จาก เรื่องล้างกรรม.. ถึง Lost In Translation
เมื่อวานที่เขียนเรื่องสัตว์เลี้ยงไป ..
มีข้อความของคุณแม่น้องนับ run to me เจ้าประจำถามว่า..
"เมื่อคืนอ่านเรื่องกรรมแล้ว คุณ aston เชื่อเรื่องการทำบุญลบล้างกรรมมัย มันลบล้างกันได้เหรอ ที่เค้าเขียนมาก็ดูมีเหตุผลนะ แต่...บุญก็ส่วนบุญ บาปก็ส่วนบาป มันลบกันได้ก๊ะ..."
แม่น้องนับเข้าใจถูกต้องแล้วก่ะ ..
บุญกับบาปเป็นคนละตัวกัน.. และเราเป็นศาสนาที่ไม่เชื่อเรื่องการล้างบาป..
แต่ .. (ขอเน้นตรง "แต่" อีกที) เราเชื่อว่าการทำความดี สร้างกุศลในระดับที่มากพอจะช่วยเจือจาง บรรเทาผลของทุกข์นั้นได้
ผมเคยได้ฟังผู้รู้ที่เป็นครูบาอาจารย์หลายท่าน หลายสำนักสอนตรงกัน เลยอนุมานว่าพระพุทธเจ้าจะทรงเคยใช้วิธีเปรียบเทียบนี้มาก่อน.. ว่า..
ถ้าเปรียบบาปอกุศล ที่เราทำเป็นเกลือกำมือหนึ่ง เปรียบกุศลผลบุญ ความดี เป็นเหมือนน้ำเปล่า
สมมติบุญกุศล มีปริมาณเท่าน้ำหนึ่งแก้ว เอาเกลือใส่ลงไปในแก้ว ถามว่าน้ำจะเค็มไหม.. ควรจะใช่ไหมครับ.. เค็มมากๆด้วย
แต่สมมติเราหมั่นทำความดี ด้วยความตั้งใจดี กุศล ผลบุญที่เราสร้างเหมือนน้ำที่เติมเข้าไปทีละแก้ว ทีละแก้ว
หรือถ้าบุญใหญ่หน่อบ กลายเป็นถัง และที่สุดแล้วปริมาณกุศล มันเพิ่มเป็นซักโอ่งใหญ่ๆโอ่งนึง
ถามว่า.. เกลือจะหายไปไหม.. ไม่นะครับ ความเค็มของเกลือก็ยังอยู่ แต่ปริมาณน้ำสะอาดที่เราเติมเข้าไปๆๆ มันจะช่วยเจือจางให้รสเค็มนั้นมันเจือจางลง
ฉันใดฉันนั้น บาปกรรมที่เราทำไว้ มันไม่เคยหายไปไหนหรอก มันก็เป็นเกลือที่รอเวลาจะถูกโยนลงมาในบ่อชีวิตของเรา
ถึงเวลานั้น ก็ขึ้นกับว่า เรามีปริมาณน้ำใสๆเย็นๆ อยู่เท่าไหร่ ถ้ามันมากมายเท่าสระว่ายน้ำหรืออ่างเก็บน้ำ เราก็อาจจะแทบไม่รู้สึกถึงความเค็มเลยก็ได้
********************
คุณๆรู้จักหนังเรื่อง Lost in Translation ไหมครับ
หนังเล็กๆที่แสดงโดย บิล เมอร์เรย์ กับ Scarlett Yohannson เรื่องของดาราวัยดึก ที่ไปทำงานในโตเกียว แล้วไปสนิทกับสาวน้อยที่เพิ่งแต่งงาน
หนังเรื่องเรื่องนี้กำกับโดย โซเฟีย คอปโปลา ลูกสาวของ ฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลา ผู้กำกับที่สร้าง GodFather ทั้งสามภาค ให้เป็นหนังขึ้นหิ้งอมตะสะท้านโลกมาแล้วนั่นแล
ถามว่าหนังสนุกไหม.. ไม่สนุกเลยครับ เป็นหนังประเภทต้องปีนกระไดดูพอสมควร เพราะต้องใช้ความสามารถในการเดาว่าตัวละครมันคิดอะไร ตลอดเวลา
แถมเขาก็จะเดินเรื่องเนือยๆ เหมือนดู Reality show ของผู้ชายวัยใกล้ 60 คนนึง ที่ไม่ทำอะไรนอกจากกินแล้วก็นอน
แต่จู่ๆ เมื่อวานนี้ .. ผมก็เริ่มเข้าใจความหมายของ Lost In Translations ขึ้นมาโดยมิได้นัดหมาย
ผมมาคิดได้ว่า.. ไอ้ Translation มันมีสองความหมาย ระหว่างการแปลภาษาต่างด้าว ให้เป็นภาษาที่เราเข้าใจ
กับอีกอันคือการแปลภาษาไทย ให้เป็นไทยนี่แหละ
คนเรานี่ ถ้าฟังภาษาญี่ปุ่น เยอรมัน บัลแกเรียน ฮิบบรู สวาฮิลีไม่เข้าใจ มันปกติน่ะครับ เข้าใจได้ เหมือนที่บิล เจอในหนัง
แต่ถ้าคนใกล้ตัว พูดภาษาไทย หรือต่อให้อังกฤษเหมือนกันอย่างในหนัง แล้วแปลความหมายไม่ตรงกัน บ่อยๆ หรือแทบจะตลอดเวลา มันลำบากนะครับ มันจะเหนื่อยมาก
เหมือนที่สการ์เล็ตท์ รู้สึก Lost เพราะสามีไม่เข้าใจภาษา และความรู้สึกของเธอ
ผมว่า.. บางที.. ถ้าเราจะเพียงแค่ "ฟัง" เขา ในสิ่งที่เขาพูด โดยไม่ต้องพยายาม "แปล" มากเกินไป มันอาจจะดีกว่านี้
เช่นถ้าสามีคุณบอกว่า.. วันนี้กับข้าวเค็มไปนิดนะ ก็ไม่ต้องไปแปลว่า สามีกำลังคิดว่า.. ว่าฝีมือทำกับข้าวเธอห่วยมากสู้แฟนเก่าไม่ได้ ฯลฯ
เพราะมันมีความหมายแค่กับข้าวถ้วยนั้นมันเค็มไปนิด เท่านั้นแหละ
หรือถ้าบอกว่า.. วันนี้เขาเหนื่อยมาก เขาอาจจะอยากฟังเราเล่าเรื่องอะไรให้ฟัง แต่ไม่อยากพูดมาก ก็ไม่ควรจะแปลว่า เขารักเราน้อยลง หรือกำลังว่อกแว่กไปคิดถึงคนอื่น
เพราะมันมีความหมายแค่.. เขาเหนื่อยและอยากได้กำลังใจเฉยๆ
ผมว่า คู่ไหน คนไหน ที่มีการสื่อสารที่ดี ชนิดหลับตา พูดกันคำเดียว ก็เข้าใจทะลุ (ในทางที่ดีด้วยนะ) ชาติที่แล้วคุณท่าทางจะทำบุญมาดีมาก
แต่ถ้าไปเจอคู่ที่พูดว่าเทา ก็พยายามคิดว่ามันขาว หรือดำ
พูดว่าขาว ก็พยายามคิดว่า มันจะขาวได้นานแค่ไหน
พูดว่าดำ ก็พยายามคิดว่า สงสัยจะพูดว่าดำกับเราคนเดียว กับคนอื่นคงพูดขาวหมด
ไม่พูดอะไร ก็คิดอีกว่ากำลังไม่พอใจอยู่แน่เลย ..
อันนั้น lost in translation แล้วล่ะมัง
หวังว่าคุณๆจะไม่เจอและไม่เป็นอาการนั้นนะครับ
สุขสันต์วันพฤหัสบดีครับ
จ๊ะเอ๋ๆๆ
ทานมื้อเช้ายังคะ ^^