
ยังครับ บ้านผมน้ำยังไม่ท่วม แต่ปีนี้ท่าทางน้ำจะดุเอาการ เลยยังไม่แน่ว่ากทม.จะรอดไหม
ที่จริง หลายๆที่เขาก็ท่วมกันแล้ว เพียงแต่ปกติกทม. ค่อนข้างมีความสามารถในการระบายน้ำ อีกทั้งผมอยู่และทำงานในเขตที่ค่อนข้างโชคดี ที่น้ำไม่ค่อยท่วม หรือท่วม ก็ห้ามท่วมนาน ก็เลยไม่ค่อยได้ผลกระทบมาก
สมัยเด็กๆ ยุคนึง... (มีคนบอกว่าคนเราพอแก่ลงจะชอบพูดเรื่องวัยเด็ก เอิก..

)
จำได้ว่าเวลามีคนทำแบบสอบถามว่า ผู้ว่ากทม. ในดวงใจต้องมีคุณสมบัติอย่างไร ผลออกมาว่า ต้องแก้ปัญหาน้ำท่วมได้ มาเป็นอันดับแรกๆ ตีคู่มากับเรื่องจราจร
สมัยเด็กกว่านั้นอีก ตอนผมยังอยู่เชียงใหม่ จำได้ว่ามีน้ำท่วมใหญ่ครั้งนึง สนุกมาก ตอนนั้นไม่ค่อยรู้สึกว่าเดือดร้อน เพราะบ้านเป็นเรือนไม้ ใต้ถุนสูง ยิ่งตอนน้ำท่วมใหม่ๆ น้ำยังค่อนข้างสะอาด มีปลามาว่ายให้ดูอีกต่างหาก ไม่สนุกก็เวลาเดียว คือตอนที่มีงูหนีน้ำมาเลื้อยขึ้นบ้านนี่แหละ
สำหรับเด็กเล็กๆแบบผม น้ำท่วมกลายเป็นเรื่องสนุกมากกว่าเรื่องน่าเดือดร้อน เพราะได้เล่นน้ำ โรงเรียนก็หยุด เว้นแต่มันท่วมหลายๆวันจนน้ำเริ่มจะไม่สะอาด ส่งกลิ่น
แต่ยิ่งโตขึ้นๆ กลับรู้สึกว่า น้ำท่วมเป็นเรื่องไม่สนุก น่าเบื่อ และชวนลำบากมากขึ้นทุกที
แปลกดีนะครับ น้ำท่วมเหมือนๆกัน สมัยนึงคิดอย่างนึง มองมันอย่างนึง พอเวลาผ่านไปกลับคิดอีกแบบ รู้สึกอีกแบบ
สมัยเด็กๆ ผมชอบตามอาม่า (ย่า) ไปโรงเจบ่อยๆ อย่างที่เคยเล่า จำได้ว่าสมัยผมเล็กๆ ผมรู้สึกว่าโรงเจที่ว่า มันใหญ่มากเลย
หลังจากผมเข้ามาเรียนในกรุงเทพ แล้วย้อนกลับไปเชียงใหม่ทีไร ผมก็ชอบจะไปโรงเจนั่นทุกครั้ง ทุกๆครั้งจะรู้สึกว่า โรงเจแห่งนั้น ดูเล็กลงๆ เรื่อยๆ
หลายปีก่อนผมได้ไปเยี่ยมพระราชวังต้องห้าม ในปักกิ่ง และได้เห็นสถาปัตยกรรมจีนที่พูดได้ว่า ใหญ่จริงๆ เล่นเอาโรงเจอันใหญ่โตในวัยเยาว์ของผม กลายเป็นศาลพระภูมิไปเลย
เวลาที่แตกต่าง มันทำให้มุมมองเราเปลี่ยนไป โดยเฉพาะมุมมองต่อปัญหา ต่อโลก และชีวิต
ใครที่คิดว่าปัญหาที่คุณเจอในวันนี้ มันใหญ่โต หนักอึ้ง และเกินจะทานทน ลองอึดๆ อดทนหน่อยเถอะครับ ผ่านมันไปให้ได้ แล้วอีกหลายๆปี หลังจากนี้ คุณอาจจะนึกขำด้วยซ้ำ ที่วันนี้เราแทบจะลงไปดิ้นพราดๆให้กับทุกข์ตัวนี้
เมื่อเวลาผ่านไป ทุกครั้งที่เรามองย้อนกลับมา เราจะเห็นว่ามันเล็กลงๆ เรื่อยๆอย่างไม่น่าเชื่อ
แต่ถ้าไม่มีปัญหาอะไร ก็ไม่ต้องดิ้นให้มันมีขึ้นมาล่ะครับ
หลับฝันดีครับ

แวะมาอ่านค่ะ...