ธรรมะ อยู่ไกลๆ จริงเหรอ??
ผมมีเหตุอยู่หลายข้อ ที่ทำให้ต้องหันกลับไปมองตัวเองอย่างจริงจังอีกครั้ง เมื่อช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา จนถึงเดือนที่แล้ว
ที่จริงข้อธรรมคำสอนที่ผมได้ยินได้ฟังมามันก็มีไม่น้อย
แต่เชื่อไหมครับว่า.. บางข้อนี่..ได้ฟังมาสิบกว่าปี
ถึงจะเข้าถึงจริงๆว่า ความหมายมันคืออะไร
ผู้รู้ท่านสอนว่า.. ธรรมะ อาจเข้าใจได้
แต่เข้าถึงไม่ได้..ด้วยการฟังแล้วคิด
เหมือนคนไม่เคยกินโรตีบอย ได้แต่กลิ่นแต่ขี้เกียจไปยืนต่อคิวแบบผม
ถึงจะเห็นจะอ่าน จะฟังคนบรรยายให้ละเอียด แจ่มชัดยังไง
ก็คงไม่เท่าการรับรสที่ผ่านลิ้นของเราเอง
ธรรมะ ก็มักเป็นแบบนั้นแหละครับ
สมัยเด็ก ผมมักจะนึกภาพเหมือนๆหลายท่านตอนนี้ ว่า..
ธรรมะคืออะไรสักอย่าง.. สูงๆ .. อยู่ไกลๆ.. จะเข้าถึงได้ ต้องหลับตา
ต้องนั่งสมาธิ ต้องเดินจงกรม ต้องนุ่งขาวห่มขาว
ต้องอยู่ในวัด หรือในห้องพระ ต้องอยู่ในที่เงียบๆ
จนเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ผมเพิ่งตระหนักว่า ธรรมะ ไม่ได้อยู่ไกลอย่างที่เราคิด
มันอยู่ในทุกขณะจิต ในตัวเรา รอบๆตัวเรา
มันคือธรรมชาติของกาย ธรรมชาติของจิต
ถ้าเราอยากเห็นธรรม ก็เพียงแค่ "รู้สึกตัว" แบบ สักว่ารู้สึกตัว
ไม่ถลำไปจ้อง ไม่บังคับ แต่ไม่ไหลตามมันไป
เป็นการรู้สึกตัวแบบ "ทางสายกลาง"
เหมือนเราดูละคร โดยไม่ชะโงกหน้าไป ไม่ไปพยายามแต่งเรื่องให้เขาใหม่
เราก็จะเห็นความจริงแห่งธรรมชาติ ของกายและจิต
ว่าไม่มีอะไรเลย ที่เกิดขึ้นตั้งอยู่ แล้วไม่ดับไป
จะความโกรธ หรือความรัก
ความเฉยๆ หรือวุ่นวาย
ความทุกข์ หรือความสุข
มันล้วนแต่มา อยู่สักพัก แล้วก็ไปตามกาล
ยกตัวอย่าง
เมื่อวานมีโทรศัพท์ใครบางคน ที่ผมไม่สบายใจจะคุยด้วยแล้ว
โทรเข้ามือถือผม
ความรู้สึกแรกคือตกใจ สับสนว่าควรจะรับดีไหม
แล้วความไม่อยากก็ตามมา
ผมรับไปหนึ่งครั้ง พูดธุระเท่าที่จำเป็นด้วยความสุภาพ
พอครั้งที่สอง เทวดา ท่านคงสงสารผม
โทรศัพท์เลยแฮงค์ ไปซะงั้น
ผมคิดกังวลอยู่สักพัก ว่าเธอจะเข้าใจว่า
การรับโทรศัพท์ครั้งแรก คือสัญญานบวกของผม
และจะยังโทรมาอีก เรื่อยๆ
ตอนที่เห็นชื่อเธอบนโทรศัพท์นั่นคือความรู้สึกตกใจ
พอมันจบลง ความสับสนเกิดขึ้นแทน ว่าจะรับไม่รับ
ตามมาด้วยความกังวล ซึ่งก็เกิดหลังจากความสับสน
แล้วสักพักก็สงบ ไปวุ่นวายเรื่องอื่นต่ออีก
เห็นไหมครับว่าอารมณ์มันเกิดขึ้นไวมาก
มันเกิด ดับ เกิด ดับ เพราะจิตคนเราเกิดดับตลอดเวลา
เหมือนกระแสไฟฟ้าจากหลอดไฟ ที่กระพริบๆๆๆๆๆ
แต่เราไม่เคยเห็นด้วยตาเปล่า ว่ามันกระพริบ
เราเห็นแค่ความสว่างที่เกิดมาต่อเนื่องเป็นสาย
ไม่ต้องหลับตา ไม่ต้องอยู่ในวัด ไม่ต้องนุ่งขาว
ไม่ต้องทิ้งความเป็นสาวทันสมัย หรือหนุ่มไฮโซ
เห็นได้แม้ภายใต้เมคอัพหนาเตอะ หรือบนรองเท้าปราด้า
ไม่ต้องนั่งสมาธิ แต่นั่งรถเมล์รถพอร์ช ซีรีส์เจ็ดก็เห็นได้
ว่านี่คือธรรมชาติของจิต ที่ทำงานตลอดเวลา
แต่ไม่มีอารมณ์ใดคงที่ เที่ยงแท้ แน่นอน
มันเกิดมา แล้วก็ดับไป ทั้งนั้น
นี่ก็คือการปฏิบัติธรรมง่ายๆแต่ได้ใจความแล้วครับ :)
ถ้าไม่ยากไป ก้อ ยาวไปแล้ว สำหรับ คนสมาธิสั้นๆ แบบน้อง
ไม่รู้ว่า ปฏิบัติ ในที่นี้ หมายถึงไปเข้าคอร์ส อะเปล่า เพราะไม่เคยไปอ่าค่ะ
พี่พูดถึงตรง
หลอดไฟ ที่กระพริบๆๆๆๆๆ
น้องก้อ งง ก่งก๊ง แล้ว อ่า
แต่วันนี้ฟัง ไฟล์ พระอาจารย์ที่พี่ส่งให้ (พึ่งฟังไปสาม เหลืออีกหนึ่ง)
ก้อจำมาได้ตอนที่ท่านบอกว่า
อารมณ์ ไม่ต้องเพ่ง ไม่ต้องจับผิด
แค่ดูก็พอ
โกรธ ไม่ใช่ตัวเรา คิดถึง ไม่ใช่ตัวเรา ดีใจไม่ใช่ตัวเรา
เหมือน รถบุพชาติวิ่งผ่าน หอม ก็ให้รู้
เหมือน รถ ขยะ วิ่งผ่าน เหม็นก็ให้รู้
ผ่านไป ไม่ต้องต้าน
เข้าใจถูกเป่า ชมหน่อยๆ
เหลืออีกไฟล์นึง ประมาณชั่วโมงกว่ามั้งคะ
ไว้รบกวน ขอ"ทาง" เพิ่ม นะคะ
อ้อ บุญยังไม่ได้ขยายไปถึงอาเจ๊ เพราะว่า เค้าติดสอบ ไป ขอนแก่น ถึงจะสิบวันกลับนะคะ