ผมติดหนี้คุณดุสิตาไว้ ในสองบล็อคก่อนหน้านี้
สัญญาว่าจะมาอธิบายว่า ที่คุณดุสิตาบอกว่า..
"หรือการไม่รับรู้ข่าวสารอะไรเลย
จะช่วยให้เราพ้นทุกข์ .." ยังไม่ใช่คำตอบน่ะครับ
เพราะอย่างที่เกริ่นไว้ในบล็อคโน้น..ว่า
ถ้าเป็นแบบนั้นจริง คนหูหนวก ตาบอด ก็บรรลุธรรมกันหมดแล้ว
แต่ถ้าคุณดุสิตาจะหมายถึงการพ้นทุกข์ ในแบบทางโลก
คือพ้นจากทุกข์ที่เจออยู่เป็นเรื่องๆ
การถอยห่าง ไม่รับข่าวอะไรบ้าง ก็ช่วยได้จริงๆนะครับ
อย่างผมอ่านข่าวการเมืองแล้วทุกข์ เพราะหงุดหงิด เบื่อ
ผมก็เอาสติตามรู้ความเบื่อตัวเอง แล้วก็เลือกจะงดรับข่าวการเมืองลงบ้าง
อันนั้นผมเรียกว่าช่วยบรรเทาทุกข์ ทางใจตามปกติ
แต่ถ้าจะเอาขนาดพ้นทุกข์ แบบ ทางธรรม คือนิพพานไปเลย
การปิดหู ปิดตา ปิดใจ ไม่รับรู้อะไรเลย ถือว่าผิดหลักครับ
เพราะคนเรานั้นจะพ้นทุกข์ได้ด้วยปัญญา
ปัญญาที่ทำให้เราพ้นจากความยึดมั่นถือมั่นทั้งหลาย
ปัญญาตัวนี้ ไม่ใช่ปัญญาจากการเรียนด้วยการอ่าน การฟัง การถาม
เป็นปัญญาที่เรียกว่า ภาวนามยปัญญา
เป็นปัญญาที่มาได้จากการเจริญสติ เข้าไปรู้ไปเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงตามธรรมชาติของกายและจิต
ถามว่า.. แค่รู้ แค่เห็นธรรมชาติของกายและจิต จะช่วยอะไรได้
ตอบว่า.. ต้องลองทำเอง..
คือ.. พูดตามทฤษฎี คนเราถ้าเห็นอะไรบ่อยๆ ก็จะเข้าใจได้ โดยไม่ต้องอธิบาย
ความเข้าใจนั่นแหละคือปัญญา
ตามทฤษฎีนะครับ.. เราไม่พ้นจากทุกข์ เพราะเรายังมีความเห็นผิดอยู่
ว่ากายนี้ ใจนี้ เป็นตัวเรา เป็นของเรา ว่ามันเที่ยง มันบังคับได้
การที่เราเห็นความจริง ที่เกิดขึ้นในกาย ในจิตเราบ่อยๆ
มันจะค่อยๆบอกเราว่า ความจริงแล้ว กายนี้ ใจนี้ ไม่ใช่ตัวเรา
ตัวเรา ไม่เคยมี มีแต่ธาตุที่มาประกอบกันเป็นกาย ที่เสื่อมถอยไปเรื่อยๆ
อันนี้หลายๆคนคงเห็น คงสังเกตได้
จิตเราไม่เคยมี มีแต่ความยึดมั่นในอุปาทาน ขันธ์ทั้ง 5 ว่าด้วย รูป เวทนา (ความรู้สึก) สัญญา (ความจำ) สังขาร (การคิดปรุงแต่ง) และวิญญาน (การรับรู้)
พูดแบบนี้ รับรองว่างงกันเป็นแถบๆ
แต่ก็อย่างที่บอก.. ว่ามันคือทฤษฎี ไม่ช่วยอะไรมากมาย
พระพุทธเจ้าก็ทรงบอกว่า ไม่ต้องเชื่อหรอก ให้ลองพิสูจน์ด้วยการปฏิบัติเอง แล้วจะเห็นเอง
ในโลกนี้ มีคนที่รู้ทฤษฎีแบบละเอียด จำพระไตรปิฎกได้เป็นตู้ๆ แต่ไม่เคยเข้าถึงจริงๆ เพราะไม่เคยปฏิบัติ ก็เยอะนะครับ
สมัยพุทธกาลก็มีอยู่ ปัจจุบันก็ยังมี ในหนังเรื่อง the Matrix มอร์เฟียร์ซ ก็พูดว่า Knowing the path มันเป็นคนละเรื่องกับ walking the path
รู้ว่าทางนั้นมีอยู่ ก็ไม่สู้ เดินไปบนทางนั้น
ถามว่า.. คนเราเป็นคนดี มีศีล ไม่เบียดเบียนใคร ไม่พอเหรอ
ตอบว่า.. ก็แล้วแต่ว่าเราจะมองในระดับไหน
การเป็นคนดี มีศีล ไม่ทำผิดคิดชั่ว อันนี้ในระดับทางโลกก็ดีนักหนา ตายไปก็ได้เป็นเทวดา หมดบุญก็ว่ากันใหม่
เวียนลงมาเกิดใหม่ วัดดวงเอา
แต่ถามว่า ถ้าเราเกิดมา มีสติปัญญา มีโอกาสได้เกิดในแผ่นดินธรรมของพระเจ้าอยู่หัวฯ
ที่พระองค์เอง ก็ใฝ่ใจในการเจริญสติวิปัสสนาอยู่อย่างยิ่งยวด
ได้เจอ ได้อยู่ใกล้พุทธศาสนาแค่เอื้อม
เราจะทิ้งโอกาสที่จะได้สัมผัสของดี ที่ไม่รู้ว่าเกิดชาติหน้าจะมีโอกาสอีกไหม ไปทำไม
แต่ทั้งหลายทั้งปวง ก็แล้วแต่บุญ กุศล บารมีของแต่ละคนนะครับ
ผมบอกได้แค่ว่า ทางนั้นมีอยู่ แต่ท่านจะเดินไปหรือไม่
ก็สุดแท้แต่.. ผมไม่ทุกข์ ไม่บังคับ เพราะผมเข้าใจ ผมเคยอยู่ในสถานะคนนอกศาสนามาก่อน
และศาสนาพุทธ ไม่ได้เน้นการชวนใครมานับถือกราบไหว้พระพุทธเจ้า
เราเป็นศาสนาแห่งปัญญา ไม่ใช่ศรัทธา
เราเจริญในศาสนาในโลก ด้วยการนำของสติ ไม่ใช่ศรัทธา
ผมบอกได้แต่ว่า.. ทางนี้ เป็นทางที่เดินแล้วเป็นสุข
เดินแล้วเราอยู่กับโลกได้ ด้วยความทุกข์ที่น้อยลงๆ
ไม่ต้องฝืน ไม่ต้องกดข่มบังคับอะไร แต่ก็ไม่ไหลไปกับกระแสของกิเลส จนหาทิศทางไม่เจอ
ผมบอกได้เท่านี้.. และอวยพรให้ทุกท่านมีโอกาสได้เดินบนทางเส้นนี้ ไม่วันใดก็วันนึง

*****************************
ที่จริง.. ผมกะว่าวันนี้จะมาเขียนเล่าบางมุมของตัวเองให้คุณรู้จัก
เพราะผมรู้ว่า หลายคนสงสัย ว่า aston27 ตัวจริงเป็นใคร
เป็นคนยังไง
แต่พอลงมือเขียนจริงๆ ตัวหนังสือมันไหลไปทางโน้นเสียนี่
งั้นก็เก็บไว้โอกาสหน้าก็แล้วกันนะครับ วันนี้ยาวแล้ว
สุขสันต์วันเสาร์ครับ วันนี้อากาศดีจัง

เพราะผมรู้ว่า หลายคนสงสัย ว่า aston27 ตัวจริงเป็นใคร
เป็นคนยังไง
อ้าว...งั้นเหรอคะ
งั้นเรามาลงชื่อรออ่านคนแรกเลยค่ะ