2เท้าจะก้าวไปเดินทอดน่องย่องภูกระดึง .. ตอนที่1 จากตีนภูสู่หลังแป
จะแบกเป้เที่ยวภูกระดึงคนเดียว!!"โหล คนเดียวเที่ยวภูกระดึงได้มั้ยครับช่วงนี้ เอ้อ วันธรรมดาหน่ะครับ""ได้คร้าาา ขอเชิญนะค้า มาได้เลย คนน้อยไปนิดแต่เที่ยวได้ค่า"ปลายสายจากจนท.อุทยานฯตอบเสียงแจ๋วหวานแหววมาแบบนี้ก็อุ่นใจล่ะครับ เป็นอันว่ามาดมั่นตัดสินใจแพ๊คเป้ ขนอุปกรณ์กล้องเปิดคอมฯเข้าเวปรถทัวร์กดปุ่มซื้อตั๋วออนไลน์ มีเวลา 5-6 วันหลังจากนี้สำหรับเริ่มต้นออกกำลังกล้ามเนื้อขาน่องบนน่องล่างเตรียมร่างกายสู่ทริปในฝันสัมผัสภูกระดึงแบบคนเดียวเดี่ยวๆดูสักครั้ง ไปกัน... โย่ว
เนื่องด้วยย่างใกล้เข้าหน้าร้อนแล้ว ลมหนาวจวนเจียนจะหมด ทริปแบกเป้เที่ยวป่าเขาลำเนาไพรไม่ได้เกิดมาหลายเดือนขืนเงื้อง่าราคาแพงต่อไปมีหวังทริปถัดไปโน่นเลยปลายๆปีเป็นแน่แท้ นายน้ำฟ้าพยายามเสาะหากรุ๊ปทัวร์ป่า แต่ก็เต็มแล้วเต็มอีก ไอ้ที่ไม่เต็มปลายทางก็ไม่ตรงใจ สุดท้ายจึงตัดใจแบกเป้เที่ยวคนเดียวมันซะเลยสะดวกใจ และก็พิจารณาเลือกภูกระดึง เพราะเหตุว่าอาหารการกินพร้อม เต้นท์พร้อมเครื่องนอนพร้อมไม่ต้องจัดหาติดตัวไป พกแต่ตัว ตังค์ ตีนไปแค่นั้นเป็นพอ และขอเลือกวันธรรมดาเพื่อหลีกหนีจำนวนนักท่องเที่ยวที่มากมายในวันหยุด
อีกเหตุหนึ่งที่อยากออกเที่ยวเหลือเกินเพราะว่าเพิ่งได้เลนส์มุมกว้าง Ultra Wide Angle ตัวใหม่มา เลนส์ในฝันเลยตัวนี้ สอยมาจากอีเบย์แบบของ used ถึงแม้จะเป็นของมือสองแต่ราคาก็ยังแพงวายป่วง ไหนๆรักการถ่ายภาพแนว landscape เป็นชีวิตจิตใจแล้วเลยต้องทุ่มใจทุ่มทุนคว้าให้ได้ เจ้า Olympus 7-14 mm. f4 ตัวนี้ว่ากันว่าเป็นสุดยอดเลนส์เลย เหมาะกับภาพวิวทิวทัศน์เป็นอย่างยิ่ง เทียบช่วงกับฟูลเฟรมแล้วจะได้ทางยาวโฟกัส 14-28 mm. สุดติ่งล่ะทีนี้กับมุมรับภาพที่กว้างขวางยิ่งขึ้นถึง 114 ํ เลยต้องจัดทริปหาสนามประลองเลนส์หน่อย (งานนี้เลยต้องจ่ายเพิ่มซื้อกระเป๋าเสริมมาอีกใบ หุหุ ใบที่วางอยู่บนเบาะวีไอพีภาพข้างล่างเนี่ยแหละ ฮี่) * ภาพในบล็อกนี้ภาพไหนมีจุดแดงๆมุมล่างขวานั่นล่ะครับมุมมองแบบกว้างสุด 14mm.ของเลนส์ใหม่ตัวนี้
และนอกจากเลนส์ใหม่เป๋าใหม่แล้วงานนี้นายน้ำฟ้ายังได้สอยรองเท้าแตะรัดส้น+ห่อหุ้มปลายเท้าพันธุ์ลุยระดับพรีเมี่ยมเกรดเอมาคู่หนึ่ง รองเท้ายี่ห้อในฝันสำหรับคนรักการผจญภัยหลายคนเลยทีเดียว นั่นคือ KEEN รุ่น NewPort H2 พร้อมปลดประจำการแตะรัดส้น ADDA ที่โดนน้ำทีไรเหม็น~~~หึ่งเหมือนเหยียบขี้หมาทุกที หุหุ คีนคู่นี้มีแอนตี้แบคทีเรียต่อต้านกลิ่นไม่พึงประสงค์ด้วย โฮะ แต่เขาว่ากันว่าขึ้นภูกระดึงอย่าริใส่รองเท้าใหม่เดี๋ยวเท้าจะระบม งี้ผมก็มีเวลา 3 วันที่จะทำให้มันชินเท้าล่ะ 55 งานนี้เดี๋ยวรู้ (แต่ว่าก็เผื่อแตะหูหนีบADDA ไปด้วยกันเหนียวแหละ อิอิ) <
ขั้นตอนจองตั๋วรถทัวร์แบบผ่านเน็ตผมเลือกใช้บริการด่วนบขส. เข้าเวปตามลิงค์นี้ >> //www.busticket.in.th/ ใครใช้บริการครั้งแรกให้คลิกลงทะเบียนก่อน จากนั้นผมคลิกเลือกตั๋วเที่ยวเดียว จากกรุงเทพไปเลย ปลายทางวังสะพุง จุดขึ้นรถหมอชิต2 จุดลงรถวังสะพุง ( ลงจริงที่ผานกเค้า ค่อยขึ้นไปบอกพนง.บนรถเอา ) จากนั้นเลือกวันที่เดินทางเป็นอันเสร็จคลิกปุ่มค้นหาเที่ยวรถ ก็จะได้ลิสรายการแบบนี้ คลิกเพื่อขยาย ได้มา 7เที่ยวรถ 3มาตรฐาน ผมเลือกมาตรฐานสูงสุด ม4ก หรือvip 31ที่นั่ง เลือกเวลาออก 4ทุ่ม ค่าตั๋ว 672+ประกันภัย25+ค่าดำเนินการ18 ราคารวมทั้งหมด 715 .- เสร็จสรรพก็ปิดคอมฯ ไปชำระค่าตั๋วที่ร้านเซเว่นอีเลฟเว่นตามกำหนดเวลาที่เค้าให้มารับใบเสร็จฯมารอวันเดินทางไปก็ถือใบเสร็จฯไปรับตั๋วที่สถานีฯก่อนเวลารถออกอย่างน้อยครึ่งชั่วโมง
แหม่ มีเรื่องเล่าครับ อุตส่าห์จองตั๋วเที่ยวสี่ทุ่ม กะว่าหกโมงเช้าถึงผานกเค้าได้มากางขาถ่ายทไวไลท์แจ่มๆซะหน่อย แต่แล้วตื่นมาหกโมงรถวิ่งเลยไปวังสะพุงแล้วครับ และมันก็กำลังจะเลยวังสะพุงไปอีกครับ ห่างจุดลงรถผานกเค้ามาชั่วโมงเศษแล้ว หกเจ็ดสิบกิโลเมตรแล้วนั่นเอง ผมรีบลุกจากที่นั่งตรงไปหาคนขับเลยครับ จอดๆๆๆๆ โว้ย เลยป้ายแล้วโว้ย ปรากฏว่าเด็กรถหน้าเจื่อนสารภาพว่าลืมบอกโชเฟอร์ว่ามีคนจะลงผานกเค้า งานเข้า รถทัวร์ต้องกลับรถวกเข้าอ.วังสะพุงแล้วฝากผมกับผู้โดยสารอีก 2 คนที่นั่งเลยป้ายมาเหมือนกันให้กับรถเมล์ท้องถิ่นวิ่งย้อนไปผานกเค้า กว่าจะถึงหน้าร้านเจ๊กิมจุดต่อรถแดงเข้าภูกระดึงที่ผานกเค้าก็ล่อไปเจ็ดโมงกว่า บ้าเอ๊ย เล่นเอานายน้ำฟ้าหัวเสียเพราะเสียฤกษ์ยามหมดต้องซดเบียร์ป๋องละสี่สิบแก้เซ็งไปป๋องนึง สรุปผู้โดยสารนั่งเลยป้ายมาทั้งหมด 3 คน ขึ้นภูกระดึงกันทุกคน ก็เลยช่วยกันเหมารถแดงที่เหลืออยู่คันเดียวเข้าไปส่ง สนนราคามาตรฐานเที่ยวละ 300บาท ก็คนละร้อยล่ะครับ
8:30 น. ณ ตีนภูกระดึง
และแล้วทริปที่ตั้งใจเดินเดี่ยวก็มีเพื่อนร่วมเดินเที่ยวเป็น 3 คน ตัวผมมาภูครั้งนี้ครั้งที่สี่ ส่วนน้องสองคนเค้ามาครั้งนี้เป็นปฐมฤกษ์ มาถึงแล้วก็ตรงดิ่งไปติดต่อลงทะเบียนเสียค่าธรรมเนียมเข้าอช. ผู้ใหญ่คนละ 40บาท เลือกที่นอนเป็นเต้นท์ ค่าเต้นท์คืนละ 225 บาทผมจอง 3คืน 675บาท ส่วนเครื่องนอนไปติดต่อข้างบนภู จากนั้นก็แบกเป้ไปอาคารลูกหาบอยู่ถัดไปไม่ไกล แต่ก่อนอื่นก็แยกสัมภาระที่จะติดตัวไประหว่างขึ้นภูออกมา ก่อน พร้อมแล้วก็นำเป้ขึ้นตราชั่งของผมชั่งได้ 9กิโล เอาล่ะครับ ทุกอย่างพร้อม วอร์มร่างกายเล็กน้อยก่อนออกเดิน ตั้งเป้าไปหม่ำมื้อแรกที่ซำแฮกครับ ห่างจากจุดเริ่มเดินไปหนึ่งกิโล
ลูกหาบ
ค่าธรรมเนียมลูกหาบปัจจุบันคิดราคาหาบกิโลกรัมละ 30บาท ตอนชั่งนน.จะแจก Tag ให้ชุดนึง มี 3ท่อน จ่ายค่าแท็ก 5บาท กรอกชื่อของเราลงไปทั้งสามส่วนแล้วจนท.อช.จะฉีกแบ่งผูกติดสัมภาระไว้หนึ่งส่วน ให้ลูกหาบพกติดตัวไปหนึ่งส่วน และให้นักท่องเที่ยวติดตัวไปหนึ่งส่วน ถึงบนภูก็เอาส่วนของเราไปยืนยันกับลูกหาบ (มีชื่อลูกหาบระบุอยู่ในแท็กแล้ว) แล้วชำระค่าหาบกันบนนั้น
. เอาล่ะครับ ได้เวลา อีก 9 นาที 9โมง ฤกษ์ดีมาก...เหรอ!!เตรียมก้าวเท้าเดินทางไต่ความสูงสู่ฝันระยะทางทั้งสิ้น จากตีนภูสู่หลังแป 5.5 กิโลเมตร แล้วเดินต่ออีก 3.5 กิโลเมตร สู่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวาง รวมระยะทางทั้งสิ้น 9 กิโลเมตร ลิ้นห้อยแน่ๆ อิอิ เทรลเดินทางจากตีนภูสู่หลังแปมีลักษณะเด่นขึ้นชื่อตรงที่จะเป็นเทรลที่ความชันสุดของเทรลจะอยู่ที่กิโลเมตรแรกและกิโลเมตรสุดท้าย นั่นคือซำแฮก และหลังแปนั่นเอง คนส่วนใหญ่เริ่มเดินด้วยพละกำลังเต็มที่ออกเดินเต็มตัวตั้งแต่ระยะต้น พอพ้นซำแฮกก็ลิ้นห้อยสูญกำลังไปกว่าครึ่ง และไปหมดแรงจนแทบนอนแผ่เมื่อก้าวพ้นถึงหลังแป ผมวางแผนพิชิตซำแฮกให้ได้แบบไม่ให้เสียกำลังเลย นั่นคือทุ่มเวลาเดินให้ช้าที่สุด ให้ไปเลย 1 ชั่วโมงสำหรับซำแรกนี้ ให้นานกว่าค่าเฉลี่ยของคนทั่วไปที่เค้าทำกันไว้ที่ครึ่งชั่วโมง มาดูกันว่าแผนนี้จะเข้าท่าไหม
สู่ กม.1 สู่ซำแฮก
จากหลักกิโลเมตรที่ 0 ที่ตีนภู ระยะทางสู่ซำแฮก 1000เมตร ทางจะค่อยๆไต่ระดับและไปชันสุดๆที่สองร้อยเมตรสุดท้ายตรงที่ปางกกค่า เป็นสองร้อยเมตรที่เล่นเอาผู้คนพาก็หอบแฮกๆ สมคำพ้องเสียงของชื่อซำ จนมีคนแต่งลำนำซำแฮกปักไว้ให้อ่านว่า ซำตาแฮกตาแหกลิ้นห้อย อาบเหงื่อย้อยหยดย้อยดังฝอยฝน
พยายามดื่มน้ำอดน้ำทน จนเต้าน้ำหมดซดวรสุราฯ
สูงชันลดหลั่นเป็นชั้นชั้น เวียนวนกันพันเมตรเมื่อยล้า
หินดินดานแดงมังคุดสะดุดตา ไผ่ระย้าหวิวปลิวลำนำลมฯ . . . ลำนำภูกระดึง โดย อังคาร กัลยาณพงศ์
ถึงแล้วซำแฮก
สิบโมงเป๊ง ผมก็มายืนอยู่บนซำแฮก ผ่านกิโลเมตรแรกไปอย่างฉลุย ผ่านด่านสำคัญไปอย่างราบรื่นด้วยกลยุทธอันแยบคาย ได้ผลมาก เราทั้งสามคนยิ้มกริ่ม บัดนี้สัมผัสได้ถึงเรี่ยวแรงที่ยังเต็มแม็ก แทบไม่ได้สูญเสียกำลังไปเลยแม้แต่น้อย ไม่มีเสียงหอบแฮกแฮก อันที่จริงสำหรับผมเหงื่อออกแค่ซึมๆเท่านั้นเอง
มื้อแรกที่ซำแรก
แม่ค้าเห็นนักท่องเที่ยวโผล่ขึ้นมาก็ยิ้มแฉ่ง เดินออกมายืนหน้าร้านโบกมือส่งเสียงเชิญชวน แวะหน่อยคร่า แวะหน่อยคร่า พักเหนื่อยก่อน กินน้ำกินท่ากินข้าวก่อนคร่า มองซ้ายมองขวานั่งร้านไหนดี แล้วก็ตัดสินใจง่ายๆเลี้ยวเข้าโรงเตี๊ยมขวามือร้านแรกสุดล่ะครับ ง่ายสุด
สนนราคาถูกกว่ากินในห้างกลางกรุงเมนูอาหารมีหลายอย่าง ราคาส่วนใหญ่ยืนพื้นที่ 45บาท อย่างเช่นข้าวกระเพราหมู-ไก่, คะน้าหมูกรอบ, ข้าวผัด, ผัดมาม่า, ราดหน้า, ก๋วยเตี๋ยว 45บาทหมด ถ้าสั่งไข่เพิ่มก็ฟองละประมาณ 10บาท แตงโมซีกๆละ 10หรือ20 ลืมไปแล้ว อิอิ น้ำแข็งสงแข็งไสหวานเย็นมีหมด เครื่องดื่มเย็นๆก็มีให้เลือกเยอะ นายน้ำฟ้าเลือกสปอนเซอร์ครับ 555 สำหรับคนเสียเหงื่อไง กระเพราไก่+ไข่ดาวน้ำลายสอ เห็นแล้วซู๊ดปาก ตัดสินใจถูกที่มากินบนนี้ เพราะว่าเดินมาเหนื่อยๆแบบนี้ล่ะแหม่กินอะไรก็กำลังอร่อยล่ะครับ ยิ่งได้ข้าวสวยร้อนๆไข่ดาวหอมๆ ไก่หอมๆ กล่ินกระเพราเตะจมูกพลักเข้าให้ ขอโซ๊ยก่อนล่ะค้าบ
เรื่อยเฉื่อย ณ ซำแฮก
เราเผาเวลาไปกับซำแฮกนี้กว่าค่อนชั่วโมง ว่าไปแล้วรสนิยมการเดินของน้องทั้งสองกับผมค่อนไปในทางไม่รีบร้อนเหมือนกัน อันที่จริงจะนอนหลับสักงีบด้วยซ้ำ อิอิ แต่เผอิญลูกหาบของพวกเราหาบของขึ้นมาทันพอเห็นเราเข้า ที่จริงคงมองหาเราอยู่ แกก็ตระโกนมาว่าช่วยเร่งเดินกันด้วยน้า อย่าให้เค้ารอนานเพราะว่าอยากจะรีบลงไปหาครอบครัว อุต๊ะ เป้าหมายที่จะเรื่อยเฉื่อยแฉะทำสถิติใช้เวลานานที่สุดเลยต้องพับไป 5555 ว่าแล้วพวกเราก็เดินต่อ
แผนการทำเวลาจากตีนภูสู่ยอดภูคร่าวๆข้างบนเป็นแผนทำเวลาเดินสุทธิที่ไม่นับเวลาพักของผม เป็นกลยุทธการเดินแบบกะว่าไม่เมื่อย เป็นแบบที่คิดไว้ในใจคร่าวๆ ใช้เวลาผ่านซำแฮก 1ชั่วโมง (1กิโลเมตร) อีก 2ชั่วโมงสู่ซำแคร่ (3กิโลเมตร หรือ 40นาทีต่อ1กิโล) และไต่สู่หลังแปอีก 1ชั่วโมง (กิโลเมตรเศษ) จากนั้นเดินทางราบสู่ศูนย์ฯวังกวางอีก 1ชั่วโมง (3.5กิโลเมตร) รวมชั่วโมงการเดินสุทธิ 5ชั่วโมง เข้าท่าเน้อะ จะลองเอาไปประยุกต์ใช้ก็ได้นะครับ
ผ่านซำบอน สู่ซำกกกอก จากกม.1 สู่กม.2
เอาล่ะครับ เดินต่อ เสียเวลาพักมามากแล้ว 10:40 นาที เอ้า ไปกัน เรามุ่งหน้าออกจากซำแฮกแบบสบายๆกระปี้กระเป่าพุงแน่นๆเพราะอิ่มข้าวเช้า สภาพทางเดินช่วงสู่กิโลเมตรที่ 2 เป็นไปแบบสบายๆ ลาดชันต่ำ ทางค่อยๆปรับระดับผ่านเส้นชันความสูงเหนือ 600เมตร ที่ซำบอนกับซำกกกอกไม่มีอะไรน่าสนใจ สภาพร้อนแล้งผ่านป่าเต็งรังที่แห้งโกร๋น สองซำนี้ไม่มีร้านค้าร้านอาหารตั้งอยู่ ถัดซำกกกอกไปอีกเพียงสองร้อยเมตรจะเป็นซำกอซาง ที่นั่นจะเป็นที่หมายร้านอาหารและจุดพักเท้าของเราจุดถัดไป
11โมง 40ถึงซำกอซางเกือบกึ่งกลางทางขึ้นแล้วเราทำเวลาเดินกันได้ดีเช่นเคย อัตราเดินในช่วงซำบอนถึงซำแคร่ 3กิโลที่วางเป้าไว้ 2ชม. หรือ 40นาทีต่อหนึ่งกิโลเรายังรักษาความเร็วนี้ได้อยู่ แต่ว่า! เราก็ถลุงเวลาไปกับการพักในแต่ละซำที่มีที่พักเช่นกัน อย่างเช่นที่ซำกอซางนี้เราก็พักโซ๊ยน้ำแข็งไสราดนมกันอีก อิอิ น้ำผลไม้ปั่นก็มี 20บาททั้งคู่
ทางซิกแซก 9เลี้ยว และพร่านพรานแป
นั่งพักสักเดี๋ยวก็เดินทางต่อก่อนจะเคลิ้มหลับ ภูกระดึงวันธรรมดาคนช่างบางตาแวะร้านไหนเหมือนเหมาร้านนั้นจะนั่งนอนฟินสุด จากซำกอซางมาได้สักหน่อยก็เจอทางสุดชันที่ทางอช.ต้องปรับทางเดินให้ซิกแซกสร้างทางใหม่เลี้ยวไปเลี้ยวมาลดทอนความชันลง หลายคนขนานนามจุดนี้ว่า 9เลี้ยว พอพ้นเก้าเลี้ยวก็มายืนจังก้าสูดโอโซนอยู่ ณ พร่านพรานแป ถึงตรงนี้เราไต่ผ่านเส้นชันความสูงที่ 700เมตรมาเรียบร้อยแล้ว อ่ะ ไปต่อ แดดร้อน
ซำกกโดน สู่เขตป่าดิบแล้ง
เดินรวดเดียวผ่านซำกกหว้าที่มีต้นหว้าสูงใหญ่ และมีร้านค้าอีก! แต่ขอผ่านล่ะครับจะพักอะไรกันทุกบ่อยบ่ายแล้ว เดินไปเรื่อยผ่านซำกกไผ่ที่เรียกว่าผ่านกึ่งกลางทางจากตีนภูสู่หลังแปอย่างแท้จริง และเราก็มาถึงซำกกโดนมีบ้านพักจนท.และมีร้านค้าร้านอาหาร ที่สำคัญซำนี้มีห้องน้ำอย่างดีปลูกไว้ด้วย ผมยืนอ่านป้ายซำกกโดนภาษาอังกฤษแล้วก็คิดว่าฝรั่งจะออกเสียงยังไงน้า "แซม คอก ดัน" อิอิ ขำดี
ซำแคร่ ร้านค้าสุดท้าย เหนือเส้นชั้นความสูง 1,000 เมตร ณ เขตป่าดิบเขา
ในที่สุดก็มาถึงซำแคร่ ในเวลาเกือบบ่ายสอง แหล่งร้านอาหารสุดท้ายในทางไต่ จะมีร้านอีกทีก็อีกราว 5กิโลตรงศูนย์ฯวังกวางนั่นเลย แต่เรายังอิ่มเลยขอทุบหม้อข้าวไปกินเอาดาบหน้า อิอิ ว่าแล้วก็พักเดี๋ยวเดียวแล้วเดินต่อกันเลย เกรงใจลูกหาบป่านนี้ชะเง้อคอรอแล้ว
ระวังช้างป่า!
รอบนอกของซำแคร่มีการเดินรั้วไฟฟ้า มีหินก้อนใหญ่ๆที่มีป้ายปักไว้ว่า " ด่านช้าง " ตกเย็นร้านค้าจะต้องเดินไฟใส่รั้วที่สูงเกินหัวคนแต่สูงแค่ขาช้าง เพื่อป้องกันช้างป่าที่มักเข้ามากวนมาพังร้าน เพราะบริเวณนี้ใกล้กับทางด่านที่ช้างใช้สัญจรเป็นประจำ
ใกล้หลังแปแล้ว อีกเพียงกิโลเมตรเศษ เส้นทางเริ่มเดินยาก หินระเกะระกะไปหมด ทางราบๆหายไปหมดแล้ว ทางไต่ชันขึ้นไปเรื่อยๆ ช่วงนี้เองที่ผมเริ่มเดินนำห่างออกไปเรื่อยๆ ลำพัง! กำลังพอใจกับรองเท้าคู่เก่งที่ช่วยให้วางเท้าได้มั่นใจดี แล้วในกระทันหันนั้นเอง พอหัวผมโผล่พ้นทางเนินขึ้นไปใจก็หล่นวูบ! ลงไปกองอยู่ตาตุ่มทันที..ช้างป่า!
ช้างป่ายืนจังก้าเลยครับ ตัวใหญ่มาก มันยืนหน้าตรงบนทางเดินมองจ้องมาทางผมพอดี ผมตกใจว่าจะยกกล้องขึ้นมาถ่ายแต่มือสั่น กลัวมันจะวิ่งเข้าใส่เพราะใกล้เหลือเกิน ผมค่อยๆก้าวถอยหลังย่อตัวแล้วโกยอ้าวไปสักสิบเมตรตั้งหลังโบกมือไหวๆให้น้องสองคนที่ตามมาห่างๆ ว่าช้าง ช้าง สักพักช้างมันย่ำป่าลงไหล่เขาไปทางซ้ายเสียงป่าดังซวบซาบแล้วก็มาหยุดนิ่งที่ระดับเดียวกับพวกเราอีกครั้ง ผมตัดสินใจไม่ถูกว่าจะหนีขึ้นหรือหนีลงเขาดี แต่แล้วก็โกยแนบลงดีกว่า ขืนเสี่ยงขึ้นไปอาจมีมากกว่า 1 ตัว
ตอนเสียงป่ามันดังอีกครั้งเหมือนช้างมันเจตนาทำเสียงดังๆขู่ คราวนี้ผมอยู่ระยะไกลพอควรแล้วเลยยกกล้องกดชัตเตอร์ส่งๆไปตรงเสียงนั่น มองไม่เห็นตัวหรอกครับ play back ดูก็เหมือนถ่ายไม่ติดช้าง แต่ว่าคืนถัดไปผมมา play ดูอีกทีในเต้นท์เพ่งชัดๆถึงเห็นว่าติดช้างมา ดีนะไม่ได้ลบไฟล์นี้ทิ้งไป ไม่งั้นเสียดายแย่
042-871333 ผมนึกถึงเบอร์นี้ขึ้นมาได้ เบอร์ที่ผมโทรสอบถามอช.ก่อนจะเดินทางมา แต่ว่าสัญญามือถือดันอับ น้องอีกคนถอยหลังหาสัญญาณไปเรื่อยๆ จนเจอแล้วโทรแจ้งเหตุ รอซักสิบกว่านาทีจนท.จากหลังแปก็ลงมาถึงมาดูแลความปลอดภัยให้ และวิทยุแจ้งคืบหน้าให้จนท.ด้านซำกกโดนประสานงานคอยระวังช้างให้ด้วย เพราะว่านักท่องเที่ยวยังมีขึ้นตามกันมาอีก
จนท.บอกเราว่าดีแล้วที่ไม่ถอยลงไปไกลเพราะมีโอกาสเจอช้างตัวนั้นวกตัดทางแถวซำแคร่อีก ช่วงนี้ช้างกวนบ่อย สองสามเดือนก่อนก็เหยียบพนง.เก็บขยะเสียชีวิตไปคนนึง ฟังแล้วก็เริ่มหวั่นๆ ขึ้นภูมาหลายครั้งเพิ่งรู้สึกว่าช้างป่าภูกระดึงน่ากลัววันนี้เอง
บันไดไต่หน้าผาใกล้แตะหลังแปแล้วหายตกใจกันแล้วก็เดินต่อ สามสองนาทีเท่านั้นจากจุดที่เจอช้างเราก็มาถึงบันไดเหล็กไต่ขอบผาหลังภู เรียกว่าถ้าไม่ป๊ะกับช้างเข้าก่อนป่านนี้คงเดินเกือบถึงศูนย์ฯวังกวางแล้วมัง บันไดเหล็กมีหลายช่วง บางช่วงก็ทำแยกซ้ายขวาเอาไว้สำหรับเป็น one way ขึ้นล่องหน้าที่นักท่องเที่ยงเต็มภู เห็นหลายคนขึ้นด้วยอาการขาสั่น ส่วนนายน้ำฟ้าเหรอครับ เหอะๆ แหม่ บันไดแค่นี้เองสบายมาก เห็นบันไดตัวสุดท้ายแล้ว เย้ พร้อมกับท้องฟ้าสว่างๆ ยอดสน และขอบที่ราบสูงยอดภูกระดึง ลูกหาบเดินสวนทางมาคนนึงเราเรียบเล่าเรื่องช้างให้ฟังจะได้ระมัดระวังตัว
ในที่สุดก็ถึงหลังแปครั้งที่ 4 ของนายน้ำฟ้าดูเวลาก็ปาไปบ่ายสาม ใช้เวลากันไป 6 ชั่วโมง ผมขึ้นครั้งนี้ห่างจากครั้งที่ 3 ถึง 20ปี! อะไรๆก็ไม่คุ้นตาแล้ว มีซุ้มขายน้ำดื่มเล็กๆ มีร้านจักรยานให้เช่าด้วย ใครต้องการปั่นไปที่พัก ก็สามารถเลือกเช่าได้ 40บาทแบบธรรมดา 60บาทแบบมีเกียร์มีโช๊ค เส้นทางปั่นไกลกว่าเดิน 700เมตร คือให้ปั่นอ้อมไปทางผาหมากดูก ผมกลัวเมื่อยก้นสัมภาระก็เกะกะ ไหนจะขาตั้งกล้องอีก น้องๆก็ถีบไม่คล่องเลยตัดสินใจเดินกันหมด หนทางยังอีกไม่ไกลแล้ว คำแก้ตัวต่อพี่ลูกหาบก็นึกออกแล้วคืออ้างช้างป่านั่นเอง อิอิ ไม่ต้องรีบจ้ำเดินแระ อ้อ ใครขึ้นมาถึงหลังแปเห็นต้องถ่ายรูปกับป้ายผู้พิชิตกันทุกคน นายน้ำฟ้าก็ขอถือโอกาสนี้ถ่ายกับเค้าด้วย ปกติไม่นิยมถ่ายกับป้ายนะเนี่ยแต่ป้ายนี้ต้องขอหน่อย เอาล่ะครับบล็อกตอนแรกนี้ก็ยืดย้วยเหยิ่นเย้อยาวเหยียดเกินคาดแล้ว ทีแรกก็ลงให้ยาวถึงชมดวงอาทิตย์ตกวันแรกเลยแต่เห็นท่าจะต้องยกไปต่อตอนถัดไป สำหรับตอนที่หนึ่งต้องลงไว้เพียงเท่านี้ก่อน
~~~~~~~~~~~~~ จบตอนที่ 1 ~~~~~~~~~~~~~ตอนที่ 2 เที่ยวทุ่งชมผาหมากดูก
Create Date : 21 กุมภาพันธ์ 2557 |
Last Update : 8 เมษายน 2557 11:21:26 น. |
|
69 comments
|
Counter : 17165 Pageviews. |
|
|
ยังไม่เคยขึ้นภูกระดึงเลย เพราะมันใช้เวลาเยอะหลายวันอ่ะ
แต่ ไว้จะต้องไปสักครั้ง
..น่าเสียดายไม่ได้เห็นภาพทไวไลท์ยามเช้าที่ผานกเค้า มุมมันสวยมากอ่ะ
..แต่ก็โชคดีที่มีน้องๆ2สาวมาร่วมทริปไปด้วย ลุงจะได้ไม่เหงา
..เดินภูกระดึงยังกะเดินไปช้อปปิ้งเลยอ่ะ มีเรื่องให้เสียตังค์ได้ตลอดทางเส้นทาง^^ ดูสบายๆชิวๆมาก เคยนึกว่าต้องลำบากยากเย็นซะอีก
..ไม่ชอบก็ตรงเจอช้างป่านี่แหละ ขนหัวลุก เป็นโอ๋คงยืนฉี่ราด ขาแข็งอยู่ตรงนั้น วิ่งไม่ออก
..บันไดตรงช่วงสุดท้ายก่อนขึ้นหลังแป มันสุดๆอ่ะชันเกิ้น เห็นแล้วปวดน่อง
..มารอตอนต่อไป เร็วๆนะลุง กะลังมันส์
โหวตให้แล้วคร๊าบบ