ตั้งใจจะเขียนบล็อคใหม่ตั้งแต่วันจันทร์
แต่ไม่รู้ล็อคอินผมมีปัญหาอะไร ทำยังไงก็ไม่ยอมให้เปิดเข้าแก้ไขบล็อคตัวเอง
สงสัยอาจจะเป็นเพราะทางบล็อคแก๊งพันทิพ เขากลัวผมจะเขียนถึงตัวผมเองแล้วจะเสื่อมเสียถึงบล็อค ก็เลยบล็อคล็อคอินผมไปซะงั้น ฮ่าฮ่า
อันนี้พูดเล่นนะครับ
แต่ที่พูดจริงๆคือ ถ้าการเขียนบล็อคมันมีพิษร้ายเหมือนยาเสพติด ผมคงจะลงแดงไปแล้ว
พูดถึงเรื่องเสื่อมเสีย เมื่อวานไปทานมื้อกลางวันที่โรงอาหารของตึกที่ทำงาน
เห็นไทยรัฐวางอยู่ มีรูปฟ้าชายจิ๊กเม กอดกับสาวหมวย
ข้อความประกอบข่าวประมาณว่า เป็นภาพที่เผยแพร่ในอินเตอเนท และเป็นที่กล่าวขวัญกันว่าเสื่อมเสีย
เพราะผู้เชี่ยวชาญว่า น่าจะเป็นการตัดต่อภาพมากกว่าของจริง
ผมอ่านแล้วก็อมยิ้ม เพราะความจริง ที่น่ากลัวกว่าอินเตอเนท ก็คือไทยรัฐ
คนที่ตัดต่อรูป ก็ไม่น่ากลัวเท่าบก.หน้าหนึ่ง
อินเตอเนทแพร่ไป อย่างมากก็ถึงคนแค่กลุ่มเดียว ไม่กี่เปอร์เซนต์ของประเทศ
แต่พอไทยรัฐลงปุ๊บ คราวนี้ได้เผยแพร่กันจากดอยแม่สลอง เชียงแสน ไปถึงนราธิวาส
เห็นกันหมดไม่ว่าจะมีคอมพิวเตอร์ หรือไม่มีคอม ติดอินเตอเนท หรือไม่ติด
อย่างผมเล่นเนทมานาน ผมก็ไม่เห็นจะได้ FWD mail ที่ว่า แถมยังไม่รู้เรื่องอะไร จนกระทั่งไทยรัฐเอามาลงนั่นแหละ
ผมเลยไม่รู้ว่าตกลงไทยรัฐ เอามาตรฐานอะไรมาตัดสินว่า คนที่เผยแพร่ในเนทนี่ทำให้เสื่อมเสีย ไม่สมควร
แต่ตัวเองเผยแพร่ได้เป็นรูปใหญ่ สมควรต้องลง เพื่อไม่ให้ประชาชนถูกปิดหูปิดตา?
เรื่องรูปนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรก มีมาแล้วหลายกรณี
ถ้าใครจำได้กรณีที่เจ้าตัวเขาลุกมาสู้แล้วชนะด้วย คือคุณใหม่ เจริญปุระ
ผมเรียนสื่อสารมวลชนมา ผมเข้าใจว่ามันเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง ในการทำธุรกิจของสื่อ
แต่ผมก็จำได้ว่าผมถูกสอนว่า สื่อมวลชน ต้องมีจิตสำนึกและจรรยาบรรณ
ผมถึงเคยบอกในหลายที่ว่า.. ผมไม่เคยรู้สึกเลยว่า รัฐบาลนี้ปิดหูปิดตาประชาชน
ในทางตรงข้าม ผมเห็นว่าสื่อมวลชนบ้านเราโดยเฉพาะหนังสือพิมพ์มีอภิสิทธิ์คับฟ้า
เขียนด่ารัฐบาลได้ทุกวัน ลงรูปอนาจาร รูปพระเสพเมถุนโจ๋งครึ่ม แม้แต่ลงรูปฟ้าชายจิ๊กเม่ ที่ตัวเองก็เขียนว่า เป็นเรื่องไม่สมควรจะเผยแพร่
หนังสือพิมพ์บางฉบับด่าในเล่มอย่างเดียวไม่พอ เปิดเว็บไซท์ด่าอีก จัดรายการทีวีพอโดนถอดเพราะพาดพิงสถาบัน ก็จัดเวทีสัญจร ไปด่าว่ารัฐบาลเผด็จการอีก
ที่น่าแปลกคือมีคนเชื่อ .. เยอะด้วยสิครับ
แม้ในเวลาต่อมาจะมีการชี้มูลลงมาว่า สิ่งที่นักหนังสือพิมพ์ท่านนั้นพูดจะเป็นการกล่าวหาที่คลาดเคลื่อน
คนที่เชื่อก็ไม่ได้ใส่ใจประเด็นเหล่านั้น ยังคงปักใจเชื่อสิ่งที่ลุงแกพูดต่อไป
จนผมตกใจว่า.. ตกลงมาตรฐานใหม่ของสื่อบ้านเรามันเปลี่ยนไป
จากที่เราเคยเชื่อว่า.. ต้องเสนอข่าวโดยปราศจากอคติ ซึ่งผมเชื่อว่าไม่มี ตราบใดที่นักข่าวยังเป็นมนุษย์
ต้องนำเสนอความเป็นจริง ทั้งสองด้าน
กลายเป็นถ้านำเสนอข่าวด้านลบของรัฐบาล แปลว่ามีจุดยืน
ถ้าลงข่าวด้านบวกของรัฐบาล แปลว่าโดนแทรกแซง หรือยอมสยบใต้อำนาจรัฐ
ถ้าเอาเรื่องเสื่อมๆของศาสนาก็ดี คนดังที่ไหนมาลงหน้าหนึ่งได้ แปลว่าเก่ง
ถ้าเอาเรื่องดีๆในสังคมมาลง มันขายไม่ได้ มันจรรโลงโลกเกินไป
ผมเห็นความเป็นไปของหนังสือพิมพ์บ้านเราแล้วก็หม่นๆในหัวใจยังไงบอกไม่ถูก
นี่ถ้าบ้านเราไม่มีในหลวงที่มีพระบารมีสูงอย่างรัชกาลปัจจุบัน
ผมไม่กล้านึกเหมือนกัน ว่าสนธิจะกลายเป็น Jean-Paul Marat คนที่สองขึ้นมาหรือเปล่า
ใครอยากรู้เรื่อง Jean-Paul Marat เชิญหาอ่านได้ที่นี่นะครับ //www.bloggang.com/viewdiary.php?id=littletiger&month=03-2006&date=19&group=1&blog=2
ขออนุญาตพี่เสือน้อยกลอยใจไว้ ณ ที่นี้เลย
ส่วนเรื่องที่ผมบอกว่าจะมาเขียนถึงตัวเองให้คุณรู้จัก
ผมว่าผมเป็นคนธรรมดาน่ะ เขียนไปก็ไม่มีอะไรตื่นเต้น
เขียนแล้วคุณอ่านจบก็จะปาหมอนเสียเปล่าๆ
เอาเป็นว่า ในฐานะผู้ใฝ่ใจในการปฏิบัติด้วยการเจริญสติในกาย ในจิต
ผมเห็นอย่างนั้นจริงๆ ว่าผมเป็นมนุษย์ธรรมดา เหมือนคนอื่นๆ
มีดี มีเลว มีเจริญ มีเสื่อม มีบาป มีบุญ มีกรรมดี กรรมชั่ว
ถ้าจะมองในส่วนเลว
หลายๆอย่างของความเป็นผู้ชายที่ในห้องสวนลุมฯเขาด่าๆกัน
ผมก็เคยทำมาแล้ว ผมไม่ได้ดีหมดจดตั้งแต่เกิดหรอกครับ
ทุกวันนี้ ความอยากก็ยังมีเกาะเต็มไปหมด ยังมีโลภ มีโกรธ มีหลง รอคิวจะมาจ๊ะเอ๋ ในทุกขณะจิตเหมือนเดิม
อาจารย์ผมเคยสอนว่า.. ถ้าจะหาคนหลายใจที่สุดในโลกนี้มาสักคน ไม่ต้องมองไปไกล มองเข้ามาข้างในตัวเอง แล้วจะเห็น ว่าจิตเรานี่แหละ หลายใจที่สุด
เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวชอบใจสิ่งนี้ เดี๋ยวไม่ชอบใจสิ่งนี้
อารมณ์ทั้งหลายเกิดขึ้นโดยเหตุและปัจจัย เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาทุกขณะจิต
เริ่มต้น ด่าคนอื่น ลงท้ายด่าตัวเอง ยุติธรรมดีนะครับ
เราก็อยู่ห้องสวนลุมเป็นหลักเหมือนกันนะคะ