บนทางสามแพร่ง ![]() เคยรู้สึกว่าตัวเองทำดีที่สุดแล้วผลมันออกมาแย่ไหมครับ ผมรู้สึกแบบนั้นอยู่ ทั้งในเรื่องงาน และเรื่องส่วนตัว แต่บอกไว้ก่อนว่า ไม่ต้องห่วงผมมากนะครับ ผมแค่อยากบ่นให้ใครฟังซะบ้างเท่านั้นเอง ข้อดีของการนี้ ก็ยังมีอยู่บ้าง ตรงที่มันพอจะเตือนตัวเองได้ ว่าจริงๆ ผมก็ยังแอบมีความคาดหวังจากการทำดีอยู่ไม่น้อย เวลาที่ถูกมองในทางลบ ก็ยังขมขื่นเหมือนอมบอระเพ็ดสักกำใหญ่ บทเรียนอีกอย่าง ที่ได้คือ.. คนบางคน มีความสามารถในการยอมรับผิดต่ำมาก เขาจะมองว่าการตัดสินใจพลาด ทำอะไรผิด เป็นเรื่องต้องหาเหตุผลมาอธิบายการกระทำ ให้ดูมีน้ำหนักที่สุด มากกว่าจะเอ่ยสองคำสั้นๆว่า.. "ขอโทษ" จำเรื่องลูกน้องที่ผมบ่นไปเมื่อวันก่อนได้ไหมครับ ผมเพิ่งมารู้ว่า ภาพพจน์ผมในสายตาลูกน้องมันค่อนข้างลบอยู่ ไอ้เรื่องนั้นเข้าใจได้ .. คนเราโดนหัวหน้าดุด่าว่ากล่าว จะให้ชอบใจ ชื่นใจ ก็ท่าทางจะซาดิสม์เกินไป แต่การไปสุมหัวกันอภิปรายบอกว่า ผมเป็นหัวหน้าที่แย่ในทุกกระเบียด ..อันนี้ นิดนึงนะ ที่รู้ก็เพราะ ลูกน้องคนนึงเขียนบล็อคพยายามสอนมวยผม เพราะเขาก็ฟังมาจากการอภิปรายนี่แหละ ผมปล่อยลิงค์ไว้ในบล็อคงั้นแหละ ใครอยากอ่านก็ไปอ่านได้นะครับ ผมไม่ห่วงภาพพจน์เท่าไหร่ ![]() อันนี้ มันขมขื่นอยู่มากจริงๆ เพราะ 3 คน ที่เป็นหัวโจก ในการอภิปราย ล้วนแต่เป็นคนที่โดนนายผมเพ่งเล็ง และไม่ปลื้มในผลงาน คนนึง ทำงานพลาดบ่อยๆ และทุกครั้งก็วิ่งมาหาผม ก็ผมนี่แหละเป็นคนคอยช่วยแก้ปัญหาให้ ทั้งๆที่ตอนนั้น เขาไม่ได้อยู่แผนกผม จนพอแก้ปัญหาให้ได้ นายก็เลยเหมาให้เขามาขึ้นกับผม แต่วันนี้ เขาไม่พอใจเพราะรู้สึกว่า ผมไปจู้จี้เขา ทั้งที่เขาไม่ได้ขึ้นกับผมโดยตรง อีกคน เมื่อปีก่อนจวนเจียนจะไม่ผ่านโปรฯ ผมก็ช่วยด้วยการสถาปนาหน้าที่ความรับผิดชอบให้ใหม่ แล้วหาเหตุผลร้อยแปดไปบอกนายว่า เขาจะมีประโยชน์กับบริษัทยังไง อันนี้ ผมก็ไม่เคยบอก เพราะเกรงเขาจะเสียกำลังใจ แต่ก็ต้องมาเคี่ยวเข็นให้เขาทำงานดีขึ้น ให้รับผิดชอบดีขึ้น ผิดพลาดน้อยลง ทำงานให้ทันเวลามากขึ้น แต่พอเคี่ยวเข็นมากๆ ก็กลายเป็นผมโหด เลว(ไม่ค่อย)ดี อีกคนนึง เราเพิ่ง รีเอนยิเนียริ่งแผนก เขาจะโดนนายผมลดบทบาท เพราะเห็นว่าฝีมือไม่ถึง ผมก็ไม่อยากให้เขาเสียความมั่นใจ ผมก็พยายามพูดให้นาย ให้โอกาสเขา ซึ่งนายก็บอกว่า.. ก็ตามใจคุณนะ ถ้าคิดว่าเขาทำได้ ฟังแล้วก็สะอึก.. เพราะผมไม่มั่นใจเลย ว่าผมจะคุมเขาได้ แต่ผมรู้ว่า คนอีโก้จัดอย่างเขา ถ้าโดนลดบทบาท ยังไงก็ยอมรับไม่ได้ ผมก็เลือกจะรับเผือกร้อนมา แล้วหาทางจัดการกับเผือกเอาทีหลัง แทนที่จะโยนเผือกทิ้งไป ถือว่าธุระไม่ใช่ แล้วขอกล้วยมาแทน จะว่าไปก็เหมือนผมช่วยคนอื่น เพื่อสร้างปัญหาเพิ่มให้กับตัวเอง ตกลงนี่ผมคิดผิดเหรอนี่ .. สารภาพตามตรง ตอนอ่านบล็อคลูกน้องผม แว่บนึงผมคิดอย่างนั้น ![]() มองอีกที .. ผมเหมือนเป็นพ่อลูกน้องผมเลยนะ คนเป็นลูกมองขึ้นมา ก็คงนึกว่า เป็นพ่อนี่สบายจัง วันๆเอาแต่สั่งๆ ดุๆ ให้ลูกกลัว จู้จี้ ขี้บ่นก็เท่านั้น เจอหน้าก็ อ่านหนังสือบ้างนะ อย่าลืมทำการบ้านนะ อย่าเล่นเกมมากนะ อย่ากลับบ้านดึกนะ อย่าแต่งตัวโป๊นะ แต่ไม่รู้หรอกว่า.. ตอนลูกไปเที่ยวเล่นกับเพื่อน พ่อทำอะไร พ่อมีปัญหาอะไร พูดไม่ได้ก็ตั้งหลายเรื่อง ไอ้ที่พูดๆไปจนลูกเกลียดน่ะ ก็เพราะอยากให้เขาได้ดี อยากให้ปลอดภัย อยากให้เติบโต ดื้อมาก ออกนอกลู่นอกทางมาก พ่อก็ต้องดุด่าว่ากล่าว บางทีก็ต้องตีบ้าง พอให้รู้ว่า เรื่องนี้ ซีเรียสนะ แต่ตีแล้ว พ่อก็น้ำตาจะไหลตามลูกเหมือนกันนะ ผมบอกลูกน้องที่เขียนบล็อคสรรเสริญผมน่ะ บอกว่า.. ผมไม่ได้ตั้งใจว่าจะมีลูกน้องเลยสักคน ตอนเข้ามาทีแรก คุยกันอีกแบบนึง ว่าให้ผมเป็นคนวางแผนการตลาดอย่างเดียว ที่เหลือนายคุมเอง แต่พอทำๆไป ก็เห็นว่า ถ้าไม่ช่วยอะไรเลย ก็อาจจะตายหมู่ได้ คือจะให้ผมทำตัวเฉยๆ ไม่ต้องปกป้องอะไรใคร ไม่ยุ่งกับใคร คิดเสียว่า ธุระไม่ใช่ ใครจะมีงานทำ หรือตกงาน ก็ไม่ใช่เรื่องของผม อันนั้นก็น่าจะสบายกับผมอยู่มาก และไม่เสียภาพพจน์ด้วย แต่ถ้าผมกางปีกออกปกป้อง รับมาเป็นภาระผม แล้วมองผมในแง่ร้าย ผมก็เสียใจนะ แต่ก็นั่นแหละ.. ความยากของการเป็นหัวหน้าคนก็อยู่ตรงนี้ อีกอย่าง.. ผมก็เคยโดนหัวหน้าบี้มาแทบตายมาก่อน เพราะสมัยก่อนผมก็ห่วยพอๆกับลูกน้องผมนี่แหละ ผมเลยมองเห็นว่า มันเป็นกงกำกงเกวียนอย่างนึง ถ้าผมปั้นโคลนให้เป็นชามสังคโลก หรือไหบ้านเชียงได้ ก็ถือว่าผมก็สอบผ่าน แต่ถ้าผมทำไม่ได้ ก็ถือว่าสอบตก และเป็นคราวเคราะห์ของผมเอง ที่ดันให้โอกาสคนพวกนี้มาทำงาน ![]() อย่าคิดมากนะครับ ผมระบายเฉยๆ ![]() ขอบคุณที่รับฟังผมบ่นครับ สุขสันต์วันอาทิตย์ครับ น้าก็นะ สอนมวยอะไร ถ้าน้าไม่ใช่คนแบบนี้ก็ไม่กล้าบอกเหมือนกันนะ
![]() เอาน่าน้า บางเรื่องความรัก เอ๊ย ความปรารถนาดีไม่อาจเยียวยา เค้าเป็นยังไงบางทีก็ต้อง อุเบกขา สรุปผมมันนกสองหัวใช่มะเนี่ย ![]() โดย: เอกเอง IP: 58.8.184.120 วันที่: 15 ตุลาคม 2549 เวลา:2:23:07 น.
เอกๆ
อ่านคอมเมนท์พี่เสือไว้นะเอ็ง ขอบคุณครับ พี่เสือ ![]() โดย: aston27
![]() แวะมาฟังคนบ่นค่ะ...
โดย: แพ็ท IP: 124.157.209.31 วันที่: 15 ตุลาคม 2549 เวลา:11:12:28 น.
อืมม...อย่าเครียดเลยค่ะ...นิ้วไหนร้ายก็ตัดทิ้ง
มาตรฐานการทำงานของคนเรามันต่างกัน บางคนชอบอ้างว่ารสนิยมหรือทัศนคติต่างกัน จริงๆแล้วไม่ใช่เลย การทำงานที่มีหัวหน้าลูกน้อง ไม่ว่าใครจะมีรสนิยมหรือทัศนคติผ่าเหล่าผ่ากอมาอย่างไร ขอให้คนๆนั้นมีสำนึกรู้ก็พอว่าคุณอยู่สถานะไหนในที่แห่งนั้น เวลานั้น ก็น่าจะพอแล้ว ถ้าเป็นลูกน้อง ต่อให้รสนิยมวิไลเลิศทัศนคติที่เยี่ยมยอด แต่คุณมีหัวหน้าคุมบังเหียนอยู่ คุณก็ต้องทำตามคำสั่งของหัวหน้าเป็นหลักอยู่แล้ว เป็นวิธีคิดแบบง่ายๆเลย หลายคนมักหลงลืมว่าตัวเองกำลังทำอะไร เป็นอะไร เล่นบทบาทชีวิตอะไรอยู่ บางคนชอบคิดว่าตัวเองเก่ง สิ่งที่ทำ ดีอยู่แล้ว ถูกต้องแล้ว ไม่ควรมีใครมาแตะต้องงานของชั้น แล้ว สรุปว่าเก่งไปหมด ก็ถ้าเก่งจริงก็ลุกมาเป็นหัวหน้าซะเลยสิ แต่ใครที่ไหนล่ะที่จะให้เป็น ต้องไม่ลืมว่าชีวิตคนเรามันมีลำดับขั้นตอนของมันอยู่ ถ้าผลีผลามลามปามกระโดดเทียบรุ่น พยายามกระโดดข้ามขั้นตอน มันก็มีแต่ทำให้องค์กรเละเทะไม่เป็นระบบระเบียบ มีแต่พังกับพัง เขาถึงต้องมีบุคคลที่เหมาะสมมา เป็นหัวหน้า ไม่ว่าบุคคลนั้นจะเป็นที่ยอมรับในสายตาของ ผู้ร่วมงานหรือไม่ แต่ถ้าต่างคนต่างรู้หน้าที่ รู้บทบาทตัวเอง รู้จักเคารพให้เกียรติกันตามสถานภาพ นั่นก็จะช่วยให้บรรยากาศในที่ทำงานสงบและเป็นไปได้ด้วยดี บางครั้งการประเมินบทบาทของคนอื่นเป็นเรื่องง่ายกว่า ความพยายามในการลดบทบาทของตัวเองลง หลายคน จึงมักพลาดอะไรดีๆในชีวิตไปก็ด้วยเหตุนี้เอง สรุปอย่าไปซีเรียสเลย จงทำตัวเป็นต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงา แกร่งและมั่นคง กะอีแค่นกกามาเกาะจิกขี้รดหัวไม่กี่ตัวอย่าไปสะเทือนค่ะ โดย: อุนากัณ
![]() ลูกน้อง ก็คือ ลูก กับ น้อง
หมายถึงเราต้องปกครองเขาทั้งแบบลูกและแบบน้อง ในคราวเดียวกัน หนักกว่าลูก หรือ น้อง เพียวๆหลายเท่าครับ เพราะประเด็นหลักอยู่ที่ว่า "บริหารอย่างไรให้ได้ใจและได้งาน" งานจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีผู้บริหาร มีพนักงาน และมีการบริหารเป็นตัวเชื่อม การจะให้ได้ใจพนักงาน มันก็ต้องมีแฟ๊คเตอร์ของผู้บริหารมาเกี่ยวข้องด้วยอย่างช่วยไม่ได้ ไม่ใช่มองแต่ด้านพนักงาน เสมือนการตบมือข้างเดียวมันจะดังได้ยังไง เฉื่อยชา ไม่รับผิดชอบ โทษผู้อื่น ไม่พัฒนา ดื้อเงียบ เหล่านี้คือคุณสมบัติพื้นฐานของลูกน้องโดยเฉลี่ยส่วนใหญ่ ที่พูดอย่างนี้ไม่ใช่ทฤษฎีนะครับ แต่เป็น สัจธรรมความเป็นจริง ของระดับนิสัยใจคอ สติปัญญาของมนุษย์ ถ้าเขาไม่เป็นอย่างที่ว่า เขาก็คงพากันหัวหน้าเป็นลูกพี่ไปหมดแล้ว การจะเข้าใจคนสักคนเนี่ยะ มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆนะครับ โดย: ธีระ ศิริฯ IP: 124.120.171.113 วันที่: 15 ตุลาคม 2549 เวลา:12:12:52 น.
ผมเองก็เคยมีปัญหาประมาณนี้เหมือนกันครับ รื้อเจอคำตอบเก่าๆอันนั้นพอดี ที่พี่คนหนึ่งเคยเคาะกะโหลกไว้ให้ เลยเอามาแปะให้อ่านต่อเผื่อเป็นประโยชน์กันครับ
============== สิ่งแรกที่คุณต้องทำคือความใกล้ชิดครับ คุณต้องให้ความใกล้ชิดกับลูกน้องของคุณมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ไม่ใช่แค่ทำงานร่วมกับเขาในออฟฟิศเท่านั้น แต่ต้องเป็นอีเว่นนอกงานด้วย ไม่ว่าจะไปกิน ไปเที่ยว ไปออกทริบตรวจตลาด หรือประชุมสัมมนา ฝึกอบรม งานรื่นเริง เล่นกีฬา งานแต่งงานงานศพ ต้องหาสละเวลาเข้าคลุกกับพวกเค้าให้มากที่สุด มันไม่ใช่เป็นเพียงการทำตัวติดดินและกลมกลืนกับเขาเท่านั้น แต่ในทุกๆเหตุการณ์เหล่านั้น คุณจะเห็นพฤติกรรมและนิสัยใจคอส่วนตัวของเขาทีละเล็กทีละน้อย ซึ่งกรณีนี้คุณต้องเป็นคนช่างสังเกตุและเก็บข้อมูลสั่งสมไว้ทุกแง่ทุกมุมนะครับ มิฉะนั้นคุณจะได้กลับมาแค่ความสนิทสนมเท่านั้น รายละเอียดที่ว่าต้องสังเกตอย่างไร จากเรื่องอะไร ด้วยมุมไหนและตีความยังไงนั้น มันยาวมากครับ เขียนเล่าเคสกันได้เป็นพ๊อกเกตบุคชนิดหลายภาคจบทีเดียว เพราะการอ่านคนประเมินคนนั้น มันจะต้องมาจากภูมิหลังและประสบการณ์ชีวิตของแต่ละคน รวมถึงระดับการศึกษาด้วย แบบคนที่มีชีวิตสุขสบายหรือเรียบง่ายมาตั้งแต่เด็กจนโตเป็นผู้ใหญ่เนี่ยะ การรู้เท่าทันคนจะน้อยกว่าเด็กที่มีภูมิหลังลำบากลำบนหรือโลดโผนโจนทยาน ยิ่งเมื่อโตขึ้นมาแล้วต้องพึ่งพาตัวเองแล้วละก็ ความสามารถในการมองคนอ่านคนก็จะยิ่งมากขึ้น จากความใกล้ชิดแล้วก็จะต้องมีการทดลองและทดสอบความรู้ความสามารถและสติปัญญา ไหวพริบปฎิภาณ ความอดทนและความมุ่งมั่น การตัดสินใจและความมีมนุษย์สัมพันธ์มากน้อยเพียงใด ด้วยหลากหลายวิธีการ ที่ผมมักจะใช้คือวิธีใช้งาน และให้งานพิเศษที่ไม่ใช่งานประจำของเขาทำ แล้วประเมินผลงานดูว่าเป็นอย่างไร ไม่ใช่แค่งานเดียวผมจะใช้งานแบบนี้แต่แตกต่างกันไปเรื่อย ส่วนใหญ่ผมจะพบอะไรๆจากวิธีนี้เสมอ สิ่งที่พบก็มีตัวอย่างมาหลายคนแล้ว ว่าบางทีงานประจำที่ให้เขาทำอยู่นั้นมัน ไม่ใช่งานที่เขาชอบ หรือได้เอาตัวตนของเขาออกมาทำจริงๆ แม้ว่าจะอยู่ในเกณฑ์ที่ดีก็ตาม ผมกลับไปพบว่ามีงานบางงานที่ผมลองให้เขาทำต่างหากที่ใช่เลย นั่นแหละงานที่เขาชอบและถูกกับเขาโดยแท้ สังเกตได้จากผลงานมันดีเกินคาด และเวลาเขาทำนั้นดูเขามีความสุข และมีความคิดสร้างสรรค์ออกมาพรั่งพรู โดยที่เขาไม่รู้ตัวหรอก ยิ่งคุณเอาข้อมูลส่วนตัวนิสัยใจคอที่คุณเก็บข้อมูลไว้ในใจมารวมกันกับงานนั้น คุณก็จะเจอตัวตนที่แท้จริงของลูกน้องคุณไม่ยาก แปลว่าคุณจะใช้งานเขาได้ถูกทาง ถูกงานและถูกคนด้วย การใช้พระคุณในการปกครองนั้น สบายใจกว่าแน่ มันธรรมดาครับไม่มีใครอยากให้ใครเกลียดใครกลัวหรอกครับ อยากให้คนรักเรามากกว่า ถึงไม่อยากใช้พระเดชในการบริหาร อันว่าลูกน้องน่ะ สิ่งแรกที่อยากเรียนรู้คือนายมีนิสัยอย่างไร มีสไตล์แบบไหน ชอบหรือไม่ชอบอะไร ยุติธรรมไหม หูเบาหรือหูหนัก ใจถึงมั้ย ใจดีหรือใจร้าย เด็ดขาดหรือเป็นมะเขือเผา ว่องไวหรือเชื่องช้า นี่ละครับคือวิธีคิดง่ายๆ ที่จะทำให้ลูกน้องเข้าใจคุณ เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของคุณกับพวกเขาเสียก่อน ทั้งด้วยการพูดจาบอกเล่า และการแสดงออกทางพฤติกรรมจริงๆของคุณอย่างตรงไปตรงมา ว่ากันแต่เนิ่นๆเสมือนการบอกกล่าวกันไว้ก่อน วิธีนี้ลูกน้องส่วนมากจะซึมซับความเป็นคุณไว้อย่างดี เขาจะไปในทิศเดียวกับคุณ แต่ก็จะมีแน่ครับที่ไม่ยอมรับรู้หรือเรียนรู้คุณ เขาจะเป็นตัวเขาโดยไม่สนใจใครแม้แต่คุณ เขาจะแหกกฎแหกคอก แบบนี้คุณก็ต้องเอาพระคุณเข้าลูบเสียก่อน ถ้ายังไม่เปลี่ยนพฤติกรรมหรือกลับตัวใหม่ คราวนี้คุณก็ต้องกล้าที่จะใช้พระเดชโดยไม่ลังเลครับ แต่ขอแนะนำว่าคุณต้องให้ลูกน้องส่วนใหญ่ได้รับรู้เรื่องราว ว่าคุณได้ให้อภัยให้โอกาสในการแก้ตัวใหม่ แก่ผู้ถูกพระเดชเข้าให้นั้น ก่อนแล้ว ทั้งนี้เพื่อให้ลูกน้องส่วนใหญ่เข้าใจและเห็นใจคุณว่าไม่มีทางเลือกอื่น กับการงัดพระเดชมาใช้กับคนแบบนั้น จะเดชเล็กเดชใหญ่แค่ไหนรับรองว่า ลูกทีมจะไม่รู้สึกบีบคั้นอย่างที่คุณวิตกหรอกครับ ที่ผมแนะนำเนี่ยะ มันไม่ใช่วิธีเดียวหรอกนะครับ มันมีอีกหลายร้อยเล่มเกวียน เอาเป็นแนวคิดแค่ว่า จงทำตัวเป็นน้ำครับ ที่ไหลรินอ่อนโยน เย็นชื่นใจ หรือเมื่อต้องตกอยู่ในอีกสภาพ คุณก็สามารถเกรี้ยวกราดน่ากลัวเหมือนคลื่นใหญ่และน้ำป่าไหลหลาก หรือแม้แต่กลายเป็นน้ำแข็งขนาดจมเรือไตเตนิคได้ นั่นแหละคือการใช้พระเดชพระคุณในการบริหารปกครอง โดย: ธีระ ศิริฯ IP: 124.120.171.113 วันที่: 15 ตุลาคม 2549 เวลา:12:23:47 น.
นะพี่..สบายใจยังค่ะ..ถ้าปั้นชาม ไหอย่างพี่ว่าไม่ได้ ก็ปั้นวัวปั้นควายให้ลูกท่านเล่นหรือคนอื่นเล่นก็ได้นิ....อิอิ แอบนอกเรื่องนิดหนึ่งค่ะ...
โดย: so so IP: 58.9.98.91 วันที่: 15 ตุลาคม 2549 เวลา:15:26:07 น.
ถ้าจะให้พูดถึงเรื่องของหัวหน้ากับลูกน้อง คงต้องคุยกันยาว
![]() ในฐานะที่เป็นลูกน้องคนนึงนะ อืม ไม่พูดดีกว่าไม่อยากนินทาหัวหน้ากลางบล็อกคุณ 555++ ![]() โดย: random-4
![]() ตั้งแต่เป็นหัวหน้าก็รู้แล้วว่าการโดนเจ้านายใช้บ่อยน่ะดีกว่าไม่โดนใช้นะ
เพราะแสดงว่าอย่างน้อยเค้าไว้ใจเรา และเชื่อใจเราว่ามีความสามารถพอที่จะทำได้ ตอนนี้ก็กำลังปรับตัวกับบทบาทหน้าที่ใหม่เช่นกันค่ะ ![]() โดย: MaRiMeKKo
![]() โอ๋ โอ๋ หัวหน้า ท่าทางเครียดจังเลยค่ะ วันนี้เลยบ่นยาวเลย...
อย่างงี้แหละเนอะ ก็หัวหน้ากะลูกน้องยืนกันอยู่คนละจุด มุมมองมันก็ต่างกันเป็นธรรมดา...บางที..สิ่งที่หัวหน้ารู้ แต่ไม่บอกลูกน้องเพราะไม่ควรบอกหรือเพราะอะไรก็แล้วแต่..ก็ทำให้ลูกน้องเข้าใจผิดไปได้ หรือบางที..สิ่งที่หัวหน้ารู้ แล้วไม่ควรให้ลูกน้องรู้ แล้วลูกน้องดันรู้เข้าก็สร้างความไม่เข้าใจกันอีก...โอ๊ย...สุดจะซับซ้อนและละเอียดอ่อน...เกินพรรณนา เราเป็นลูกน้อง พยายามทำความเข้าใจหัวหน้าเต็มที่แล้ว คาดหวังให้น้อยที่สุดแล้ว พยายามมองให้แง่ดีแล้ว แต่ก็ยังมีบางที ที่ก็ขัดใจและขุ่นเคื่องใจเหมือนกันแหละ และคิดว่าเวลาเขามองเราทำงานก็คงมีอาการไม่ต่างกัน ก็เลยปล่อยให้มันเป็นเรื่องของแต่ละวันไปดีกว่า ... วันพรุ่งก็ค่อยว่ากันใหม่...หายไวๆ เด๊อ ค่ะ เด๊ออ... โดย: Life's like that IP: 58.64.103.221 วันที่: 15 ตุลาคม 2549 เวลา:23:09:30 น.
แวะมาตอบคำถามครับ
ผมไปปฏิบัติธรรมมาครับ https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=damrongheha&month=09-2006&date=30&group=5&blog=1 พอกลับมาก็เกิดอาการเพี้ยนแบบนี้ https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=damrongheha&month=10-2006&date=08&group=5&blog=1 เรื่องยุ่งยากของนายและบริวาร อ่านแล้วก็ขอเว้นไว้ละกันนะครับ ไม่ออกความเห็น เพราะตัวผมเองก็เป็นนายคนเช่นกัน แต่ถือหลักการปกครองแห่งฟ้าที่ว่า ต๊องส์ บ๊องส์ ดุ ผสมกันไป โดย: ดำรงเฮฮา
![]() โอ้ว..พระเจ้าช่วยกล้วยทอด กลับบ้านสามวัน เนตเจ๊งอีกสามวัน กลับมาอีกทีคุณแอสตัสไปสามบล็อกแล้ว ไม่เป็นไรค่ะ ไล่อ่านเอา เคยไล่อ่านไปจนถึงบล็อกแรกแล้วนี่คะ แต่ขอค่อยเป็นค่อยไปหน่อยไม่ว่ากันนะคะ
ดีใจที่ได้ฟังคุณบ่นอะไรเป็นบ้างอ่ะสิคะ (ยิ้ม) ปล่าว...ค่ะไม่ได้จะคอยตบมือดีใจอะไรหรอกน้า แต่เนี่ยมันบอกได้และยืนยันคำพูดของคุณได้ไงคะ คนเราหนีให้พ้นเรื่องทุกข์มันยากมาก แม้แต่คนที่รู้เท่าทันความทุกข์ มากกว่าฉัน มากกว่าคนอื่นๆก็ต้องเจอ อย่างน้อยก็ได้รู้ว่าคุณก็เป็นคนธรรมดาอย่างที่บอกในโปรไฟล์แหละค่ะ บางทีก็นะคะ...บ่นบ้างเถอะค่ะ ถ้าทำให้สบายใจขึ้นบ้าง ไม่งั้นเราจะมีเพื่อนไว้ทำไมคะ (เดี๋ยวค่ะ ก่อนอ่าน...ยิ้มก่อนนะคะเดี๋ยวเกิดการเข้าใจผิด ทำเสียงเรียบๆในใจด้วยนะ) อืม...ก็เคยมีลูกน้องนะคะ แต่คงบังเอิญโชคดีหน่อยที่ลูกน้องของฉัน ไม่ใช่ประเภทที่ใช้สมองทำงาน ใช้สมองหลบเลี่ยงงาน หรือใช้อัตตาทำงาน แต่เขาใช้แรงงานแลกเงินอ่ะค่ะ เลยปกครองง่ายหน่อย มีบ้างที่งอแงก็งัดเอาความเฉียบขาดมาใช้มั่ง ปกครองคนที่ไม่มีทางเลือกให้ชีวิตมากนักอาจง่ายกว่า ไม่รู้สิคะ...เรื่องแบบนี้ก็คงแล้วแต่ศิลปะของแต่ละคงมังคะ ให้ไปปกครองลูกน้องระดับเดียวกับที่คุณทำฉันอาจต้องนั่ง ร้องไห้วันละหลายสิบครั้งก็ไม่แน่ เมื่อมันไม่ได้อย่างใจ เอาเป็นว่าทำได้ดีที่สุดก็คงแค่ให้กำลังใจและรับฟังนะคะ แต่ไม่ห่วงนะ เพราะเจ้าของบล็อกขอไว้ว่า "แต่ไม่ต้องห่วงผมมากนะครับ" ![]() ![]() ![]() สุขสันต์วันทำงาน และขอให้เรื่องไม่สบายใจทั้งหลายผ่านคุณไปเร็วๆค่ะ โดย: บรรณภรณ์
![]() ขอบคุณทุกท่านไล่ตั้งแต่คุณแพ็ทเรื่อยมาจนถึงคุณบรรณภรณ์
และท่านอื่นถ้าจะมีคอมเมนท์ต่อท้าย ผมก็ยินดีและขอบคุณด้วยเช่นกัน สุขก็ไม่เที่ยง ทุกข์ก็ไม่เที่ยง นั่งดูจิตมันชักคะเย่อกับทุกข์อยู่คืนนึงกับอีกวันเศษๆ ก็เห็นว่าไม่มีอะไรที่ควรจะบ่นมากไปกว่าที่รู้ ที่เห็น ตอนนี้มันไปแล้วครับ ![]() โดย: aston27
![]() ชอบที่คุณข้างบนบอกว่า
ต้องมีทั้งพระเดชและพระคุณค่ะ เห็นว่าจะจริง ทุกข์มาเดี๋ยวก็ไปค่ะ แต่มันไปเที่ยวเดี๋ยวก็กลับมาอีก อิอิ ^^ โดย: I am just fine^^
![]() ลุง
สู้ๆ โดย: ก๊าบเป็ด IP: 124.120.14.188 วันที่: 19 ตุลาคม 2549 เวลา:22:50:39 น.
สู้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆนะครับ
โดย: พๆ IP: 118.173.244.46 วันที่: 12 กันยายน 2551 เวลา:14:13:28 น.
สวัสดีน๊าาา ทักทายจ้า
![]() โดย: สมาชิกหมายเลข 6258618
![]() |
บทความทั้งหมด
|
สมัยวิกฤตเศรษฐกิจ ต้องเป็นคนตัดสินใจเลือกลูกน้องที่จะให้ออก คนที่ออกมันก็ไม่เคยเข้าใจตัวเองเลยว่าตัวเองนั้นทำงานเป็นยังไง คิดแต่วันตัวเองนั้นทำงานได้ดีมาก ๆ ทั้ง ๆ ที่ใครก็เห็นว่าวัน ๆ เอาแต่เล่น ไม่สนใจจะพัฒนางานของตัวเองเลย.
ลูกน้องคนนั้น ไม่พูดไม่จากับผมไปนาน แต่พอออกไปทำงานที่ใหม่ก็ตั้งอกตั้งใจขยันหมั่นเพียรทำงานทุกอย่างแม้ไม่ใช่หน้าที่ตัวเอง มาเจออีกครั้งนึงคราวนี้ได้ดิบได้ดีเป็นหัวหน้าคนในบริษัทใหญ่ไปแล้ว แต่เจอกันครั้งนี้รู้สึกได้เลยว่าเขาดูเป็นมิตรกับเรามากขึ้น ไม่มองเราเป็นหัวหน้าที่ทำร้ายเขามาก่อน คนเราเมื่อมีประสบการณ์มากขึ้น ก็อาจเข้าใจอะไรได้ดีขึ้นก็ได้ โดยเฉพาะเมื่อคุณได้ขึ้นมาเป็นหัวหน้าเองก็จะรู้.