป เพราะมารับหลายครั้งแล้วแต่แกก็ไม่ยอมไป แต่เมื่อวานได้ข่าวมาอีกทีหนึ่งว่าแกจะขอเงินสักก้อนหนึ่งไปซื้อบ้าน แล้วผมถามหน่อยนะว่าคนอายุปานนั้นไปซื้อบ้านมันจะเป็นยังไง แล้วแกอยากจะได้เงินจากผม 2 แสน ผมทำได้ครับถ้าจะเอาจริงๆ ผมไปกู้มาให้ได้ แต่ถามว่าตอนนี้ผมมีไหม ผมไม่มีหรอกครับ ผมไม่ได้รวยครับ ผมทำวันใช้วันครับ ผมมีลูกหลายคน ต้องรับผิดชอบครอบครัวผม แต่ผมไม่ให้ลูกเมียผมอดแล้วกัน ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมทำทุกวันนี้เนี่ยผมไม่เคยได้อะไร ผมอยากจะให้ลูกผมได้ ลูกอยากได้อะไรผมซื้อให้หมด เพราะผมจะชดเชยชีวิตผม และไม่อยากให้มาเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ เพราะฉะนั้นผมถึงรักครอบครัวผมมากไง หลายคนพูดว่าผมรักเมียมากว่ารักแม่ผมอีก ใช่ครับ เพราะผมใช้ชีวิตอยู่กับเมียมากกว่าอยู่กับแม่อีกครับ ผมออกจากบ้านตั้งแต่อายุ 18 ที่เค้าไล่ผมออกจากบ้านน่ะ ตอนนี้ผม 48-49 แล้ว ตอนมีเมี่ยอายุ 20 กี่ปีแล้วครับลองนับเอาที่ผมอยู่กับเมียผม ผมรักครับเพราะเราอดยากลำบากมาด้วยกันตลอด อีกอย่างเค้าไม่ทิ้งผมไปไหนด้วย'' แล้วรักแม่ไหม? โป๊งเหน่ง : ''แม่ก็รักครับ แต่ที่เค้าทำกับผมเนี่ยเค้าเห็นผมเป็นลูกแท้ๆ ขอเค้าหรือเปล่า คนเราทุกคนมันมีความน้อยเนื้อต่ำใจด้วยกันทุกคนครับ ในมุมของผมมันหลายเรื่องหลายอย่างครับแต่ผมไม่พูด ไม่ว่าใครจะผิด สังคมตัดสินเอง แต่ผมไม่ขอพูด พูดไปเหมือนสาวไส้ให้กากิน'' คุณแม่ขออะไรจะให้หมดเลย? โป๊งเหน่ง : ''ให้ครับแต่ผมจะขอขัดอยู่อย่างหนึ่งเรื่องที่แกจะเช่าบ้านอยู่ หรือไปซื้อบ้านเนี่ย ใครจะดูแล ใครจะซื้อข้าวให้กิน ถ้าไปอยู่บ้านบางแคก็ยังมีคนเอาข้าวมาให้ มีหมอมาดูแล แกเป็นอะไรอย่างน้อยๆ เค้าก็โทร.มาบอกผมได้ แต่ถ้าแกไปอยู่คนเดียวล้มหัวฟาดตายไปใครจะมาบอก'' วางไว้เรื่องค่าส่งเสียเท่าไร? โป๊งเหน่ง :''แล้วแต่ครับ เท่าที่ผมจะทำได้ แต่ผมคิดว่าแกอยู่ในที่แบบนั้นคงไม่ต้องใช้เงินอะไรหรอกครับ อาจจะซื้อของใช้ก็โอเค มันก็เป็นหน้าที่เราต้องทำ'' จะไปเยี่ยมบ่อยไหม? โป๊งเหน่ง :''แน่นอนอยู่แล้วครับ ถ้าว่างก็ไปแน่ ถ้าว่างนะครับ ถ้าผมไม่ว่างก็จะให้ลูกไปแทน'' เรื่องข่าวมีผลกระทบกับงานไหม? โป๊งเหน่ง : ''ไม่นะครับ ผมคุยกับพี่เป็ดแล้วเค้าบอกว่าเป็นเรื่องส่วนตัวน่ะครับ เรื่องงานผมไม่เคยเสียนะครับ'' ดูจากสีหน้าค่อนข้างเครียด? โป๊งเหน่ง :''เครียดมากครับ เพราะผมเป็นคนเซนซิทีฟกับเรื่องพวกนี้มากครับ คนอื่นทำอะไรกับแม่ผมยังคิดเลยครับ แล้วคนอื่นเค้าจะไม่คิดเรื่องผมอย่างนี้หรอครับ นอนไม่หลับเลยครับเพื่อนๆ ก็โทร.มาให้กำลังใจ ผมเป็นคนอย่างนี้แหละครับ ผมเป็นคนโผงผาง พูดเสียงดัง แต่ไอ้การพูดเสียงดังมันก็ดีนะ ได้ยินชัด เป็นคนตรงๆ แต่บางทีมันตรงมากก็ไม่ดี มันต้องออกแอ็กติ้งบ้างเพราะว่าเราเป็นดารา นี่จริงๆ ผมอยากจะร้องไห้นะเนี่ยให้สื่อเข้าใจ เห็นใจผมบ้าง เพราะว่าแม่ผมร้องไห้ทุกฉากเลย แต่ผมไม่ได้ร้องเลย เพราะภายนอกผมเป็นคนแข็งกระด้าง เอาแค่ว่าเมื่อวานนี้ไปซื้อกับข้าวที่ตลาดพ่อค้าแม่ค้าจะรุมกระทืบ เพราะภาพพจน์ที่ผมแสดงไปมันเป็นตัวโกง'' อยากบอกสังคมยังไง? โป๊งเหน่ง :''อยากจะบอกตรงนี้นะครับว่ามันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน และมันเป็นเรื่องครอบครัว นี่ผมไม่โทษนักข่าวที่กระทุ้งไปอย่างนั้นหรอกครับ ผมถามหน่อยคนในสังคมนี้เรื่องครอบครัวใครไม่มีมั่ง เรื่องแม่ผัวลูกสะใภ้เนี่ย เพราะมันเป็นเรื่องน้ำเน่าในละคร แต่ถ้าผมไม่ได้เป็นโป๊งเหน่งคุณจะมาสนใจผมอย่างนี้ไหมครับ แล้วมีนักข่าวไปถามเค้าว่าลูกชายมีชื่อเสียงอย่างนี้แล้วออกมาพูดอย่างนี้กลัวลูกชายจะเสียหายไหม แม่เค้าก็ตอบกับนักข่าวว่าเรื่องของมันช่างมัน โห...แม่พูดอย่างนี้เลยเหรอ ผมกลายเป็นลูกอกตัญญูทันที แต่จาก 18 มาจนถึง 48 ที่เค้าไม่ได้เลี้ยงดูเค้าเรียกว่าอะไรครับ แล้วตอนนั้นที่เค้ามีเงิน เค้ามีฐานะ แต่ผมยังไม่มีชื่อเสียง เค้าอยู่ตรงไหนครับ แล้วเค้าจะมาเรียกร้องอะไรครับ แล้วทำไมอยู่ๆ ก็ไปรับลูกเลี้ยงมาคนนึง แล้วก็เอามาเชิดชู แล้วกลับไล่ผมว่ามึงไป มึงไม่ใช่ลูกกู แล้วจะให้ผมคิดยังไงล่ะ'' เป็นลูกคนเดียวไหม? โป๊งเหน่ง : ''ลูกคนเดียวครับ ผมเริ่มสับสนตั้งแต่ผมใช้นานสกุลตั้งแต่ครั้งแรกเลยครับ เค้าบอกว่าพ่อผมตายไปตั้งแต่ผมเกิด แต่ก็อย่าไปว่าเค้าเลยครับเค้าอาจจะสับสน พ่อผมเพิ่งจะตายไปเมื่อ 10 ปีมั้ง ไม่อย่างนั้นพ่อจะมาจัดงานบวชให้ผมได้ยังไง งานบวชพ่อบอกว่าให้ไปบอกแม่เค้า ซึ่งคนเป็นแม่ต้องซื้อผ้าไตร ต้องไปโกนหัวลูก นี่ไม่เลยครับ เรื่องอย่างนี้รายละเอียดแบบนี้ที่แม่ผมทำ อย่าไปโทษแม่ผมเลยครับ เอาเป็นว่าผมผิดเองแล้วกัน อีกอย่างผมมีพี่นะครับ แต่เป็นพี่ต่างมารดา 2 คน มีน้องชายต่างแม่อีก 2 คน เค้าก็พอจะรู้อยู่ว่าเรื่องราวมันเป็นยังไง'' ทำไมอายุ 18 ถึงเลือกออกจากบ้าน? โป๊งเหน่ง : ''เริ่มมีปากมีเสียงกันกับเมียครับ คือแม่ไม่ชอบเมียผมจะให้เลิกกัน แต่ผมเลิกไม่ได้หรอกครับ เพราะเมียผมท้องอยู่ ลูกผมอยู่ในท้อง ในเมื่อเค้าไล่เมียผม ผมก็ตัดสินใจออกจากบ้านมาตั้งแต่วันนั้น'' ก่อนที่แม่จะมาอยู่กับเราเค้าอยู่ที่ไหนมา? โป๊งเหน่ง :''ก่อนหน้านี้เค้าใช้ชีวิตอยู่กับลูกเลี้ยงครับ'' แล้วตอนนี้ลูกเลี้ยงที่ว่าอยู่ไหน? โป๊งเหน่ง : ''ผมก็ไม่ทราบนะครับ แต่ผมทราบข่าวล่าสุดว่าเค้าเรียนไม่จบ แม่หมายมั่นปั้นมือว่าจะได้พึ่งพาคนนี้ แต่เค้าเรียนไม่จบเค้าไปมีสามี แล้วเค้าก็ท้อง แล้วเค้าก็ออกจากบ้านไป พูดกันง่ายๆ ก็คล้ายๆ เด็กแว้นน่ะครับ ก็ไปคิดกันเอาเองนะครับ พูดไปก็ไปพาดพิงเค้าน่ะครับ'' ชีวิตในวัยเด็กของ ''โป๊งเหน่ง'' เป็นยังไง? โป๊งเหน่ง : ''คือผมไม่ได้ผูกพันกับแม่เพราะผมคลอดที่เมืองกาญจน์น่ะครับ มียายแก่ๆ คนนึงในแพเลี้ยงผมจนถึง 7 ขวบเพราะเค้าต้องไปทำงาน แต่พอถึง 7 ขวบแล้วเค้าก็ต้องติดต่อให้แม่กลับมาเพราะผมต้องเข้าโรงเรียนในข่าวบอกว่าแม่เอาผมไปเข้าโรงเรียนประจำ แต่ไอ้โรงเรียนที่พูดเนี่ยคือศึกษาสงเคราะห์พนมทวนนะครับ ชีวิตที่นั่นตื่นเช้าก็ต้องปลูกผัก ออกกำลังกาย ซักผ้าเอง เสื้อผ้ามีชุดเดียว รองเท้าไม่มี อยู่ที่นั่นจนจบป.7 เดือนนึงแม่ก็มาครั้งนึง ของคนอื่นน่ะเค้าก็จะมากัน แต่ของผมจะมีศาลาท่ารถอยู่ผมก็จะนั่งรอแม่ แต่แม่ก็ไม่มา หรือไม่ก็ 3 เดือนมาทีก็แล้วแต่แก จนจบที่นั่นทางโรงเรียนก็ติดต่อทางแม่ผมให้มารับแล้วก็มาเข้าโรงเรียนที่กรุงเทพฯ จนจบม.3 ก็ตามหาพ่อจนไปเจอพ่อแล้วก็ไม่ได้เรียนหนังสือแล้ว ก็ไปเล่นลิเกกับพ่อแทน จนได้มาเล่นตลกทุกวันนี้'' จากข่าวที่ว่าแม่พาเมียไปทำแท้งจริงไหม? โป๊งเหน่ง :''ตอบจริงเลยนะ จริงครับ...แต่ไม่อธิบายนะครับว่าเรื่องอะไร'' ทำไมเราถึงไม่ห้าม? โป๊งเหน่ง : ''วันนั้นผมไม่อยู่ครับ กลับมาเห็นแค่ว่าทำไมเมียผมโทรมขนาดนี้ ก็เลยรู้ว่าเป็นอะไร แล้วเพื่อนข้างบ้านที่พาไปก็ยังมีชีวิตอยู่ครับ ก็สำเร็จทั้ง 2 ครั้ง'' ระหว่างที่ โป๊งเหน่ง กำลังนั่งแถลงข่าวอยู่นั้น ผู้สื่อข่าวก็ได้ขอเชิญ ''หมู'' สมญา ก้องภพฐิตารีย์ ภรรยาของตลกชื่อดังที่ได้นั่งฟังอยู่ด้านหลังเข้ามาร่วมวงให้สัมภาษณ์ไปพร้อมๆ กันด้วยนั่นเอง ซึ่งทาง ''โป๊งเหน่ง'' ก็ได้เต็มใจที่จะเปิดโอกาสให้สื่อมวลชนได้ซักถามภรรยาสาวของตนเองได้อย่างเต็มที่เลยทีเดียว ''โป๊งเหน่ง'' จะไปขอขมาคุณแม่แล้วทางเราจะยอมไหม? ภรรยาโป๊งเหน่ง : ''ก็ยอมค่ะยอม ก็บอกเค้าว่าเราต้องยอมรับผิดหมดทุกสิ่งที่แม่ทำกับเราเราไม่สามารถพูดออกสื่อได้ (เสียงสั่นเครือ)'' ที่โดนกระทำคืออะไรบ้าง? ภรรยาโป๊งเหน่ง : ''เสียใจนะ กินไม่ได้นอนไม่หลับเพราะที่แม่พูดมันไม่จริงเลย (ร้องไห้) คือที่แม่มาอยู่ด้วยก็ให้เงินใช้ 3 วัน 1 พันบาท'' เคยเอ่ยปากไล่คุณแม่ของ ''โป๊งเหน่ง'' ให้ออกจากบ้านไปบ้างไหม? ภรรยาโป๊งเหน่ง : ''ไม่เคยไล่เค้ามีแต่แม่หนีออกไปเอง'' แล้วเรื่องมีปากเสียงกันล่ะ? ภรรยาโป๊งเหน่ง : ''ก็มีบ้าง คือแม่ด่าเราก่อน แล้วคือแม่ทำกับเราไม่เป็นไรไง แต่แม่ทำกับลูกเราเงี้ย (ร้องไห้) คือเราเป็นคนรักลูกมาก แม่เอาร้องเท้าเขวี้ยงท้องเรา แรกๆ ก็พาเราไปทำแท้ง เค้าบอกว่าไม่ต้องมีลูก ถ้ามีลูกแล้วจะเอาเงินที่ไหนกินกัน ซึ่งตอนนั้นแม่รวยมาก แต่เราก็ยอมเพราะว่าเค้าคือแม่ของสามีเราไง แต่เค้าไม่ได้เลี้ยงแบบลูกสะใภ้นะ คือเราก็ต้องซักกกน.ให้แม่ ซักให้พ่อเลี้ยง ถ้าวันไหนเก็บผ้าช้าแม่ก็ด่าเสียๆ หายๆ ที่ผ่านมาก็ทนทุกอย่างเพราะว่าเรารักแฟนเราไง คือคุณโป๊งเหน่งเป็นคนดี เราอยู่กันมาแบบลำบากมาก เราก็เลยต้องรักกันขนาดนี้'' ถ้าเจอคุณแม่อยากจะพูดอะไร? ภรรยาโป๊งเหน่ง : ''ก็ขอโทษในสิ่งที่เราผิดพลาดไป'' กลัวคุณแม่ไม่ให้อภัยไหม? ภรรยาโป๊งเหน่ง : ''เอ่อ...แม่ไม่ให้อภัยอยู่แล้วตั้งแต่เราก้าวเข้าไปในบ้านครั้งแรกแม่ก็ไม่ชอบเราก่อนแล้ว เพราะแม่ไม่อยากให้ลูกชายได้เราเป็นเมีย แม่ไม่ชอบอยู่แล้ว'' น้อยใจไหม? ภรรยาโป๊งเหน่ง : ''ก็เคยบอกคุณโป๊งเหน่งว่าในเมื่อแม่ไม่ชอบเธอก็เลิกกับฉันไปแล้วกันเพื่อความสบายใจของแม่เธอ (ร้องไห้)'' โป๊งเหน่ง : ''ตรงนี้ผมทำไม่ได้หรอกครับเพราะผมมีลูก'' ภรรยาโป๊งเหน่ง : ''เค้าก็บอกว่าฉันจะทำอย่างนี้ได้ยังไง'' โป๊งเหน่ง : : ''มันเป็นการเห็นแก่ตัวน่ะครับ ผมทำไม่ได้อยู่แล้ว'' ภรรยาโป๊งเหน่ง : ''แต่แม่ก็เคยให้เราเลิกกันตั้งแต่ตอนที่เราตั้งท้องแล้ว เค้าก็บอกว่าผมจะเลิกได้ยังไง ลูกผมอยู่ในท้องเค้า ผมต้องรับผิดชอบ คุณโป๊งเหน่งก็เลยต้องหนีออกมาจากบ้านด้วยกัน'' อยากขอความเห็นใจยังไงบ้าง? ภรรยาโป๊งเหน่ง : ''ก็อยากจะบอกว่าอยากให้ฟังคุณโป๊งเหน่งบ้าง บางอย่างคุณโป๊งเหน่งก็พูดออกสื่อไม่ได้เพราะจะดูเป็นลูกเนรคุณ'' ที่มีปากเสียงบ่อยๆ เกิดจากสาเหตุอะไร? โป๊งเหน่ง: ''ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องที่แม่ชอบหนีออกไปข้างนอกน่ะครับ หรือไม่ก็เอาตำรวจมาจับลูกชายของผมเอง แล้วก็ชอบไปคุยในสิ่งที่ไม่ดีในบ้าน ไปเล่าให้คนข้างนอกฟัง'' ภรรยาโป๊งเหน่ง : ''ไปบอกคนข้างนอกว่าลูกสะใภ้ไม่ดี ลูกสะใภ้ไม่ให้เกียรติ ไม่ให้กินข้าว แล้วคนก็มาพูดกับคุณโป๊งเหน่ง เราก็เลยถามเค้าว่าทำไมต้องเอาเรื่องในบ้านไปพูดกับคนข้างนอก เพราะเราอยู่ที่นี่มานานเรายังไม่รู้จักกับใครหรือคนข้างบ้านเลย'' โป๊งเหน่ง: : ''อันนี้เรื่องจริงนะ ผมซื้อบ้านอยู่หมู่บ้านนี้มา 9-10 ปีแล้ว ผมไม่เคยรู้จักใครเลยในหมู่บ้าน เพราะว่าเราจะอยู่แต่ในบ้าน'' ภรรยาโป๊งเหน่ง : ''ครอบครัวเรามีความสุข เราก็จะอยู่กันอย่างแม่ๆ ลูกๆ ลูกก็ไม่เคยออกไปเล่นนอกบ้านเพราะว่าที่บ้านมีหมดทุกอย่าง'' แล้วสิ่งที่แม่พูดมีความจริงไหม? ภรรยาโป๊งเหน่ง: ''มันไม่จริงเลย...(เสียงสะอื้น) คือพอถึงเวลาเราก็จะบอกลูกว่าให้ไปซื้อข้าวให้ย่าหน่อยนะ ถามย่าว่าอยากกินอะไร ลูกชายก็บอกว่าไม่ต้องถามหรอก ไปซื้อมาให้แล้ว พอไปซื้อมาแกก็บอกว่าข้าวแข็งไป เผ็ดไปมั่ง บางวันซื้อกับข้าวมาแกก็ด่าว่าซื้อมาทำไมไม่ชอบ จะกินน้ำพริก เราก็สั่งลูกว่าพรุ่งนี้ให้ไปซื้อน้ำพริกมาให้ย่านะลูก แกก็บอกว่าเผ็ด แต่เราไม่มีเวลาที่จะไปนั่งประคบประหงมอยู่แล้ว เพราะลูกเราเราก็ไม่ค่อยได้เจอเพราะต้องไปกับคุณโป๊งเหน่งทุกวัน'' โป๊งเหน่ง : ''คือแม่บอกว่าให้แกกินแต่ข้าวกล่อง ผมไปซื้อข้าวมากิน ผมก็กินข้าวกล่องนะ แล้วก็เอามาเทใส่จานก็กลายเป็นข้าวจานแล้ว ผมคิดว่าทุกวันนี้ทุกคนก็กินข้าวใส่กล่องหมดนะ บางคนก็กินในกล่องก็มี ผมก็ไม่เข้าใจที่แกพูดมาอย่างนี้ผมก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน เพราะผมไปซื้อมาจากข้างนอกมันก็ใส่กล่องมาเหมือนกัน แล้วมีข่าวบอกว่าเมียผมจะคิดฆ่าเอาน้ำยาไปราดพื้นให้แกลื่นล้มหัวแตกตายแล้วนี่มันละครหรือเปล่า''
ภรรยาโป๊งเหน่ง : ''คือลูกสาวเค้าซักถุงเท้าพ่อ แล้วน้ำผงซักฟอกก็ราดทิ้งไปตรงหน้าห้องเค้าแล้วพอเป็นแดดมันก็แห้ง แล้วแกก็คงเอาน้ำไปราดแล้วเกิดลื่นขึ้นมา แกก็มาหาว่าคิดฆ่าแก ถ้าเราทำขนาดนั้นคุณโป๊งเหน่งก็คงจะ...'' โป๊งเหน่ง : ''(สวนขึ้นมาทันที) ผมก็คงต้องฆ่าเมียผมก่อนแล้วล่ะ ถ้าเมียผมวางแผนขนาดนั้นน่ะ'' ภรรยาโป๊งเหน่ง: ''เมื่อคืนเค้ายังบอกเลยว่าถ้าเธอทำให้ฉันเสียชื่อเสียงขนาดนี้ฉันจะบีบคอเธอให้ตายเลย'' แอบมีมุมรำคาญแม่สามีบ้างไหม? ภรรยาโป๊งเหน่ง : ''มีค่ะ...มีบ้าง เหมือนลูกสะใภ้กับแม่ผัว บางทีแกก็บ่นหลานเล่นกันเสียงดัง'' โป๊งเหน่ง : ''เพราะเค้าไม่มีความผูกพันไงครับ อีกอย่างเค้าก็คงไม่ชอบเด็ก ก็แล้วแต่แกจะว่าไปต่างๆ นานา หนวกหูบ้างอะไรบ้าง จะไปโทษแกก็ไม่ได้เพราะแกเคยอยู่ในที่ที่แกมีเงิน แกจะทำอะไรก็ได้ คือแกปลงไม่ลงไง ทุกวันนี้ที่ผมรู้ข่าวว่าแกไปอยู่วัดผมก็ดีใจนะว่าแกคงปลงได้แล้ว คงตัดทุกสิ่งทุกอย่างได้แล้ว หรือไม่ก็อาจจะบวชชีแน่เลย แต่สรุปแล้วก็ไม่ใช่'' ขณะเดียวกัน ''ยายอ้อย'' นัฐกนก วันเพ็ญ มารดาของตลกชื่อดัง ''โป๊งเหน่ง เชิญยิ้ม'' ก็ได้ไปออกรายการ ''ปากโป้ง'' ที่มี ''หนุ่ม'' กรรชัย กำเนิดพลอย รับหน้าที่พิธีกรซักถาม โดยหลังจบรายการ ''ยายอ้อย'' ก็ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนที่มาเฝ้ารอซักถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับกรณีที่เป็นข้อพิพาทกับลูกชายอยู่นั่นเอง ซึ่ง ''ยายอ้อย'' ได้ตอบคำถามชนิดที่ตรงกันข้ามกับ ''โป๊งเหน่ง'' ทุกกรณีอีกต่างหาก ''โป๊งเหน่ง'' บอกว่าคุณยายไม่ได้เลี้ยงดูเค้าเลย และไล่เค้าออกจากบ้านตั้งแต่อายุ 18? ยายอ้อย : ''ก็เค้าไปมีเมีย ให้เค้าเรียนเค้าก็ไม่เรียน เค้าก็ออกไป ไปมีเมีย'' เค้าบอกว่าเค้าน้อยใจคุณยาย? ยายอ้อย ''น้อยใจก็น้อยใจไปสิ ไม่เกี่ยวกันหรอก ทิ้งฉันมาไม่เคยเลี้ยงไม่เคยดู แล้วก็มาหาว่าแม่ทิ้งลูกไม่มีใครว่า ถ้าเค้าทิ้งแม่มีคนว่าเค้า'' ความรู้สึกคุณยายตอนนี้ยังเสียใจอยู่ไหม? ยายอ้อย ''เสียใจอยู่ ถ้าเค้ามาขอโทษก็จะอภัยให้เค้าไง'' เค้าบอกพรุ่งนี้จะไปขอขมาที่วัดพระยาสุเรนทร์พร้อมทำตามคำเรียกร้องทุกอย่าง? ยายอ้อย : ''ครั้งแรกเค้าบอกเค้าไม่ไป จนตรวจดีเอ็นเอเนี่ยแหละเค้าถึงยอม ไม่อย่างนั้นเค้าไม่ยอมหรอก เค้าก็จะหาว่าแม่ทิ้งบ้างอะไรบ้าง ก็ให้เค้าอยู่กันอย่างนั้นแหละ ฉันเป็นคนส่งเค้าเรียนส่งเค้าอะไร ไม่อย่างนั้นเค้าจะมีความรู้อย่างนี้เหรอ เว้นแต่พ่อเค้าตายไปตั้งแต่ก่อนเค้าเกิดเท่านั้นเอง'' แต่ ''โป๊งเหน่ง'' บอกว่าที่ผ่านมาเค้ายังเจอคุณพ่อนะพ่อเค้ายังไม่ตาย? ยายอ้อย : ''(หัวเราะ) แหม...พูดแล้วอยากหัวเราะ พ่อเค้าตายไปตั้งแต่ 20 กว่าปีแล้ว บ้านพ่อเค้าอยู่ดำเนินสะดวก ก็ยังไปเผาไปฝังกันอยู่เลย แล้วจะไปเอาใครที่ไหนมาเป็นพ่อ'' ลูกชายไปขอขมาแล้วจะให้อภัยไหม? ยายอ้อย: ''ให้อภัยสิ เว้นแต่ต้องส่งเสีย จะมาปล่อยทิ้งไม่เลี้ยงดูไม่ได้ ต้องเลี้ยงดู'' คุณยายจะไปอยู่บ้านบางแคหรือเปล่า? ยายอ้อย: ''ฉันไม่ไป เค้าจะมารับตั้งแต่วันพฤหัสบดีแล้วแต่เค้าก็บอกว่าต้องเคลียร์กับลูกให้จบก่อน เพราะเค้าบอกว่าฉันไม่ใช่แม่เค้า เค้าก็มาว่าฉันไม่ได้ดูแลเค้าบ้างอะไรบ้าง'' แล้วคุณยายยังต้องการอะไรจาก ''โป๊งเหน่ง'' อีก? ยายอ้อย: ''หาที่อยู่ให้'' ''โป๊งเหน่ง'' เค้าก็เป็นห่วงว่าคุณยายจะอยู่คนเดียวได้ยังไง? ยายอ้อย : ''นั่นแหละ..มันจะเอาแม่ไปไกลๆ เมียมัน อยู่ด้วยกันเดี๋ยวก็ทะเลาะกันอีก'' เล่าได้ไหมว่ามีปัญหาอะไรกับเมีย ''โป๊งเหน่ง''? ยายอ้อย : ''ฉันไม่ได้มีเรื่องอะไรกับเมียเค้าเลย เมียมันบ้าขึ้นมาเมื่อไรแหลกลานเมื่อนั้น แล้วมันจะบ้าเมื่อไรก็ไม่รู้ แล้วลูกชายก็ไม่อยู่ ลูกชายมันยังไม่ให้เรียกย่าเลย'' แต่ถึงยังไงเค้าก็หาข้าวหาปลาให้ทานตลอดนะ? ยายอ้อย: ''โธ่...นั่นมันไม่จริงแล้ว ฉันไปซื้อเอง เดินขาเจ็บๆ ใช้ไม้เท้าเนี่ยแหละเดินไปซื้อมากินเอง ข้าวกล่อง กินอิ่มก็อิ่มไป กินไม่อิ่มก็อดไป'' เป็นเพราะคุณยายไม่ชอบลูกสะใภ้คนนี้หรือเปล่า? ยายอ้อย: ''คนไหนก็แล้วแต่ แต่ขอให้เป็นคนดีหน่อย ไม่ใช่ได้กันแล้วมายืนด่าแม่ ด่าแบบหยาบๆ'' แต่ทางนั้นเค้ายืนยันว่าไม่เคยได้ยินเมียเค้าด่าอย่างนั้นนะ เพราะถ้าเค้าได้ยินก็คงไม่อยู่เฉยแน่ๆ? ยายอ้อย: ''ก็มันไม่อยู่ไงแล้วยายก็ไม่ฟ้อง เพราะฉะนั้นมันก็ไม่รู้ไง จนถึงวันนี้มันก็ไม่รู้ เดี๋ยวพรุ่งนี้มันมาฉันจะเล่าให้มันฟังเอง พอเมียมันด่ายังไงฉันก็ไม่พูด ฉันเฉย เงียบลูกเดียว'' กับข่าวที่เค้าบอกว่าคุณยายบังคับไล่ให้ไปทำแท้ง 2 ครั้งล่ะ? ยายอ้อย : ''มันเรื่องของเค้า มันไปทำกันเอง ฉันไม่รู้เรื่องเลย มันคิดกันเอง ฉันไม่รู้เรื่อง (ส่ายหน้า) แล้วไอ้เรื่องรองเท้าปาเนี่ยเป็นเพราะเค้าพูดคำหยาบ แล้วก็ไม่ได้ทำอะไรด้วยแค่ตีแขนอย่างเนี้ย (ทำท่าให้ดู) 2 ทีเบาๆ ไม่ได้แรงเลย แล้วก็บอกด้วยว่าพูดอย่างนี้ได้ยังไงมันหยาบคาย'' ถ้าเจอลูกสะใภ้ด้วยจะทำยังไง...ให้อภัยไหม? ยายอ้อย : ''ไม่ทำยังไงก็เฉยๆ ก็ให้อภัยเค้าไป ให้เค้าไปเลี้ยงลูกเลี้ยงเมียเค้าต่อไป แล้วเค้าจะได้ไม่ต้องมามีบาปกรรมอะไรติดตัวต่อไปไง'' มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่าคุณยายปล่อยข่าวทำไมไม่ยอมคุยกันดีๆ กับลูก? ยายอ้อย: ''มีคนถามว่าไม่คิดถึงลูกบ้างเหรอว่าจะเป็นยังไง แต่ฉันไม่ได้เป็นคนก่อนะ เค้าก่อของเค้าเอง เค้าทิ้งแม่แล้วเพื่อนมาเจอ เค้าก็บอกนักข่าวเองอะไรเอง ฉันไม่ได้รู้เรื่องเลย จนมีคนมาถามว่าเป็นแม่โป๊งเหน่งจริงเปล่า เพราะโป๊งเหน่งบอกไม่ใช่แม่ ฉันก็งง ไม่รู้เรื่องเลย'' เค้าบอกไม่ได้ไล่ยายแต่ยายหนีออกเอง? ยายอ้อย : ''ใช่แล้ว แต่ว่ามันด่าฉันไงที่ฉันไปว่าลูกมันที่มันเอาน้ำยามาละเลงให้ฉันหัวแตกตาย'' มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันหรือเปล่า? ยายอ้อย: ''ไม่เลย มันแหละทำกัน แล้วมันก็ออกมายืนด่าฉัน ลูกมัน 2 คนก็ออกมาขำกันเยาะเย้ยฉัน นั่นแหละรุ่งขึ้นถึงได้ออกจากบ้าน'' เห็นว่าตอนนี้คุณยายป่วยอยู่ด้วย? ยายอ้อย: ''เป็นเบาหวาน ขาก็เย็บไป 20 กว่าเข็มเพราะล้มไปกระแทกกับไม้กระดาน มันยังไม่มาดูเลย ไม่เคยพูดเลยว่าแม่เอาเงินซื้อยาไหม (สะอื้น) แม่เอาเงินไปหาหมอไหม มันไม่เคยพูดเลย ไม่เคยถามสารทุกข์สุขดิบ แม่ยังไม่กินข้าวมันก็ไม่เคยถาม เสียใจนะ เลี้ยงลูกมาก็ไม่เคยปล่อยประละเลย ไปเยี่ยมทุกเดือนที่ร.ร.ประจำ'' คุณยายเลี้ยงดู ''โป๊งเหน่ง'' มาทั้งหมดกี่ปีกันแน่? ยายอ้อย : ''มันไม่จริงอย่าไปเชื่อเค้า ฉันยังบอกเลยว่าถ้าเค้าไม่มาขอโทษ ฉันก็ไม่อภัยให้เค้านะ แถมยังแช่งไว้ด้วยว่ามึงทำกับแม่ยังไงขอให้มันได้รับอย่างนั้นด้วย แช่งตามไปเลย ถ้ามันมาขอโทษยังไงเราก็ให้อภัยเสมอ เพราะก็คือลูก เราก็เรียกไอ้หนูๆๆๆ มาตลอด ไม่เคยเรียกคำอื่นเลย ไม่เคยเกลียดเค้าเลย มีอะไรก็ให้ลูก นึกถึงลูกตลอด'' ไม่ได้เจอกับลูกชายนานแค่ไหนแล้ว? ยายอ้อย : ''ก็ตั้งแต่ออกจากบ้านประมาณ 5-6 เดือน'' พรุ่งนี้ได้เจอลูกชายแล้วตื่นเต้นไหม? ยายอ้อย: ''เฉยๆ เพราะเค้ามีเมีย เค้ารักเมียเค้ามากกว่า คือไม่ว่าเค้าจะยังไงกับเมียก็แล้วแต่ แต่ก็น่าจะไว้หน้าแม่บ้าง ไม่ใช่ให้เมียมาด่าแม่เสียงดังลั่นให้คนอื่นเค้าได้ยินกันไปหมด ฉันก็ได้แต่ร้องไห้อย่างเดียว เห็นลูกไปทำงานคนเดียวกับมาเหนื่อยๆ ก็เห็นใจเค้าว่าเค้าเหนื่อยก็เก็บเอาไว้ ไม่บอกไม่เล่า ตัวเองเก็บเอาไว้เอง'' มีอะไรอยากบอก ''โป๊งเหน่ง'' ไหม? ยายอ้อย: ''ไม่บอกหรอก เดี๋ยวเค้าก็มาแล้วจะได้คุยกันตรงนั้นดีกว่า ถ้าจะให้ฉันไปอยู่บ้านบางแค ฉันอยู่วัดดีกว่า เค้าบอกจะไปเยี่ยมฉันแต่เค้าเชื่อไม่ได้หรอก เค้าเชื่อเมียเค้ามากกว่า'' อย่างไรก็ตามในวันพฤหัสบดีที่ 15 พ.ย. 55 เวลา 10.00 น. ตลกชื่อดัง ''โป๊งเหน่ง เชิญยิ้ม'' พร้อมภรรยา ''หมู-สมญา'' จะเดินทางไปขอขมา ''คุณยายอ้อย'' ซึ่งเป็นคุณแม่แท้ๆ พร้อมพูดคุยถึงข้อตกลง และเคลียร์กันให้ชัดเจนต่อหน้า ''เป็ด เชิญยิ้ม'' ที่จะเดินทางไปเป็นพยานช่วยไกล่เกลี่ยเพื่อความปรองดองในครอบครัวของ ''โป๊งเหน่ง'' ครั้งนี้ ที่วัดพระยาสุเรนทร์ คลองสามวา ด้วยนั่นเอง
Create Date : 15 พฤศจิกายน 2555 |
Last Update : 15 พฤศจิกายน 2555 4:35:59 น. |
|
0 comments
|
Counter : 2575 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
ลูกโป่งลอยฟ้า_ชิงช้าสวรรค์
|
|
|
|
|
|
|