ที่สุดของความรู้ ![]() มีคนตั้งข้อสังเกตได้อย่างน่าชื่นใจว่า.. ผมชอบเขียนถึงเรื่องสติ แปลว่าเป็นแฟนบล็อคนี้จริงๆ ขอบคุณนะครับ ถามว่า.. ทำไมต้องเน้นแต่เรื่องนี้ด้วย คุณแอสตัน ตอบว่า.. เพราะผมอยากให้ทุกท่านได้ประโยชน์จากการได้เกิดมาในยุคที่คำสอนของพระพุทธเจ้ายังอยู่ ในบล็อคที่พูดเรื่อง the Fountain ผมเล่าถึงคำของอาจารย์ผมที่ท่านย้ำไว้ว่า.. นี่คือโอกาสทองแห่งสังสารวัฏ.. จำได้ใช่ไหมครับ ที่พูดอย่างนั้น ก็เพราะพุทธศาสนาเป็นเจ้าเดียวที่สอนเรื่องวิปัสสนา ทุกศาสนามีคำสอนในส่วนที่เป็นการปฏิบัติทั้งนั้น แม้แต่โยคะที่ตอนนี้ฮิตกันระเบิด แท้จริงก็เป็นการปฏิบัติอย่างหนึ่งของโยคีที่มุ่งหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดเหมือนกัน ความแตกต่างมันอยู่ที่วิธีและหลักการครับ คือต้องปูพื้นฐานกันนิดนึงว่า หลักการปฏิบัติธรรมในโลกมันมีสองกลุ่ม กลุ่มแรกเรียกตามภาษาแขกว่า สมถะกรรมฐาน กลุ่มสองเรียกตามภาษาแขกเช่นกันว่า วิปัสสนากรรมฐาน ถ้าแปลภาษาแขกเป็นไทยให้เข้าใจง่ายๆ สมถะกรรมฐาน คือการฝึกจิตฝึกใจให้แน่วแน่อยู่กับอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง เช่นอยู่กับกาย อยู่กับลมหายใจ อยู่กับบทสวด อยู่กับรูปนิมิต อยู่กับพระพุทธรูป จุดมุ่งหมายคือ ถ้าจิตไม่สงบ จิตฟุ้งซ่าน ทำให้มันสงบซะ จิตไม่ดี ทำให้ดี จิตหยาบทำให้มันประณีต เพราะทำแล้วให้ผลเป็นสุข เป็นคนดี คนก็เลยเข้าใจว่า นี่คือทางสู่การบรรลุธรรม สมถะที่นิยมทำกันมากคือการสวดมนต์ และการทำสมาธิ อันนี้ศาสนาไหนก็มีนะครับ ทำกันจนได้ฌานมีฤทธิ์เดช ถอดจิตได้ มีหูทิพย์ ตาทิพย์เยอะแยะ ไม่ต้องดูอื่นไกล พระพุทธเจ้าของเรานี่แหละ ก่อนท่านจะตรัสรู้บรรลุธรรม ท่านก็ฝึกการทำสมถะจนเก่งกว่าใครในโลก อุทกะดาบส กับอาฬารดาบสที่ว่าเก่งสุดๆในชมพูทวีปแล้ว ถึงกับหมดวิชาจะสอน เพราะท่านทำได้เก่งกว่าอาจารย์ แต่ด้วยปัญญาที่เรียกว่า โยนิโสมนัสสิการ ความแยบคายของท่านทำให้ท่านสังเกตและฉุกคิดได้ว่า นี่ยังไม่ใช่การบรรลุธรรมและหลุดพ้นได้ เพราะขนาดปฏิบัติด้วยการนั่งสมาธิอดข้าวอยู่เป็นเดือนๆ จนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกยังไม่บรรลุ มันก็ไม่ใช่แล้วล่ะ ท่านเลยคิดค้นวิธีการใหม่ ที่เรียกว่า วิปัสสนา แปลว่าการรู้แจ้งในความจริงของกายและจิต อาวุธในการรู้ความจริงของกายและจิต เราเรียกว่า "สติ" ครับ ใครเป็นแฟน the Matrix คงจำได้ว่ามีเด็กแขกคนนึงโผล่มาในปลายภาคสอง ต่อกับภาคสาม ตอนที่นีโอไปติดคาแหง่กอยู่ที่สถานีรถไฟ ซึ่งเป็นรอยต่อระหว่าง "โลกจริง" กับ "โลกสมมติ" เด็กหญิงแขกคนนั้นชื่อ Sa-ti จำได้ไหมครับ ใครอ่านนิยายกำลังภายในบ้างครับ สังเกตไหมว่า เวลาพระเอกฝึกวิชาจนถึงขั้นสุดยอด มันจะมีหลักการคล้ายกันคือ กระบี่อยู่ที่"ใจ" ที่สุดของกระบวนท่า คือไร้กระบวนท่า ถ้าสติ คืออาวุธของผู้ปฏิบัติ สติก็คงเหมือนกระบี่ ถ้ากระบี่อยู่ที่ใจ สติ ก็ไม่ควรจะอยู่ที่ไหน เกินไปกว่าที่ "ใจ" กระบวนท่าเวลาปฏิบัติก็เหมือนกัน ที่สุดของกระบวนท่า คือไร้กระบวนท่า ไม่ต้องไปกังวลว่าจะเริ่มทำท่าอะไรก่อน จะเดิน จะยืน จะนั่ง ท่าไหน ต้องยกแขนขวา 45 องศาไหม เอาขาซ้ายพาดคอไหม อันนั้นปล่อยให้โยคะเขาทำไป วิปัสสนาแท้ๆของพระพุทธเจ้า ไม่ได้สนใจกระบวนท่าครับ ฉะนั้นเราก็ยืน เดิน นั่ง ไปตามธรรมชาตินี่แหละ เคยทำยังไงก็ทำอย่างนั้น แต่เพียงแค่หมั่นเติม "ความรู้สึกตัว" ไว้ให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ บางคนพอมีความรู้เรื่องสติปัฏฐาน 4 ก็ไปกังวลว่าจะรู้กายก่อน หรือรู้จิตก่อน ขอบอกว่าอย่ากังวล รู้อะไรก็ได้ที่เป็นปัจจุบัน ตอนนั้นกายชัดก็รู้กาย อารมณ์(จิต)ชัด ก็รู้จิต เพราะเมื่อเราฝึกสติไปเรื่อยๆ ถึงที่สุด มันจะไปมะรุมมะตุ้มกันอยู่ที่ "ใจ" เองแหละครับ ทุกข์ ก็เกิดที่ใจ ดับที่ใจ สุข ก็เกิดที่ใจ ดับที่ใจ ทุกอย่างเกิดแล้วก็ดับเสมอกัน ไม่มีอะไรมากกว่านั้น ขั้นสูงๆของการเจริญสติ จะไม่ได้เลือกว่าต้องรู้อะไร ไม่มีกระบวนท่าว่าต้องทำอะไร รู้กาย หรือรู้จิต มันจะเป็นไปโดยอัตโนมัติ แต่จะไปสรุปรวมลงตรงที่จิต อันนี้เฉลยข้อสอบให้ล่วงหน้า แต่บอกไว้ก่อนว่า อย่าพยายามทำด้วยการ "คิด" เอา อย่าคาดหวังด้วยความโลภ และอย่าสงสัยว่าต้องนานแค่ไหน พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ถ้าเจริญสติให้ต่อเนื่องไปนะ ไม่กี่วัน ไม่กี่เดือน ไม่กี่ปี ก็บรรลุธรรมได้ ที่จริงท่านเจาะจงเลยว่า 7 วัน 7 เดือน 7 ปี แต่อาจารย์ผมว่า ในพระไตรปิฎก ไอ้จำนวน 7 มันเป็นสำนวนแปลว่าน้อย ไม่มาก ผมก็ยังไม่บรรลุหรอกนะ แต่รู้ว่าเดินอยู่บนทางนี้แล้วปลอดภัย สบายใจดี ก็ชวนคุณมาลองเดินดู ถึงเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น อย่าดูถูกตัวเองนะครับ บางคนมีของเก่าติดตัวมาเยอะแล้วจากชาติก่อนๆ มีคนมาสะกิดนิดเดียว ก็ต่อยอดของเดิมได้ ของแบบนี้เป็นเหมือนกรรมดี กรรมชั่ว ทำแล้วติดตัวติดตามเราไปในทุกชาติ พี่ดังตฤณ ท่านถึงเรียกว่าเป็นการ "เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว" เพราะการเดินทางในสังสารวัฏ การเวียนว่ายตายเกิดมันยาวนานมากนะครับ บล็อคนี้ว่ายาวแล้ว แต่เชื่อเถอะ สังสารวัฏยาวกว่านี้ และน่าเบื่อซ้ำซากจำเจกว่านี้เยอะ เชื่อไม่เชื่อก็ไม่ว่ากัน ผมก็ส่งความปรารถนาดีมาได้แค่นี้แหละ แล้วก็ต้องพาตัวเองให้รอดด้วยเหมือนกัน ![]() สุขสันต์วันที่อ่านนะครับ ขอความรู้สึกตัว จงมีแก่ตัวท่านเอง ![]() อ่านง่าย เข้าใจง่ายกว่าblogที่แล้วเยอะเลยแฮะ...
![]() ชอบเพลง ...ต้องบอกว่า "ชอบ ก็รู้ว่า ชอบ" ใช่มั้ยคะ... ![]() โดย: Q.NUH
![]() ![]() .. .. ทางเส้นนี้แม้ยังไม่บรรลุหากเพียงเริ่มเข้าใจก็ทำให้มุมมองต่อหลายสิ่งในชีวิตเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นสงบขึ้นนิ่งขึ้นค่ะ .. .. ราตรีสวัสดิ์นะคะ ![]() โดย: เชื่อในกฏแห่งกรรม (azamiya
![]() เราจะไม่เข้าพันทิปสักระยะหนึ่งนะคะ ![]() ดอก Spiraea โดย: law of nature
![]() แอม.. เมนท์ตามสบายเลยน้อง.. ขยันเขียนก็จะขยันอ่านนะ
![]() คุณ Q ถูกต้องนะคร๊าบบบบ ได้หนึ่งคะแนน.. แปะๆๆๆๆๆ ![]() azamiya สาธุครับ ![]() คุณเนเจอร์ ขอบคุณสำหรับดอกไม้ที่เอามาฝากประจำทุกบล็อคนะครับ ว่าแต่จะหายไปไหนล่ะ.. ![]() โดย: aston27
![]() ![]() เวลาฝึกโยคะ รู้ได้เลยว่าถ้าสมาธิไม่นิ่ง หัวคิดวุ่นวาย จะเล่นได้ไม่ดี เหมือนกีฬาส่วนใหญ่ ดีใจที่พูดถึงโยคะ ติ๊ดนึงก็ยังดี
![]() อ่าน เดินสู่อิสรภาพ หรือยังคะ ข้าน้อยขอแนะนำ โดย: อั๊งอังอา
![]() อืม...คุณเขียนเหมือนกับที่เพื่อนคนนึงเคยนั่งอธิบายให้เราฟัง ถึงความแตกต่างของการฝึกสมาธิ กับการนั่งวิปัสนา
ตอนแรกเรารู้สึกตัวเองว่าเป็นคนไม่ค่อยมีสมาธิ เลยอยากฝึกนั่งสมาธิดู ซึ่งก็มีคนรู้จักแนะนำให้ไปลองนั่งกับหลวงพ่อที่อยุธยา หรือสระบุรีเนี่ยแหละ จำไม่ค่อยได้แล้ว ซึ่งท่านจะสอนการกำหนดลมหายใจ ซึ่งเราคิดว่าเหมือนกับการฝึกโยคะน่ะ (เคยไปฝึกโยคะ และรู้สึกตัวว่ายังกำหนดการหายใจอย่างที่อาจารย์สอนไม่ได้) เพื่อนเลยถามเราว่าทำไมถึงคิดว่าตัวเองไม่ค่อยมีสติ/สมาธิล่ะ เราก็เลยยกตัวอย่างพฤติกรรมของเราให้เค้าฟังว่า บางครั้งเวลาเราได้ยินเพลงที่เราชอบ จิตใจของเราจะจดจ่ออยู่ที่เพลง จนไม่ฟังคนอื่นพูดกับเรา บางทีคิดเรื่องอะไรอยู่ ใครพูดด้วยก็ไม่ได้ยินอะไรแบบนี้แหละ และเป็นคนความจำปลาทอง ![]() ![]() แต่เรายังไม่ใจกล้าพอที่จะไปเริ่มเรียนรู้การวิปัสนาเลย ..แบบว่ากลัวไปหมด กลัวอดกิน กลัวอดเที่ยว กลัวต้องอยู่กับคนไม่รู้จัก.. แบบว่ากิเลสยังมากกกก ![]() ยังไงก็ขอขอบคุณกับข้อคิดดีๆ ที่นำมาถ่ายทอดให้กันได้รู้นะคะ ปล. กำลังพยายามสร้าง blog ของตัวเองอยู่ แต่ยังจับต้นชนปลายไม่ค่อยถูกเลยค่ะ เพราะคุณเนี่ยแหละ...ทำไมต้องเป็นสมาชิกถึง comment ได้ก็ไม่รู้ ... ![]() ![]() เฮ้อ! ใจร้ายจริงๆ ![]() โดย: myouzhny (myouzhny
![]() ขอบคุณที่แวะไปทักทายเสมอ เราจะไม่เข้าพันทิปสักระยะหนึ่งนะคะ ![]() ดอก Rosemary โดย: law of nature
![]() กำลังพยายามหัด "รู้" อยู่เช่นกันค่ะ แต่ยังไปไม่ค่อยจะถึงไหนเลย พอเจอทุกข์(เวทนา) เข้าหน่อย จิตมันก็ถลำลึกลงสู่เวนา ไม่ก็ฟุ้งซ่าน เหม่อลอยไปจนลืม(ตามรู้)กาย ใจ ไปเลยค่ะ
![]() มีวิธีแก้ไข หรือพอจะแนะนำอะไรได้บ้างมั้ยคะ ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ ![]() โดย: Together In 80s Dream
![]() ^
^ เหมือนขี่จักรยานค่ะ ขี่ไปล้มไปเรื่อยๆ ก็ขี่ได้ซะงั้น หัดรู้ไปเรื่อยๆ รู้บ้างลืมบ้างหลงบ้าง มันจะใช้เวลาค่อยๆรู้ได้บ่อยขึ้นเองนะคะ ป.ล. ในชีวิตจริงเรายังขี่จักรยานไม่เป็นเลยค่ะ 555 โดย: แมวขี้บ่น
![]() น้อง Together In 80s Dream
จริงๆสภาวะทุกอย่าง มันคือธรรมชาติของจิตทั้งนั้น อย่างทุกขเวทนาก็ดี อาการถลำลงไปก็ดี ฟุ้งซ่านก็ดี เหม่อลอยก็ดี มีหลักอยู่สองข้อคือ..หนึ่ง เรารู้เท่าที่รู้ได้ในปัจจุบัน แต่อะไรที่ผ่านไปตั้งนานแล้วเพิ่งรู้ตัว ก็ช่วยไม่ได้ เกิดเสียดาย รู้ว่าเสียดาย อันนี้ก็ใช้ได้แล้วครับ สองคือ ไม่ว่าจะมีสภาวะอะไร เราไม่เลือก ตามรู้ได้หมด รู้ด้วยความเป็นกลาง ไม่สนใจว่ามันเป็นสภาวะดี หรือร้าย ไม่ได้รักความคิดดี เกลียดความคิดเลว ไม่ได้ฝึกเพื่อทำให้จิตดี จิตสงบ อันนั้นมันเรื่องของสมถะ วิปัสสนา เป็นเรื่องการมีสติ รู้สึกตัว เห็นแจ้งว่า สภาวะอะไรก็ตาม เกิดแล้วก็ดับ เสมอกันหมด ไม่มีอะไรสักอย่างที่เที่ยงแท้ถาวร การมีสติรู้สึกตัว ก็ไม่เที่ยงแท้ไม่ถาวร บังคับก็ไม่ได้ การไม่มีสติเผลอไปหลงไป ก็ไม่เที่ยงแท้ไม่ถาวร บังคับก็ไม่ได้ เดี๋ยวก็รู้ เดี๋ยวก็หลงไปเผลอไป สลับไป สลับมา ตอนมันรู้สึกตัวจะบังคับให้มันหลง ก็ไม่ได้ มันต้องเผลอถึงจะหลง ตอนมันหลง จะบังคับให้มันรู้สึกตัวก็ไม่ได้ มันต้องระลึกได้ ถึงจะรู้สึกตัว ความรู้สึกตัว สร้างขึ้นไม่ได้ ความหลงไปก็สร้างขึ้นไม่ได้เหมือนกัน ฉะนั้น.. รู้เท่าที่รู้ได้ ไม่ต้องเสียดาย ไม่ต้องท้อ เสียดาย รู้ว่าเสียดาย ท้อ รู้ว่าท้อ ก็ได้คะแนนแล้ว ไม่ชอบที่ถลำไป รู้ว่าไม่ชอบ อยากดึงจิตคืน ก็รู้ทันนะครับ ว่าอยากดึงคืน อย่าเข้าใจว่า คนปฏิบัติเป็นแล้ว จะไม่ถลำ ไม่หลง ไม่เผลอนะครับ อันนั้นเข้าใจผิดมาก เพียงแต่คนปฏิบัติเป็นแล้ว ถลำไป ก็ตามรู้ หลงไปก็ตามรู้ เผลอไปก็ตามรู้ รู้แล้วก็จะเห็นว่า ถลำไปก็ไม่เที่ยง สติที่รู้ทันการถลำไปก็ไม่เที่ยง ไม่มีอะไรเที่ยงสักอย่าง มันเกิดแล้วก็ดับ มาแล้วก็ไป วิปัสสนาต้องการเห็นแบบนี้ครับ ![]() โดย: aston27
![]() ![]() เดี๋ยวนี้ เวลานึกถึงคำว่าสติ
ผมก็นึกถึงชื่อพี่ ลอยมาพร้อมกับคำว่า สติ เลยครับ บล็อกล่าสุดของผมที่เพิ่งเขียนเสร็จก่อนมาอ่านบล็อกพี่ ยังมีแอบพาดพิงไว้เลย อุอุ ไม่น่าเชื่อ ![]() โดย: getterTu
![]() ตั้งสติอ่านอย่างเงียบๆค่ะ
ทุกถ้อยคำให้ข้อคิดที่ดีมากมาย ![]() โดย: ซออู้
![]() ทุกข์ ก็เกิดที่ใจ ดับที่ใจ
สุข ก็เกิดที่ใจ ดับที่ใจ ทุกอย่างเกิดแล้วก็ดับเสมอกัน ไม่มีอะไรมากกว่านั้น ![]() ขอบคุณค่ะ ![]() หลายครั้ง มีความสุขก็ต้องบอกว่ามีความสุขใช่มั๊ยคะ แล้วคุณแอสตัน ถ้ายิ้มอยู่ ก็ต้องบอกว่ายิ้มอยู่นะคะ ![]() โดย: Kimi o ai X eru
![]() เขียนเรื่องได้น่าอ่านอีกแล้ว อ่านแล้วอยากดูหนังเรื่องเดอะ เมทริกซ์ซะแล้วค่ะพี่
โดย: Professional
![]() ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า ....
ขับรถกลับบ้านดีๆนะคะ อย่าซิ่งล่ะคุณแอสตัน ![]() โดย: Kimi o ai X eru
![]() |
บทความทั้งหมด
|
อาจารย์สอนพระพุทธศาสนาตอนม.1
สอนให้ร้องเพลงเพื่อให้จำคติธรรมทั้งหลายได้
ทุกวันนี้หนูยังจำท่วงท่าลีลาการสอนของอาจารย์ได้เป็นอย่างดี
ที่จำได้แม่นๆ ก็มี
อิทธิบาทสี่
ฉันทะคือความพอใจ
วิริยะไซร์ให้เพียรขยัน
จิตตะตั้งใจไว้มั่น
วิมังสานั้นหมั่นนึกตรึกตรอง
แล้วก็มี
สติ คือ ความระลึกได้
สัมปชัญญะ คือ ความรู้ตัว
ส่วนอีกเพลง
หิริ คือ ความละอาย
โอตัปปะ คือ ความเกรงกลัว
ตอนนั้นก็ร้องไปงั้นๆ แต่เดี๋ยวพอจะเข้าใจความหมายของธรรมและคติธรรมได้ดีขึ้น
จริงๆ หนูเคยสอบตกวิชานี้ด้วย
จำได้เลยว่ามีคนสอบตกอยู่แค่คนสองคน
พี่ลองคิดถึงเด็กประถมคนนึงที่ไม่เคยอ่านหนังสือสอบ
แต่ว่าบังเอิญสอบติดชั้นมัธยมมาเป็นที่ท้ายๆ ของโรงเรียนสาธิตประจำจังหวัด
คือต้องยอมรับว่า คนจะมองเด็กสาธิตทุกคนคือเด็กเก่ง
หนูก็เพิ่งสลัดคอซอง เด๋อๆ ด๋าๆ
แล้วสอบวิชานี้วิชาแรก
เต็ม 30 ได้ 13 โอ้โห ตอนนั้นฟูมฟายสุดๆ
เลยรู้ตัวว่าการสอบมีไว้ให้ทบทวนสิ่งที่เรียนมา
สุดท้ายเทอมแรกชีวิตม.1 ได้วิชาพระพุทธศาสนาเกรด 2
แต่โชคดีอย่างที่เวลาเรียนแล้วหนูจะพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ
เหมือนว่าพอปรับตัวได้ก็เลยเรียนรู้เรื่องมากขึ้น
แบบนี้สงสัยจะเข้าทำนองได้ดีเพราะสอบตก
นึกไปนึกมาก็เลยรู้ว่าหนูมีความหลังกับวิชานี้อีกหนึ่งเรื่อง
แต่ไม่เล่าดีกว่า
หนูเกรงใจว่าเวลาเมนต์ยาวๆ แล้วจะยาวกว่าจขบ.
ยกเว้นชอบอ่านคอมเมนต์ยาวๆ ก็แจ้งมาได้ค่ะ
ครั้งหน้าจะมาเล่าให้ฟัง
อิอิ
^^