ก้อนทุกข์ก้อนนั้น ไม่ได้จะมาเล่าเรื่องของโรส ที่ร้องเพลง ก้อนหินก้อนนั้น ไม่ได้จะมาพูดถึงพี่ดี้ คนที่เขียนเนื้อร้องเพลงนี้ เป็นแต่เขียนตอบคอมเมนท์ของคุณตู่ไป ในบล็อคที่แล้ว แล้วรู้สึกว่ามันน่าจะเอามาใส่ไว้ในบล็อคใหม่เลย บล็อคนี้จะเป็นบล็อคที่ 201 แล้วครับ ที่ผมเขียน ส่วนมากถ้าอ่านมาตั้งแต่แรก ผมจะชอบพูดเรื่องพุทธในแง่มุมต่างๆให้ฟัง เพราะผมเป็นคนโชคดี ที่มีครูดี มีกัลยาณมิตรที่ดี ได้รู้ได้เห็น ได้รู้จักว่า ศาสนาพุทธโดยเนื้อแท้ เป็นอย่างไร แต่เชื่อไหม ตลอดชีวิตผมเคยเรียนโรงเรียนที่เป็นพุทธแค่สี่ปี นอกจากนั้น ผมโตมาในโรงเรียนคริสต์มาตลอด เรียนรู้จักการเข้าโบสถ์ ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า เรียนพระคัมภีร์ ฯลฯ ครั้งนึงผมเคยนึกลองใจพระเจ้าเล่น ว่าถ้าท่านอยากให้ผมเปลี่ยนศาสนา ลองมาคุยกับผมสิ อันนั้นเป็นวิธีคิดห่ามๆ แบบเด็กๆนะครับ เพื่อนๆชาวคริสต์โปรดอย่าเข้าใจว่าผมมีเจตนาร้าย แต่ท่านก็ไม่มา ผมก็เลยนึกเอาว่า ท่านคงมองเห็นว่า ผมจะไปทำให้ศาสนาท่านป่วนเสียเปล่าๆ แต่ผมมาเรียนรู้เอาในภายหลังว่า.. คนขี้สงสัยแบบผม ไม่เหมาะจะเป็นชาวคริสต์ เพราะผมเป็นคนไม่ชอบการเอาศรัทธานำหน้า ผมจะเผชิญหน้ากับศาสนาด้วยคำถามว่า .. ทำไม ทำไม ทำไม และทำไม แล้วผมก็ใช้ชีวิตด้วยความประมาทไปเรื่อยๆ ด้วยความทะนงในความฉลาด ความดี ความแสนรู้ของตัวเอง จนลืมไปว่า แสนรู้นี่ เขาเอาไว้ใช้กับหมา.. วันนึง.. ผมเกิดจับผลัดจับผลู ไปตั้งคำถามกับชีวิตขึ้นมาอีกว่า.. เฮ้ย.. คนเราเกิดมานี่ ทำยังไงมันถึงจะไม่มีทุกข์ มันมีทางไหม ที่จะมีสุขถาวร ไม่ใช่สุขๆทุกข์ๆ สุกๆดิบๆ ทำยังไงชีวิตมันถึงจะดีขึ้นๆ ทุกข์น้อยลงๆ ก่อนหน้านี้ ผมเป็นคนชอบสวดมนต์อย่างเดียว นั่งสมาธิบ้างนิดหน่อย ไปทำบุญบ้าง ตามโอกาส ก็เหมือนคุณๆ ทั่วๆไปแหละ พอผมมีคำถามแบบนั้น.. ผมก็เริ่มอธิษฐานว่า ถ้าผมเป็นคนมีบุญพอ ถ้าผมทำความดีอะไรมามากพอ ผมขอให้มีช่องทางให้ผมได้เข้าใจความหมายของบทสวดที่ผมสวดอยู่บ่อยๆนี่ด้วยเถอะ กายานะขันโธ เวทนาขันโธ สัญญาขันโธ สังขารขันโธ วิญญานะขันโธ กุสลาธัมมา อกุสลาธัมมา เหตุปัททะวา.. อะไรเนี่ย อันนี้ จริงเท็จประการใด โปรดใช้วิจารณญาน เพราะหลังจากนั้นไม่นาน ผมก็เริ่มรู้จักใครบางคน ที่บอกผมว่ามีสอน วิปัสสนาที่นั่นที่นี่ ผมก็เริ่มไปเรียน ไปลอง ผิดบ้าง ถูกบ้าง ผมใช้เวลาลองผิดลองถูกอยู่หลายปีนะครับ กว่าจะเจอครูบาอาจารย์ที่.. ถูกใจใช่เลย มะงุมมะงาหราอยู่นาน เกือบสิบปี กว่าจะได้คำตอบที่แน่ใจ ว่าผมเดินถูกทางแล้ว สิ่งหนึ่งที่ผมชอบในศาสนาของพระพุทธเจ้าคือ ท่านไม่ได้เริ่มสอนด้วยการบอกว่า.. จงมาเชื่อเราเถิด จงมาศรัทธาในตัวเรา จงมากราบไหว้เรา แล้วเราจะนำทางท่านไปสวรรค์ ไปนิพพาน..เปล่าเลย ท่านเป็นศาสดาที่ "แนว" มาก ท่านเป็นพวก Alternative ด้วยการบอกว่า.. อย่าเชื่อตถาคต แต่ธรรมะของตถาคตนี่ ท่านจงเอาไปทดลองทำตามวิธีที่ตถาคตบอก แล้วค่อยตอบตัวเอง ว่ามันใช่ หรือไม่ใช่ ท่านเป็นศาสดาที่บอกว่า.. การเดินตามท่านไม่ได้ประโยชน์เท่ากับ.. เดินตามคำสอนของท่าน เป็นศาสดาที่บอกว่า.. ตถาคตเป็นแค่คนบอกทาง แต่พวกเธอต้องเดินเอง ท่านไม่เคยบอกว่า.. ถ้าเป็นพุทธแล้ว ห้ามกราบไหว้อะไร ห้ามไปยุ่งกะศาสนาอื่น เข้าโบสถ์ไม่ได้ ท่านเพียงแต่บอกว่า.. ไม่มีศาสนาไหนสอนให้เข้าใจเรื่องอริยสัจจ์ สี่ แบบที่ท่านสอน ไม่มีใครแจกแจงต้นสายปลายเหตุ และบอกความดับของการเวียนว่ายตายเกิดแบบที่ท่านทำ การปฏิบ่ง ปฏิบัติธรรม ที่พูดๆกัน จุดเริ่มต้น คือการทำความรู้สึกตัว ทำเท่านั้น ไม่มีอะไรมากมาย ทำเนืองๆ ทำบ่อยๆ แล้วจะเกิดสติ เมื่อเกิดสติตัวจริง อันประกอบด้วยสมาธิ ก็จะสะสมสิ่งที่เรียกว่าปัญญา สะสมมากเข้าๆ ปัญญาตัวนี้ก็จะทำให้เรา "แจ้งในอริยสัจจ์" ถามว่า ผมแจ้งหรือยัง ยังครับ แต่ทำแล้วผมได้คำตอบ ได้ความเข้าใจเรื่อง "ทุกข์" "ทุกข์" เป็นธรรมตัวแรก ในอริยสัจจ์ สี่ ที่พระพุทธเจ้าสอน เป็นธรรมที่พื้นๆ ใกล้ตัว แต่สำคัญมาก เพราะถ้ารู้จัก เข้าถึง เข้าใจทุกข์ จริงๆ คุณก็ใกล้มรรคผล นิพพานแล้ว วิธีการเข้าใจทุกข์ ภาษาแขกเขาเรียกว่า "วิปัสสนา" ครับ เครื่องมือของ วิปัสสนา เขาเรียกว่า "สติ" ผมตอบคอมเมนท์ของน้องตู่ ในบล็อคก่อนว่า "ง่า... สตินี่ เพ่งเอาไม่ได้นะครับ สติเป็นเครื่องมือของวิปัสสนา แต่เพ่งเมื่อไหร่ มันจะเป็นการบังคับจิตให้จดจ่อกับอะไรอย่างนึง มันเป็นเรื่องของสมถะไป จิตจะนิ่งๆ แต่เพ่งมากๆ (จิต)มันจะไม่นุ่มนวล จะแข็งๆ ทื่อๆ (จิตที่ฝึกมาดีในทางพุทธ คือจิตที่นุ่มนวล อ่อนโยน ว่องไว ปราดเปรียว มีกำลัง ไม่ซึมๆ ทื่อๆ) เบื้องต้นถ้าไม่สบายใจ ไปทำอะไรก็ได้ ให้สบายใจก่อน อยากดูหนัง ชอบดูหนัง ไปดูหนัง อยากฟังเพลง ชอบฟังเพลง ไปฟังเพลง (อยากกินของอร่อย กิน) พอจิตสบาย คลายตัวแล้ว ค่อยเริ่มดู ดูสบายๆ ไม่ต้องเกร็ง ไม่ต้องบังคับ ไม่ต้องเพ่ง เห็นว่ามันเป็นยังไง ก็รู้ไปเท่านั้น ถ้าไม่ไปอยากได้ อยากทำอะไร (ทุกข์)มันก็จะแสดงไตรลักษณ์ให้เราเห็น ว่ามันก็เป็นแค่ธรรมชาติอย่างนึงในโลก เหมือนฟ้าครึ้มฝน แล้วก็ตก แล้วก็หยุด หยุดแล้วฟ้าก็ค่อยๆสว่าง ถึงบอกเสมอว่า .. จิตตก ก็เรื่องของจิตมัน ไม่ใช่เรื่องของเรา แต่ที่เราทุกข์ เพราะเรายังยึดถือว่าจิตเป็นตัวเรา พอจิตมันทุกข์ มันตก เราก็ไปแบกความรู้สึกนั้นมาด้วย เหมือนเรามีลูก พอลูกไม่สบาย ไอ้คนที่ทุกข์ยิ่งกว่าลูกเอง คือพ่อแม่นั่นแหละ ทั้งๆที่ ทุกข์จากความเจ็บป่วยนั้นเป็นของลูก ไม่ได้เกิดที่ตัวพ่อแม่ แต่พ่อแม่มีความยึดถือ ว่าเด็กคนนี้เป็นของเรา ทุกข์นั้นก็เลยมาเกิด เพราะความยึดถือนั้นเอง " ถ้าคุณเคยอ่านนิยายกำลังภายใน คุณคงจำได้ว่า.. ศัพท์นึงที่เขาใช้กันเสมอคือ.. สูงสุดคืนสู่สามัญ กระบวนท่าที่เยี่ยมยุทธที่สุด คือ ไร้กระบวนท่า การปฏิบัติธรรม หรือวิปัสสนา ในความหมายนี้ ก็เหมือนกัน สิ่งที่ดีที่สุดที่เราจะได้เรียนรู้ ก็คือสิ่งที่อยู่กับเรา ทุกวัน ทุกลมหายใจ เราเพียงแต่ไม่เคยสังเกต ไม่เคยสนใจ ไม่เคยเรียนรู้จากมัน นั่นคือสิ่งที่เรียกว่า "ธรรมะ" หรือ "ธรรมชาติ" ของตัวเราเอง เวลาเราไปเจอก้อนทุกข์ เราจึงมีความเคยชิน ที่จะเข้าไปหยิบ ไปอุ้ม ไปแบกมันไว้ เพราะสำคัญผิดว่า มันเป็นของเรา มันคือของเรา แต่ในขณะเดียวกัน ก็เกลียดมันยิ่งกว่าอะไรในโลก พิลึกดีไหมครับ ไม่ชอบมันหรอก ไอ้ทุกข์เนี่ย แต่เจอทีไร เข้าไปแบกมันไว้ พยายามวิ่งหนีมัน แต่ก็แบกเอามันไปด้วย .. วันไหนที่ทุกข์มันคลายไป ลองย้อนไปสังเกตสิครับ ว่ามันเบาๆ สบายๆ ไม่เหมือนตอนที่แบกทุกข์ไว้ กระบวนการย้อนเข้าไปดู นี่แหละ ที่เรียกว่า การ "ดูจิต" เป็นการรู้สึกตัว เป็นจุดเริ่มของวิปัสสนา วิปัสสนาทำได้ ง่ายนิดเดียวครับ ดูเหมือนง่ายค่ะ แต่มันก็ยาก รู้เฉยๆ รู้สบายๆ รู้โดยไม่แทรกแซง นานๆ มันถึงจะแว๊บมาที แหะๆ ขอบคุณสำหรับคำแนะนำค่ะ มือใหม่จะพยายามต่อไป
โดย: Together In 80s Dream วันที่: 8 มิถุนายน 2550 เวลา:9:04:15 น.
alternative
^ ^ หนูชอบจัง แนวๆ แบบนี้ ดูชีวิตมีทางเลือกดี อิอิ เคยอ่านเจอในหนังสืออะไรซักอย่าง เขียนไว้ประมาณว่า ฝุ่นมาเกาะกระจก ถ้าไม่อยากให้ฝุ่นเกาะก็อย่าให้มีกระจก เอ่อ หนูจำไม่ได้แม่นนะคะ ไม่แน่ใจว่าใช่เรื่องยึดมั่นถือมั่นหรือเปล่า ตอนนั้นอ่านก็เออๆ เนอะๆ เข้าใจๆ แต่ตอนนี้ลืมไปแล้ว -_- ยินดีกับบล็อกดีดีที่ 201 ด้วยนะคะ ^^ โดย: I am just fine^^ วันที่: 8 มิถุนายน 2550 เวลา:9:15:24 น.
วันนี้ฟังเพลงคลาสสิคบ้างนะครับ เคยมีคนบอกว่าธรรมะของพระพุทธเจ้า เหมือนจันทร์ในคืนเดือนเพ็ญ สวยงาม กระจ่าง นวล เย็น ให้ฟัง Clair De Lune ของ Debussy ครับ โดย: aston27 วันที่: 8 มิถุนายน 2550 เวลา:9:18:10 น.
คุณพี่ Together In 80s Dream
ส่วนมากที่ยาก.. เพราะพยายามทำด้วยการ "คิด" เอาน่ะครับ ตอนทำไม่เป็น ทำไม่คล่อง มันจะยาก เหมือนหัดขี่จักรยาน หัดขับรถใหม่ๆ อะไรๆ มันก็ดูเก้งก้าง ขัดเขิน แต่ทำๆไปแล้วก็ชิน คล่อง สบาย แอม.. อันนั้นเป็นนิทานของพวกเซ็น หลักการคล้ายกันครับ.. เขาพูดถึงธรรมของเว่ยหล่าง คือเคยมีพระรูปนึงแสดงธรรมว่า กายเหมือนต้นโพธิ์ ใจเหมือนกระจกที่แขวนอยู่บนต้นโพธิ์ คือพวกชอบทำสมถะ เขาจะเปรียบเหมือน พวกที่ขยันหมั่นปัดกวาด ทำความสะอาดกระจก ไม่ให้มีฝุ่นเกาะ ฝุ่นคือพวกกิเลส ความเศร้าหมอง แต่เว่ยหล่างบอกว่า.. ถ้าไม่มีต้นโพธิ์ ไม่มีกระจก .. แล้วฝุ่นจะเกาะอะไร สมัยนึงผมอ่านแล้วคิดจนสมองโป่งว่า.. แล้วมันจะไม่มีกาย ไม่มีจิต ไม่มีกิเลสได้ไงวะ ก็มันเห็นอยู่ทนโท่ ตอนหลังถึงเข้าใจว่า.. มันเหมือนกับที่เด็กหัวเหม่ง ในเรื่อง Matrix บอกนีโอว่า "There is no spoon" คือสิ่งนั้นมีอยู่ แต่ความยึดถือในสิ่งนั้นไม่มี ช้อน จริงๆ ก็คือธาตุอย่างนึง ที่เรา "สมมติ" กันว่า มันเรียกว่า ช้อน ฝรั่งเรียก spoon คนจีนเรียก ..... ลืมละ... คนที่บรรลุธรรม ไม่ได้แปลว่า ไม่มีกาย ไม่มีจิต แต่ความยึดมั่นในกาย ในจิต ไม่มี งงมั้ยนี่ โดย: aston27 วันที่: 8 มิถุนายน 2550 เวลา:9:29:14 น.
ขอบคุณสำหรับสิ่งดีๆที่นำมาฝากค่ะ
มาทักทายยามเช้าที่สดใส ขอให้มีความสุขกับวันศุกร์นะคะ โดย: เพียงแค่เหงา วันที่: 8 มิถุนายน 2550 เวลา:10:04:57 น.
บลอคนี้รวมหลายสิ่งที่ผมคุ้นเคยในชีวิตเลยครับ
เพลงคลาสสิค เซน ธรรมะ และ การแบกทุกข์ ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ได้เรียงจากมากไปหาน้อย หรือน้อยไปหามากนะครับ อยากร่วมแจมความรู้สึกที่ว่าดูเหมือนง่าย แต่มันยากบ้าง รู้สึกว่า บางครั้งมันยากเพราะมันก้ำๆกึ่งๆ เช่นความคาดหวังอะไรที่เป็นไปไม่ได้ไปเลยนี่จะไม่ค่อยเสียใจ ตัดใจง่าย ลืมความผิดหวังง่าย แต่อะไรที่ก้ำๆกึ่งๆไม่รู้จะเดินหน้าดี หรือบอกตัวเองว่าหยุดดีนี่สิที่ชอบทำให้ทุกข์ ดูเหมือนที่ผมยกตัวอย่างนี่มันเลื่อนลอยจัง พูดถึงกรณีทั่วๆไปในทุกๆด้านเลยน่ะครับ โดย: อะไรคือสิ่งหายาก แต่ไม่มีค่า วันที่: 8 มิถุนายน 2550 เวลา:12:04:40 น.
แก่นของศาสนาพุทธ..คือปรัชญาค่ะ..
อิชั้นเข้าใจถูกมั้ยคะ.. โดย: i'm not superman วันที่: 8 มิถุนายน 2550 เวลา:12:50:35 น.
อืม เพราะผมยังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้มั้งครับ มันก็ยังคงยากสำหรับผม
ตั้งแต่เล็กจนโตถึงทุกวันนี้ ผมยังคงไม่เข้าใจอะไรหลายๆอย่างเกี่ยวกับพุทธศาสนา ตั้งแต่เรื่องง่ายๆจนถึงเรื่องยากๆ เช่นการนั่งสมาธิ ผมกลับสงสัยว่าจะต้องนั่งจนถึงเมื่อไรเราถึงมีสมาธิ แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเรามีสมาธิแล้ว ทุกวันนี้ ผมก็ได้แต่ปรับ ประยุกต์ไปใช้ในชีวิตประจำวันของผมเท่านั้นครับ โดย: Takeaway วันที่: 8 มิถุนายน 2550 เวลา:15:18:17 น.
ยินดีกับบล็อกที่ 201ค่ะ
คิดเอาเองนะคะว่า ขณะที่ใจฝักใฝ่หาธรรมะที่แท้จริง ความชัดเจนในคำสอนของพระพุทธเจ้าจะค่อยๆมาหาเรา ให้เราได้ปฏิบัติ ตอนนี้ตัวเองกำลังเลือกเดินตามคำสอนถึงได้มาเจอบล็อคของคุณแอสตัน ที่มีแต่เรื่องดีๆ เรื่องที่อยากรู้ ขอบคุณนะคะ และจะลองไปปฏิบัติตามดู แต่ว่าอ่านรอบเดียวยังตีโจทย์ไม่แตกค่ะ คงต้องกลับไปอ่านอีกรอบ แล้วก็ขออนุญาตcopy ไปแปะข้างโต๊ะทำงานนะคะ ก่อนที่เราจะสามารถระลึกรู้ได้เอง คงต้องค่อยๆคิดตามไปก่อนใช่มั้ยคะ ขอบคุณอีกครั้งค่ะ โดย: ยาเขียว วันที่: 8 มิถุนายน 2550 เวลา:17:48:51 น.
คุณพี่...
วันนี้ จอยเอาก้อนหินก้อนเล็กๆที่แบกไว้เมื่อวาน โยนทิ้งไปแล้วล่ะค่ะ จริงๆ ก็รู้ทั้งรู้นะคะ ว่าไปแบกไว้มันก็ไม่ดี ต่อไปนี้ จะพยายามทำอย่างที่พี่เอ๊ดว่าไว้ จะได้รู้สึก เบา สบายๆ อารมณ์ดีๆ ได้ทุกๆวัน สุขสันต์วันสุขค่ะ โดย: ยิ้มหวานตาโต (joyaccy ) วันที่: 8 มิถุนายน 2550 เวลา:18:33:23 น.
ขอเขวี้ยงหินทิ้งด้วยคนค่ะ
ขอบคุณที่เอาเรื่องดีๆ มาฝากกันนะคะ โดย: the Vicky วันที่: 8 มิถุนายน 2550 เวลา:20:36:13 น.
น่าเดินค่ะ
.. .. ขอบคุณนะคะ วันนี้เข้าใจได้มากขึ้น อีกนิดนึงแล้วค่ะ .. .. ปล ดูท่าคุณพี่จะชอบเรื่องตั้งจิตอธิษฐานนะคะ โดย: azamiya วันที่: 8 มิถุนายน 2550 เวลา:21:54:17 น.
ป้าเอาบุญมาฝากอ่ะจ่ะ โดย: ป้าหู้เองจ่ะ (fifty-four ) วันที่: 8 มิถุนายน 2550 เวลา:22:28:50 น.
ขอบคุณที่เขียนบทความดี ๆ ให้อ่านนะคะพี่เอ๊ด
ทุกวันนี้ยังเผลอประจำเลยค่ะพี่ โดย: นักรักโลกมายา วันที่: 8 มิถุนายน 2550 เวลา:23:45:09 น.
เพลง "ก้อนหินก้อนนั้น" คงเป็นบทเพลงในใจของคนหลาย ๆ คนค่ะ น่าจะทุกคนทีได้เคยฟังก็ว่าได้
พอ ๆ กับ "ฤดูที่แตกต่าง" กัน "live & learn" ค่ะ เกิดมาก็ต้องมีความทุกข์ค่ะ มีใครบ้างไม่เคยมี ไม่มีหรอกค่ะ หนังสือหลาย ๆ เล่ม ตำราหลาย ๆ เล่ม มี how to บอกว่า ทำอย่างไรให้พ้นทุกข์ อิ อิ เราไม่เชื่อค่ะ ยังไงความทุกข์ก็ต้องกลับมาอยู่คู่โลก คู่คนเราอยู่เสมอ แต่จะทำอย่างไรให้อยู่กับความทุกข์นั้นได้โดยไม่เบียดเบียนใจเราให้มากจนเกินไปจนอยู่ในโลกนี้ไม่ได้เท่านั้นค่ะ โดย: ปุ๊กกี้&คิตตี้ (ปุ๊กกี้&คิตตี้ ) วันที่: 9 มิถุนายน 2550 เวลา:10:01:40 น.
จากใจที่ร้อนๆมาพอเข้า Blog นี้ที่ไร
หายทุกร้อนทุกที และทำให้คิดอะไรได้หลายอย่างๆ ก่อนปิดหน้านี้ด้วย โดย: Cheerfully วันที่: 9 มิถุนายน 2550 เวลา:12:43:08 น.
มีอยู่ช่วงอยากไปฝึกวิปัสสนามาก แต่ก็ไม่
ไปเพราะรู้สึกว่า สมองฟุ้งซ่าน กลัวไปทำไม่ได้ แต่พออ่านแนวทางของพี่แอสตัน แล้วรู้สึกว่า เราก็สามารถทำได้นะ ฝึกจิตง่ายนิดเดียว โดย: นู๋ปิ๋มมี่ วันที่: 9 มิถุนายน 2550 เวลา:12:54:38 น.
แปลกจังค่ะ .. เข้ามาอ่านบล็อกนี้แล้วไม่สงบแบบเดิมแล้วอ่ะ
จากที่เคยอ่านแล้วเย็น สงบ รู้ว่าสติอยู่ที่ไหนยังไง วันนี้กลับทำไม่ได้แล้ว หรือเพราะป้าร้อนมากไปคะคุณแอสตัน? ป้ายังปลงไม่ได้ใช่ไหมเนี่ย เอาเหอะ ร้อนใจก็รู้ว่าร้อนใจ เครียดก็รู้ว่าเครียด เอางี้ก่อนดีกว่า บ้าเมื่อไหร่ก็คงโดนจับส่งศรีธัญญาเองล่ะค่ะ แต่ป่านนั้นคงจะไม่รูตัว 555+ ยังไงก็ตาม ขอบคุณนะคะสำหรับข้อคิดดีๆที่เผื่อแผ่เสมอ วันหน้าป้าจะย้อนกลับมาอ่านใหม่นะคะ วันนี้อ่านแล้วไม่เข้าใจจริงๆ สงสัยวันนี้ป้าจะอยู่ในโหมด บัวใต้น้ำแล้วโดนหินทับแน่ๆเลยอ่า โดย: ป้า (สะพานดาว ) วันที่: 9 มิถุนายน 2550 เวลา:13:23:33 น.
วันนี้มีความสุขดีค่ะ
เรื่องที่ยังไม่เกิดจะไม่ไปกังวล.. ป.ล. ยินดีกับบล็อคที่ 201 นะคะ โดย: mint_candy วันที่: 9 มิถุนายน 2550 เวลา:17:27:25 น.
สวัสดีวันอาทิตย์ ตอนสายๆ
ขอให้มีความสุขเพราะคุณเอ็ด...แบ่งความสุขให้พี่... สมการความสุข โดย: พี่แหม๋ว...ฟ้าสั่ง:) (ฟ้าคงสั่งมา ) วันที่: 10 มิถุนายน 2550 เวลา:10:53:19 น.
แวะเข้ามาเก็บข้อคิดค่ะ
ใครจะนึกว่าแค่คำๆ เดียว ศรัทธา...จะเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ เชื่อมั่น...ก่อตัะวเป็นแรงผลักดัน และทุกๆ อย่างล้วนสำเร็จด้วยใจ โดย: Hot Vanilla วันที่: 10 มิถุนายน 2550 เวลา:11:56:09 น.
อ่า ภาวะจิตตกของผมขยายเป็นบล็อกได้ เยี่ยมเลยครับพี่
อ่านแล้วแม้จะเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง ทำได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ก็จะนำเอามาปรับใช้ ไม่เพ่งเกินไป ไม่ปล่อยไหลเกินไป ทำจิตให้เหมือนนิ่งและเย็นเหมือนน้ำ น่าจะดีกว่า ผมคิดถูกไหมครับ โดย: getterTu วันที่: 10 มิถุนายน 2550 เวลา:17:03:11 น.
โหย...
คุณเอ็ด พี่มีความสุขม๊ากมาก i was born to love youuuuuu!!!! ไม่เคยขอเพลงไหน นานขนาดนี้ และแล้วคุณเอ็ด...ก้อทำให้พี่มีความสุขดั๊บเบิ้ล โดย: พี่แหม๋ว...ฟ้าสั่ง:) (ฟ้าคงสั่งมา ) วันที่: 10 มิถุนายน 2550 เวลา:17:55:57 น.
ลุงพอหนูอ่านมาจากที่ลุงเขียน คนที่หนูนึกถึงคือหลวงพ่อปราโมทย์ ไม่รู้ว่าใช่รึป่าวค่ะ
เพระเวลาฟังท่านเทศน์ ท่านก็จะบอกว่าธรรมมะเป้นของง่าย ให้เรารู้สึกตัว อย่าเผลอ เสียใจก็รู้ว่าเสียใจ มีความสุขก็รู้ว่ามีความสุข หนูเป็นอีกคนที่เคยได้รู้จักลุง และเพื่อนๆในไซเล้งมานานหลายปี แต่เพิ่งมีบุญได้หันมาสนใจเรื่องการเจริญสติ ดูจิต แล้วสนใจฟังหลวงพ่อปราโมทย์เทศน์ไม่นานนี่เองค่ะ ปล.จำหนูได้ปะคะเนี่ย เรามีรูปถ่ายคู่กันด้วยนะ ตอนรับปริญญา 555 โดย: ความรักทำให้โลกอ่อนหวาน วันที่: 10 มิถุนายน 2550 เวลา:21:01:16 น.
เมื่อศุกร์เสาร์ที่ผ่านมา ได้เจอเพื่อนอีกกลุ่มหนึ่งค่ะ ระหว่างนั่งกินอาหารเช้า ก็ไม่รู้ใครจุดประเด็นขึ้นมา แล้วก็เลยนั่งคุยกันยาว เรื่องวัด เรื่องธรรมะ และเพื่อนๆหลายคนที่พยายามจะชักชวนเพื่อนกลุ่มนี้ให้ศึกษาธรรมะ เลยเถิดมาถึงตอนเย็นกำลังขับรถกลับ เพื่อนคนหนึ่งในหลายๆคนที่ว่าก็โทรมา แต่ก็ตกม้าตายตรงที่ ค่อนขอดว่าเอาเวลาไปปฏิบัติธรรมดีกว่าไปดู Jazz festival เล่นเอาวงแตก แต่ระหว่างที่กำลังโมโหจี๊ดกันอยู่ ก็รู้ตัวค่ะว่าจี๊ด..ด..ด แล้ว โดย: HoneyLemonSoda วันที่: 10 มิถุนายน 2550 เวลา:21:45:27 น.
โอ้โห แฟนๆ Blog พี่ผมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ไม่ได้เข้าแป๊ปเดียว ขึ้นหลัก 30 อย่างรวดเร็ว ข้อเขียนและสาระดีๆที่พี่นำมาเสนอ ล้วนเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่อ่านและคิดตามจริงๆครับ ผมคิดตามที่พี่เขียน แล้วสังเกตอะไรได้นิดนึง เจ้าก้อนทุกข์ที่พี่ว่าส่วนใหญ่มาจากจิตที่ปรุงแต่งให้มันเป็นทุกข์ทั้งนั้นเลยนะ ถ้างั้นไอ้เจ้าความทุกข์จริงๆ หรือเนื้อแท้ของทุกข์ที่ไม่ได้มาจากจิตที่ปรุงแต่ง มันคืออะไร แล้วตกลงนี่หมายความว่าความทุกข์ คือสัมผัสทั้ง 6 ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันสร้างความทุกข์ขึ้นมาเอง (Comment ยาวตามภาษาคนคิดมากอย่างผม 5555) ปล.โชคดีจริงๆที่ได้ฟังเพลง Live and let die จบก่อนไปถึงมาบุญครอง อิอิ โดย: Tony KooN (tk_station ) วันที่: 10 มิถุนายน 2550 เวลา:23:43:39 น.
เห็นรูปที่ป้าหู้เอามาฝากแล้ว น้ำตาคลอเลย
ขอบพระคุณนะครับ คุณเพียงแค่เหงา สุขสันต์ทุกวันเลยนะครับ คุณตี๋คุง ที่มันยากไม่ใช่เพราะมันก้ำกึ่งหรอกครับ แต่เพราะเราพยายามเข้าใจ และแก้ทุกอย่างด้วยความคิด เราไม่ได้แก้ด้วยสติจริงๆ คือตราบใดที่ยังเป็นแค่ความคิด มันยังไม่ใช่ของจริง วันนี้คิดดีได้ พรุ่งนี้ก็คิดร้ายได้ คุณ i'm not superman ผมพูดว่า แก่นของศาสนาพุทธ คือการมีสติ ปัญญา ดีกว่าครับ เคยได้ยินผู้รู้ท่านว่า พุทธจริงๆ ไม่ใช่ปรัชญาหรอก มันดีกว่านั้นอีก ปรัชญา มันยังเป็นเรื่อง "พูด" และ "คิด" เอา แต่การรู้จักตัวเองจริงๆ เราใช่แค่ สติ ความรู้สึกตัว เราไม่คิดเอา ไม่บรรยาย ไม่พูด ปัญญาที่ได้จากปรัชญา ได้จากการคิด วิเคราะห์ แต่ปัญญาของพุทธ เป็นปัญญาที่ได้จากการรู้ เห็น ประจักษ์ความจริงของธรรมชาติ ธรรมชาติ ของกาย และจิต เราเอง ธรรมชาติที่ว่า มันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และไม่ใช่ตัวเรา ที่เรียกว่า รู้ธรรม ก็คือรู้เท่านี้แหละครับ คุณเบิ้ล สมาธิไม่จำเป็นต้องนั่งก็เกิดได้ครับ แค่เรามีจิตจดจ่อในการทำอะไร อย่างใดอย่างนึง ก็ชื่อว่าเรามีสมาธิแล้ว เช่นมีสมาธิในการฟัง อ่าน ดู เดิน ยืน นั่ง นอน แต่ถ้านั่งสมาธิในรูปแบบ ที่หลับตานั่งขัดสมาธิ มือขวาทับมือซ้าย อะไรนั่น ถ้าจิตมันสงบ ไม่ฟุ้งซ่าน จดจ่ออยู่กับอารมณ์กรรมฐานอันใดอันหนึ่ง ก็ถือว่า มีสมาธิแล้ว คุณ ยาเขียว อนุโมทนาครับ จอย ดีแล้วนะ.. แต่ถ้ามันโยนไม่ไป ก็ให้รู้ทัน ว่ามันยังกอดไว้ โยนทิ้งแต่ไม่ไป แล้วไม่ชอบใจ รู้ว่าไม่ชอบใจ ชอบหรือไม่ชอบ ไม่ใช่ปัญหา ถ้าชอบแล้วรู้ว่าชอบ ไม่ชอบใจ ก็รู้ว่าไม่ชอบ the Vicky ยินดีด้วยครับ azamiya อธิษฐานแบบนี้ ไม่เป็นไรครับ ไม่ใช่อธิษฐานขอหวย แบบนี้ ไม่ดี หวัดดี รี เราไม่ได้ฝึกวิปัสสนา ไม่ให้เผลอนะรีนะ อย่าเข้าใจผิดล่ะ.. เราฝึกเพื่อให้รู้ทันว่า จิตมันเผลอบ่อยๆ ไม่ใช่ฝึกไม่ให้มันเผลอ เรารู้ทัน เพื่อจะได้เห็นว่า จิตมีความเผลอเป็นธรรมชาติ เดี๋ยวก็เผลอไป หลงไป คิดโน่น คิดนี่ ถ้าฝึกบังคับไว้จะเป็นสมถะ จิตจะนิ่ง จิตจะสงบ ด้วยแรงกดข่มบังคับ ไม่ใช่สงบด้วยสติ ด้วยปัญญา แบบวิปัสสนา มันต่างกันนะครับ หน้าที่ของผู้เดินสายวิปัสสนา เราไม่ทำอะไรมาก ไม่ทำเกินกว่าการ "รู้" ไม่บังคับ ไม่กดข่ม แค่ "รู้" แต่มันเผลอเมื่อไหร่ พยายามรู้ให้ไวๆ ฉะนั้น ครูบาอาจารย์สายนี้ ถ้าเราส่งการบ้านว่า เราเผลอบ่อย เผลอทั้งวัน วันละเป็นร้อยๆ พันๆครั้ง ท่านจะชมว่า ดีแล้ว ทำได้ดี แต่ถ้าวันนึงเผลอน้อยมาก แค่วันละหนสองหน หรือไม่เผลอเลย แปลว่า เราไม่ค่อยเห็น เราไม่ทัน หรือไม่ก็โดนจิตหลอก เพราะในความจริง พี่เคยแอบนั่งนับ ว่าจิตมันเผลอไปทำงานเอง โดยที่พี่ไม่ได้บังคับ ชั่วโมงนึงกี่ครั้ง นับเมื่อไหร่ ได้เกิน 300 ครั้ง ทุกทีสิน่า ฉะนั้น เผลอบ่อย เป็นเรื่องธรรมชาติ ถ้ารู้ว่าเผลอบ่อย อันนั้นดีนะ แต่เผลอนาน ไม่ดีนะครับ :) คุณปุ๊กกี้&คิตตี้ ... มีตำรานึงที่เชื่อได้ว่าช่วยให้คนพ้นทุกข์ได้จริงนะครับ มีคนทำได้มาเยอะแล้ว .. ตำรานั้นชื่อ มหาสติปัฏฐานสูตร คุณพูดถูกเผงเลย ความทุกข์เป็นความจริงที่คู่กับโลกและมนุษย์ ถ้าจะหลุดพ้นจากทุกข์ได้ ก็ต้องวิจัย ศึกษามันให้ถ่องแท้ สิ่งที่สอนในมหาสติปัฏฐานสูตร ก็พูดเรื่องนี้แหละครับ ให้เริ่มต้นด้วยการรู้สึกตัว เพื่อให้ถ่องแท้ว่า กายเรา จิตเรา มีธรรมชาติอย่างไร ธรรมทั้งหลาย รวมอยู่ในกายและจิต เท่านี้เอง ทุกข์ทั้งหลาย ก็เกิดขึ้น ที่กายและจิต เท่านั้น เข้าใจ กายและจิต ก็เข้าใจทุกข์ เข้าใจทุกข์ ด้วยปัญญาขั้นสูงสุด และมากพอ ก็จะรู้เอง ว่าทางจะหลุดพ้นจากทุกข์เป็นอย่างไร โดย: aston27 วันที่: 8 ตุลาคม 2550 เวลา:11:17:45 น.
|
บทความทั้งหมด
|