![](//waymagazine.files.wordpress.com/2009/11/cv-way291.jpg?w=300&h=379)
...ผมคิดว่่าส่วนที่ผมพูดหรือเขียนอะไรไว้มันก็ค่อนข้างมากนะ ความคิดเหล่านั้นคงไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรไปมากนัก ถ้าวันไหนบังเอิญมีใครเขาเติบใหญ่ขึ้นมา คนรุ่นหลังเขามาอ่านมาศึกษาแล้วเห็นด้วย ก็ถือว่าเป็นบุญที่เราได้แสดงความคิดเห็นเหล่านั้นเอาไว้
ทั้งหมดมันพัฒนามาจากวัยหนุ่มที่อยากจะพูดทุกเรื่อง อยากให้คนเห็นด้วยทุกอย่าง แล้วในวัยกลางคนก็โกรธแค้นที่คนเขาไม่เห็นด้วย โกรธแค้นที่เขาไม่เข้าใจ โกรธแค้นที่เขาไม่ฟัง เมื่อมาถึงวัยชราผมเลิกฝันแล้วว่าจะให้คนส่วนใหญ่มาเห็นด้วย
...คือผมเข้าใจ แล้วก็เลิกโกรธแค้นด้วย กระทั่งเผื่อไว้ด้วยว่าตัวเองอาจจะคิดผิดก็ได้
...
ย้อนกลับไปในวัยเด็ก ผมเป็นคนที่โตมาในวัด ทุกวันนี้ความสุขเล็กๆ ของผมเวลารู้สึกว่าชีวิตมีทุกข์หรือมีเรื่องตึงเครียด คือการหลับตานึกถึงภาพตัวเองนอนหลับอยู่ข้างพระประธานในโบสถ์ เป็นคนเฝ้าโบสถ์ ช่วงนั้นผมรู้สึกว่าชีวิตมันเรียบง่ายและอบอุ่นที่สุด เอาจีวรพระเป็นผ้าห่ม นอนอยู่ในโบสถ์กับหลวงตา ผมรู้สึกว่ามันเป็นความสุขที่ผมหวนระลึกได้เป็นระยะๆ
...
ตัดตอนจากบทสัมภาษณ์เสกสรรค์ ประเสริฐกุล ในนิตยสาร Way ฉบับที่ 29 บทสัมภาษณ์เสกสรรค์ ประเสริฐกุลในนิตยสาร Way เล่มนี้น่าสนใจมากค่ะ (วางแผงอยู่ตอนนี้ ) เห็นความคิดช่วงอายุ 60 ปีอย่างชัดเจน แล้วก็เข้าใจเลยว่าที่บอกว่าเสกสรรค์ "ถอดหมวก" นั่นคืออะไร
และอย่างไร
นอกจากนี้ภายในเล่มนี้ยังมีปาฐกถา "เศรษศาฐศาสน์ กับการผลิตอวิชชาเชิงโครงสร้าง ปาฐกถา 6O ปี คณะเศรษศาสตร์ ธรรมศาสตร์ฉบับเต็มด้วย
และถ่้าใครสนใจ ปาฐกถา 60 ปี คณะรัฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ เสกสรรค์ ประเสริฐกุล (ฉบับเต็ม) : "โลกไร้พรมแดนในประเทศที่มีพรมแดน"
ที่นี่เลยค่ะ
//www.prachatai.com/journal/2009/11/26723เรียกได้ว่าเสกสรรค์ ประเสริฐกุล เติบโตมาพร้อมกับคณะรัฐศาสตร์และคณะเศรษฐศาตร์ ธรรมศาสตร์ เลยทีเดียว