1 2 3 4
5 6 7 8 9 10 11
12 13 14 15 16 17 18
19 20 21 22 23 24 25
26 27 28 29 30
13 เมษายน 2558
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม - บทที่ 33
วันที่ 23 มกราคม 2517 เป็นวันพระขึ้นสิบห้าค่ำ ผู้คนพากันมาวัดป่ามะม่วงแต่เช้ามืด แม้วันคืนจะหมุนเวียนเปลี่ยนไป ปีใหม่มา ปีเก่าลาลับ แต่หน้าที่และถารกิจของท่านพระครูดูเหมือนจะหนักยิ่งกว่าเดิม เพราะนับวันผู้คนก็ประสบกับปัญหาชีวิต ได้รับความทุกข์ความเดือดร้อนกันมากขึ้น ปัญหาอันเป็นผลพวงของความเจริญทางด้านวัตถุ เสร็จจากสังฆกรรมในอุโบสถแล้ว ท่านพระครูก็เดินไปยังกุฏิ ที่ผู้คนมากหน้ากำลังรอท่านอยู่ จากนั้นท่านก็จะเริ่มวินิจฉัยไขปัญหา ตั้งแต่หกนาฬิกาไปจนถึงเจ็ดนาฬิกาสามสิบนาที จึงจะขึ้นไปเจริญพระพุทธมนต์และฉันภัตตาหารเช้า ร่วมกับภิกษุรูปอื่นๆบนศาลา พวกชาวบ้านผู้มีศรัทธาจะนำอาหารคาวหวาน มาทำบุญที่วัดป่ามะม่วงทุกวันพระ ผู้ทุกข์ร้อนรายแรกเป็นนักธุรกิจมาจากกรุงเทพฯ หน้าตาของเขาเศร้าหมอง เพราะการค้าขาดทุนร่วมสิบล้าน เขาได้รับคำแนะนำจากญาติว่าเจ้าอาวาสวัดนี้แก้ปัญหาเก่ง จึงดั้นด้นมาหาและทนนั่งตากยุงรอตั้งแต่ตีสี่ "โยมมีอะไรอยากให้อาตมาช่วยก็ว่าไปเลย" ท่านพูดขึ้นก่อนอย่างตรงไปตรงมา "ผมแย่แล้วครับหลวงพ่อ ธุรกิจของผมขาดทุนไปเกือบสิบล้าน ถ้าหลวงพ่อไม่ช่วย ผมคงต้องล้มละลายแน่" เขาบอกด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน "โยมทำธุรกิจอะไรล่ะ" "ผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูปส่งออกนอกครับ ผมทำมาสามปีแล้ว สองปีแรกกำไรดีมาก พอมาถึงปีหนึ่งหกก็เริ่มขาดทุนแล้วกิจการก็เริ่มแย่ลงเรื่อยๆ จนเกือบจะล้มแล้วละครับ หลวงพ่อโปรดช่วยผมด้วย" "แหม อาตมาก็ไม่สันทัดเรื่องธุรกิจเสียด้วย ไหนลองอธิบายกระบวนการของมันให้อาตมาฟังสักหน่อยซิ อาตมาจะได้ช่วยตรวจสอบให้ว่าทำไมถึงได้ขาดทุน" "ผมมีโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าสำเร็จรูป มีทั้งเสื้อผ้าผู้ใหญ่และเด็ก ทั้งของผู้ชายและผู้หญิง ผมจะส่งตัวอย่างไปให้ตลาดดู ตลาดที่ว่าก็มีทั้งประเทศอเมริกา ยุโรปและญี่ปุ่น เขาก็จะสั่งกันมาทีละมากๆจนผมผลิตแทบไม่ทัน ก็รุ่งเรืองอยู่แค่สองปี มาปีที่แล้วก็เริ่มทรุด ทำให้ขาดทุนย่อยยับ ผมไม่ทราบว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น" ท่านพระครูจำเป็นต้องใช้ 'เห็นหนอ' ให้ช่วยตรวจสอบให้ เพียงอึดใจเดียวท่านก็พูดว่า "โยมทราบดีเชียวละ จะให้อาตมาพูดตรงๆหรือไม่ล่ะ" นักธุรกิจวัยห้าสิบเศษอ้ำอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดเสียงอ่อยๆว่า "ครับ หลวงพ่อพูดตรงๆ ได้เลยครับ" "ก็โยมเล่นไม่ซื่อกับลูกค้านี่นา" ท่านพระครูพูดตรงๆ "เวลาส่งตัวอย่างไปให้เขาดู โยมก็ใช้ผ้าชนิดดีราคาแพง แต่พอเขาสั่งเข้ามาจำนวนมากๆ โยมก็ใช้ผ้าอีกชนิดที่ดูคล้ายๆกัน แต่คุณภาพด้อยกว่า ราคาถูกกว่า โยมทำอย่างนี้เพราะความโลภ อยากได้กำไรมากๆ เขารู้ทันเขาก็เลยเลิกสั่ง อันนี้โยมจะไปโทษลูกค้าเขาไม่ได้ จริงไหม" ท่านพูดด้วยเสียงที่ต้องการให้ทุกคนในที่นั้นได้ยิน เพื่อจะได้สอนไปด้วยในตัว "ใครๆ เขาก็ทำกันอย่างนี้ทั้งนั้นแหละครับหลวงพ่อ" พ่อค้าอ้างผู้อื่นเป็นตัวอย่าง ทำให้คนฟังที่ไม่รู้เท่าทัน คิดว่าเขาไม่ผิด เพราะใครๆ ก็ทำอย่างที่เขาทำ "อ้อ หมายความว่าอะไรก็ตามที่คนส่วนใหญ่ทำ สิ่งนั้นย่อมต้องถูกต้องดีงามใช่ไหม" "คงไม่ใช่ละมังครับ" คนตอบชักไม่แน่ใจ "งั้นโยมบอกอาตมาตรงๆ เลยดีกว่า ว่าสิ่งที่โยมทำนั้นมันถูกหรือผิด บอกมาเลย อาตมาไม่ชอบพูดอ้อมค้อม" "ผิดครับ แต่มันก็ช่วยให้รวยเร็วนะครับหลวงพ่อ คนอื่นๆที่เขาทำกันก็รวยๆ กันทั้งนั้น" นักธุรกิจยังมีทิฐิ "ไม่จริงมั้ง ถ้าจริงโยมก็คงไม่มาขอให้อาตมาช่วย หรือโยมจะเถียง" "ไม่เถึยงแล้วครับ หลวงพ่อกรุณาแนะนำผมด้วยเถิดครับ ว่าทำอย่างไรธุรกิจของผมจึงจะคืนสู่สภาพเดิม" "มันก็ไม่ยากหรอกโยม แต่มันก็ไม่ง่าย ถ้าโยมไม่สามารถปฏิบัติตามที่อาตมาแนะนำ" "ผมจะปฏิบัติตามทุกอย่างครับ" เขาตอบอย่างเริ่มมีความหวัง "ดีแล้ว ญาติโยมทั้งหลายจำไว้เป็นตัวอย่างนะ" ท่านพูดกับทุกคนในที่นั้น ท่านรู้ว่าในบรรดาคนเหล่านี้ ผู้ที่จะมาถามปัญหาเดียวกันนี้มีอีกสองราย ท่านจะได้ตอบเสียในคราวเดียวกัน เป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสามตัว ก่อนจะพูดต่อท่านได้ทำความตกลงกับเจ้าของเรื่องว่า "โยมอย่าหาว่าอาตมาเอาโยมมาประจานนะ ก็เมื่อกี้โยมว่าใครๆ เขาก็ทำกัน ก็แปลว่ามันไม่ใช่เรื่องน่าอับอายใช่ไหม" "ครับ ผมไม่คิดว่าหลวงพ่อประจาน ถ้าหลวงพ่อทำให้ผมขายดีเหมือนเก่าได้" นักธุรกิจยอมรับแบบมีเงื่อนไข "งั้นก็ฟังให้ดี การกระทำของโยมถือว่าเป็นการทุจริต หลอกลวงลูกค้า การหากินในทางทุจริตทำให้รวยก็จริง แต่รวยได้ไม่นานก็ต้องเจ๊ง" "แล้วผมจะแก้ไขอย่างไรครับ" "ประการแรก โยมก็ต้องเลิกหลอกลวงเขาด้วยการ 'ยัดใส้สินค้า ' อย่างที่โยมทำอยู่ เขาเรียกยัดใส้สินค้าใช่ไหม อันนี้อาตมาเคยได้ยินเขาพูดกัน" "ถูกแล้วครับหลวงพ่อ สมัยนี้ใครๆเขาก็ทำกันทั้งนั้น ไม่งั้นก็ไม่รวยครับ" "นั่นไง เอาอีกแล้วไง อาตมาสอนอยู่แหม็บๆ โยมก็มาเป็นแบบเดิมอีกแล้ว" ท่านว่าเอาตรงๆ "ก็มันเรื่องจริงนี่ครับหลวงพ่อ ผมแค่หยิบยกเอาเรื่องจริงขึ้นมาพูดเท่านั้นเอง" พ่อค้าเถึยงอย่างดื้อดึง "โยมนี่ดื้อกว่าแมวเสียอีก อาตมาคิดว่าแมวมันดื้อแล้วนะ" "ครับ ผมไม่ดื้อแล้วครับ ตกลงผมยอมหลวงพ่อ จะไม่ทำแบบเดิมอีก ตัวอย่างสินค้าเป็นยังไง ผมก็จะส่งให้เขาตามนั้น" "แล้วฝีมือด้วยนะ ไม่ใช่ตัวอย่างตัดเย็บอย่างประณีต แต่พอส่งไปให้เขากลายเป็นฝีมืออีกระดับนึง" "แหม..หลวงพ่อช่างละเอียดจริงๆ ผมศรัทธาเต็มที่เลยนะครับเนี่ย" เขาชมด้วยความจริงใจ หากท่านไม่พูดเช่นนี้ออกมาเสียก่อน เขาก็คิดอยู่แล้วว่าจะหลอกลวงโดยวิธีนี้ คือใช้วัสดุคุณภาพและราคาแบบเดียวกับตัวอย่าง แต่จะลดความประณีตลง เป็นการประหยัดต้นทุนด้านค่าแรง เมื่อท่านพระครูเตือนล่วงหน้าไว้เช่นนี้ เขาก็จำเป็นต้องเชื่อท่าน "ตกลงผมจะทำตามที่หลวงพ่อแนะนำ แล้วนานเท่าไหร่ผมถึงจะฟื้นตัวครับ" "ยัง ยังไม่หมดแค่นั้น ที่พูดมามันแค่ประเด็นเดียว ยังมีประเด็นอื่นอีก นั่นก็คือโยมจะต้องสวดมนต์ทุกวัน สวดเป็นไหม" "ไม่เป็นเลยครับ" "เอาละ ไม่เป็นไร เดี๋ยวอาตมาจะแจกบทสวดมนต์ มีคนเขาพิมพ์มาถวายไว้ให้แจก" ท่านหยิบแผ่นปลิวขนาด 1' x 1.25' ขึ้นมาแจก ในนั้นมีบทสวดมนต์พิมพ์ด้วยตัวอักษรขนาดใหญ่ เพื่อความสะดวกในการอ่าน ท่านส่งให้นักธุรกิจคนนั้น แต่ปรากฏว่ามีบุรุษอีกสองคนที่นั่งอยู่ในที่นั้น ขออีกคนละแผ่น คนหนึ่งมีธุรกิจทำกระเป๋าส่งต่างประเทศ อีกคนทำรองเท้าหนัง และคนทั้งสองใช้วิธีเดียวกับนักธุรกิจคนแรก ในการหลอกลวงลูกค้า คือใช้วิธียัดไส้สินค้า คนทั้งสองรับแผ่นปลิวมาแล้วร้องออกมาเกือบจะพร้อมกันว่า "อ่านยากจังครับ" "ยากที่ไหนกัน เขาอุตส่าห์พิมพ์ตัวโตๆ ให้ ยังจะว่าอ่านยากอีก" "ผมหมายถึงข้อความน่ะครับ" "นั่นเพราะโยมไม่เคยสวดมนต์น่ะสิ นี่อาตมาอุตส่าห์เขียนคำอ่านเป็นภาษาไทยนะ ถ้าเขียนแบบบาลี โยมจะยิ่งแย่กว่านี้ แต่เอาเถอะ ค่อยๆอ่านไปก่อนแล้วจะจำได้ เมื่อจำได้ก็จะสวดมนต์เป็น ถ้าไม่อยากล้มละลายก็ทำตามนี้ เข้าใจไหม" "อ่านหมดนี่เลยหรือครับ" "ถูกแล้ว อ่านหมดนี่หนึ่งเที่ยว แล้วอ่านเฉพาะบทพุทธคุณเท่าจำนวนอายุบวกหนึ่ง" "ตรงไหนครับที่เรียกว่าบทพุทธคุณ" "แหม โยมนี่ไม่เอาไหนเลยจริงๆนะ" ท่านตำหนิคนเดียว แต่มีคนร้อนตัวสามคน "บทพุทธคุณก็ตั้งแต่อิติปิโสไปจนถึงภะคะวาตินั่นแหละ โยมอายุเท่าไหร่ล่ะ" "สี่สิบแปดครับ" เจ้าของธุรกิจกระเป๋าถือตอบ "สี่สิบแปดก็สวดสี่สิบเก้าจบ" "แล้วเราจะทำอย่างไรไม่ให้หลงครับ ผมกลัวจำไม่ได้ว่าสวดกี่จบแล้ว" "อันนี้โยมหาวิธีเอาเอง อาตมาเชื่อว่าคนที่เป็นนักธุรกิจย่อมหาวิธีจนได้นั่นแหละ" "ใช้วิธีนับก้านไม้ขีดซิ" เจ้าของธุรกิจรองเท้าหนังแนะ "งั้นผมอายูุห้าสิบหก ก็ต้องสวดห้าสิบเจ็ดจบใช่ไหมครับหลวงพ่อ" นักธุรกิจคนแรกกล่าวอย่างท้อแท้ "ก็ต้องยังงั้น" ท่านพระครูตอบ "แล้วผมจะมีเวลาหรือครับ วันๆไม่เคยว่างเลย" ท่านพระครูรู้สึกอ่อนใจ จึงบอกเขาว่า "เลือกเอาก็แล้วกัน ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่สำเร็จ แต่ถ้าทำได้ก็จะเห็นผลภายในสามเดือนเป็นอย่างช้า" "ให้ภรรยาสวดด้วยได้ไหมครับ" "ได้ ยิ่งช่วยกันสวดยิ่งเห็นผลเร็ว" "ถ้าให้สวดแทนผมล่ะครับ" เขาต่อรอง "สวดแทนกันไม่ได้ ช่วยกันสวดนี่อาตมาหมายความว่า ต่างคนต่างสวดเท่าอายุของตัวเองบวกหนึ่ง ภรรยาโยมอายุเท่าไหร่ล่ะ" "สี่สิบหกครับ" "ก็ให้เขาสวดสี่สิบเจ็ดจบ เข้าใจหรือยังล่ะ" "เข้าใจครับ ขอบพระคุณหลวงพ่อมากครับ" รู้วิธีแก้ปัญหาแล้วนักธุรกิจผู้นั้นจึงกราบลา มีผู้ตามเขาออกมาสองคน ท่านพระครูประสบความสำเร็จ ในการยิงปืนนัดเดียวได้นกสามตัว "ท่านพระครูคะ ฉันกับสามีทำโรงงานผลิตเครื่องตกแต่งบ้าน ไม่เคยยัดไส้สินค้า ไม่เคยโกงลูกค้า แต่ทำไมทำมาหากินไม่ขึ้นล่ะคะ" ผู้ทุกข์ร้อนรายที่สองเป็นสตรีวัยสามสิบเศษ หล่อนมากับสามึวัยเดียวกัน ที่นั่งก้มหน้าคอตกอยู่ข้างๆ "โยมไม่ปฏิบัติดีต่อพระในบ้านน่ะสิ" ท่านพระครูตอบไปตามที่เห็นหนอบอก "บ้านผมไม่มีพระครับหลวงพ่อ" สามีเงยหน้าขึ้นบอก "ถ้าจะมีก็คงเป็นพระพุทธรูป ใช่ไหมคะ" ภรรยาเป็นคนถาม "ไม่ใช่หรอกโยม อาตมาหมายถึงคุณพ่อคุณแม่ของโยมน่ะ เพราะโยมไม่ปฏิบัติท่าน โยมถึงได้ทำมาหากินไม่ขึ้น" "ฉันก็ดูแลแกดีนี่คะ เพื่อนบ้านฉันเสียอีกที่เอาพ่อแม่ไปไว้บ้านบางแค" "เอาอีกแล้ว อ้างคนอื่นเป็นตัวอย่างอีกแล้ว อาตมาเพิ่งว่าผู้ชายคนนั้นไปหยกๆ" ท่านหมายถึงนักธุรกิจที่เพิ่งลากลับไป "ขอทีเถอะนะโยม อย่ามองออกนอกตัวเลย ให้มองเข้ามาที่ตัวเรานี่แหละ มันมีข้อบกพร่องตรงไหนก็ค่อยๆแก้ไขไป โดยไม่ต้องไปเพ่งโทษผู้อื่น เข้าใจหรือยัง" "เข้าใจค่ะ หลวงพ่อช่วยบอกวิธีแก้ไขด้วยเถิดค่ะ" "ก่อนจะแก้ไข โยมก็ต้องรู้ข้อบกพร่องของตัวเองก่อน โยมบกพร่องตรงไหนรู้ไหม" "ไม่ทราบค่ะ" "นั่นไงเห็นไหม ตัวของตัวยังไม่รู้เลย แล้วยังเที่ยวไปรู้ตัวของคนอื่น เอาละ ถึงยังไงมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับอาตมา เพราะคนอื่นๆเขาก็เป็นแบบโยมนี่แหละ" สตรีวัยสามสิบเศษมีสีหน้าดีขึ้น เมื่อรู้ว่าตัวเองไม่ได้บกพร่องแต่เพียงผู้เดียว อย่างน้อยก็ยังมี 'เพื่อน' "หลวงพ่อช่วยชี้ข้อบกพร่องของดิฉันด้วยเถิดค่ะ ฉันจะได้หาทางแก้ไข" "งั้นก็ฟังให้ดี โยมไม่ปฏิบัติพ่อแม่ โยมให้ท่านไปอยู่ที่โรงงาน อยู่ห้องอับๆ มืดๆ ให้กินข้าวรวมกับพวกคนงาน ในขณะที่โยมอยู่บ้านหลังใหญ่กับสามีและลูกๆ มีอาหารการกินอุดมสมบูรณ์ ที่อาตมาพูดมานี่จริงหรือเปล่า" "จริงค่ะ" หล่อนตอบเสียงเครือ มองเห็นข้อบกพร่องของตัวเองอย่างชัดแจ้ง "ดีแล้วที่โยมยอมรับผิด ทีนี้อาตมาจะบอกวิธีแก้ไขให้ โยมต้องรับท่านเข้ามาอยู่บ้านเดียวกับโยม กลับไปนี่ไปจัดการเสีย โยมกินดีอยู่ดีอย่างไร ก็ต้องให้พ่อแม่กินดีอยู่ดีอย่างนั้นด้วย เอาละ โยมกลับไปก็หาดอกไม้ธูปเทียนไปกราบขอขมาท่าน เอาน้ำล้างเท้าให้ท่าน ขอให้ท่านอโหสิกรรมให้ แล้วกิจการของโยมก็จะเจริญรุ่งเรืองขึ้นโดยลำดับ ทำได้ไหมล่ะ" "ได้ค่ะ งั้นหนูกับสามีขอกราบลา" เจ้าทุกข์รายที่สามกำลังจะเอื้อนเอ่ยธุระ นายสมชายก็คลานเข้ามาขัดจังหวะว่า "หลวงพ่อครับ นิมนต์ขึ้นศาลาครับ เลยเวลามาหลายนาทีแล้ว" "อ้าว ได้เวลาแล้วหรือ" "ได้มาหลายนาทีแล้วครับ" นายสมชายย้ำ "รอเดี๋ยวนะ" ท่านพูดกับญาติโยม "ขอเวลานอกหน่อย พวกโยมก็ไปทานอาหารกันได้แล้ว ที่โรงครัวเขาคงเตรียมเสร็จแล้ว เชิญทุกคนเลยนะ ใครมาวัดป่ามะม่วงแล้วไม่ได้ทานอาหาร ถือว่าไม่ได้มา" พูดจบท่านก็ลุกจากอาสนะเพื่อจะเดินไปยังศาลา สาวรุ้นๆคนหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาหา หล่อนคุกเข่าลงต่อหน้าท่านพร้อมประนมมือ "หลวงพ่อคะ ขอเวลาหนึ่งนาทีค่ะ หนูมีธุระด่วนมาก" หล่อนพูดอย่างรีบร้อน ไม่อาจรอคิวได้ "พูดไปเลยหนู" ท่านอนุญาต "พี่สาวหนูถูกรถชนอาการสาหัสค่ะ ตอนนี้อยู่ห้องไอซียู หนูมาขอบารมีหลวงพ่อช่วยให้เขารอดชีวิตด้วย" ท่านพระครูรู้ว่าบรรดาคนที่มาวันนี้ ยังมีอีกสามรายที่มีจุดประสงค์เดียวกับเด็กสาวคนนี้ จึงบอกพวกเขาว่า "เอาละ คนที่มาธุระเรื่องเป็นเรื่องตาย ให้จดชื่อและนามสกุลใส่พานไว้ที่อาสนะของอาตมา ชื่อคนที่กำลังจะตายนะ ไม่ใช่ชื่อของคนมาหา" ท่านจำเป็นต้องตอบให้แจ่มแจ้ง เพราะคนแต่ละคนระดับสติปัญญาไม่เท่ากัน และความผิดพลาดคลาดเคลื่อนก็เคยปรากฏมาแล้วบ่อยครั้ง พูดจบท่านก็เดินไปยังศาลา บรรดาคนเจ้าทุกข์ทั้งหลายก็พากันเดินไปยังโรงครัว เพื่อรับประทานอาหาร หนึ่งชั่วโมงผ่านไป เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงก็เดินกลับกุฏิ ท่านขอตัวเข้าไปล้างมือบ้วนปากในห้องน้ำใต้บันได เสร็จแล้วจึงออกมานั่งที่อาสนะ ในพานมีกระดาษสี่แผ่นวางอยู่ ท่านหยิบขึ้นมาอ่านทุกแผ่น "ดูเอาเถอะ ใครจะเป็นจะตายก็มาให้อาตมาช่วย ยังกับว่าอาตมาเป็นผู้วิเศษ นะโยมนะ" ท่านพยักพเยิดกับเจ้าทุกข์ที่นั่งอยู่หน้าสุด "หลวงพ่อครับ ผมสงสัยจังครับ คนที่กำลังจะตาย เราช่วยเขาไม่ให้ตายได้จริงๆหรือครับ" คนถามเป็นบุรุษวัยห้าสิบ "มันก็ขึ้นอยู่กับกรรมนั่นแหละโยม ถ้าเขาต้องตายจริงๆ อาตมาก็ช่วยไม่ได้ อย่าว่าแต่อาตมาเลย ต่อให้ผู้วิเศษที่ไหนก็มายับยั้งการตายไม่ได้ ที่ว่าขึ้นกับกรรมก็หมายความว่าถ้าเรายังมีกรรมดีอยู่บ้าง อาตมาก็ช่วยเพิ่มให้ได้ส่วนหนึ่ง แต่ถ้าเขาไม่มีกรรมอยู่เลย อาตมาก็ช่วยไม่ได้ เปรียบเทียบให้เห็นชัดๆ ก็คือ มันเหมือนแบตเตอรี่หม้อนั้นเก็บไฟไม่อยู่ มันก็จะรั่วออกหมด เรื่องอย่างนี้มันซับซ้อน ที่อาตมาพูดมาก็ใช่จะถูกทั้งหมด เพราะยังมีปัจจัยอื่นๆ มาประกอบอีก ถ้าจะอธิบายโดยละเอียด วันนี้ทั้งวันก็ไม่จบ เอาเรื่องเฉพาะหน้าดีกว่า" เมื่อท่านว่าดังนี้ เจ้าทุกข์คนที่สามจึงเอ่ยถึงธุระของตน "หลวงพ่อครับ ผมมีปัญหาเรื่องลูก ลูกชายลูกสาวผมเอาดีไม่ได้สักคน ทั้งๆที่ผมกับภรรยาเลี้ยงดูพวกเขามาอย่างดี ผมเป็นวิศวกร ภรรยาเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย แต่ลูกไม่เอาถ่าน ไม่เจริญรอยตามพ่อแม่สักคน" วิศวกรวัยห้าสิบระบายความทุกข์ออกมา "โยมมีลูกกี่คน" "สี่คนครับ ผู้หญิงสอง ผู้ชายสอง" "แล้วเขามีครอบครัวกันหรือยัง" "คงยังครับ ตอนนี้ไม่มีใครอยู่กับพ่อแม่เลย หนีออกจากบ้านกันหมด ได้ข่าวว่าลูกชายไปเป็นอันธพาล ลูกสาวไปเป็นนักร้องตามคลับตามบาร์" เขาพูดอย่างขุ่นเคือง 'เห็นหนอ' ทำหน้าที่อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องให้บอก ท่านรู้ความเป็นไปของครอบครัวนี้อย่างดี จึงพูดว่า "โยมไม่น่าทำรุนแรงกับลูกนี่นา ด่าว่าเขายังไม่พอ ยังไปเตะไปต่อยเขาอีก ลูกเขาเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้ว โยมไปต่อยไปเตะเขา เขาก็หนีน่ะสิ ภรรยาโยมก็ด่าลูกอยู่ทุกวัน ใครเขาจะอยากอยู่ด้วยล่ะ" วิศวกรผู้นั้นนั่งก้มหน้า นึกถึงควาผิดที่ทำกับลูก "แล้วผมจะทำอย่างไรดีครับ ผมอยากให้ลูกๆกลับบ้าน" "โยมต้องสวดมนต์ทำอย่างที่อาตมาแนะนำนักธุรกิจไปเมื่อสักครู่นี้ ทำได้ไหม" ท่านพูดพร้อมกับส่งบทส่วนมนต์ให้แผ่นหนึ่ง "ช่วยกันสวดนะ ทั้งโยมและภรรยาโยมนั่นแหละ สวดเสร็จก็แผ่เมตตาไปให้ลูกๆ ขอให้เขามีความสุขความเจริญ ไม่ช้าเขาก็จะพากันกลับมา แล้วก็อย่าไปดุไปว่าเขาอีกล่ะ พูดกับเขาดีๆ ทำได้ไหม" "ได้ครับ" บุรุษวัยห้าสิบรับคำล้วกลาบลาออกไป ท่านพระครูช่วยแก้ปัญหาให้อีกหลายราย จนถึงเวลาสิบเอ็ดนาฬิกาจึงบอกให้พวกเขาไปรับประทานอาหารกลางวันที่โรงครัว ส่วนท่านถือใบรายชื่อคนที่กำลังจะตายสี่รายขึ้นไปข้างบน เพื่อจัดการ "ส่งพลัง" ไปช่วยเหลือ ยังมีเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงกว่าพวกเขาจะรับประทานอาหารเสร็จ และหนึ่งชั่วโมงนี้เป็นเวลาของคนสี่คน ที่ญาติระบุว่ากำลังจะตาย ชั่วโมงต่อๆไปก็เป็นเวลาของเจ้าทุกข์รายอื่นๆ แล้วก็ไม่รู้ว่าจะไปเสร็จสิ้นตอนกี่ทุ่มกี่ยาม เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงท่านมีชีวิตอยู่ เพื่อสงเคราะห์คนอื่นโดยแท้ ผู้แต่ง : ดร.สุทัสสา อ่อนค้อม หมวดหนังสือ
Create Date : 13 เมษายน 2558
47 comments
Last Update : 13 เมษายน 2558 21:04:23 น.
Counter : 1655 Pageviews.
โดย: moresaw 14 เมษายน 2558 7:07:11 น.
โดย: หอมกร 14 เมษายน 2558 7:26:07 น.
โดย: ผมไม่ได้บินคนเดียวสู่โลกปัจจุบัน (เตยจ๋า ) 14 เมษายน 2558 8:18:34 น.
โดย: Opey 14 เมษายน 2558 10:17:06 น.
โดย: **mp5** 14 เมษายน 2558 17:37:27 น.
โดย: mambymam 14 เมษายน 2558 18:43:33 น.
โดย: หอมกร 15 เมษายน 2558 8:07:57 น.
โดย: เนินน้ำ 16 เมษายน 2558 11:11:49 น.
โดย: Tristy 16 เมษายน 2558 11:35:25 น.
โดย: ภาวิดา (คนบ้านป่า ) 16 เมษายน 2558 17:35:35 น.
โดย: กิ่งฟ้า 17 เมษายน 2558 9:11:38 น.
โดย: ก้นกะลา 17 เมษายน 2558 23:12:48 น.
โดย: mastana 20 เมษายน 2558 21:11:46 น.
โดย: **mp5** 21 เมษายน 2558 7:55:50 น.
โดย: AppleWi 23 เมษายน 2558 23:09:47 น.
โดย: moresaw 24 เมษายน 2558 6:45:30 น.
โดย: หอมกร 24 เมษายน 2558 9:08:52 น.
โดย: พรหมญาณี 24 เมษายน 2558 12:12:07 น.
โดย: ชมพร 24 เมษายน 2558 21:08:42 น.
โดย: เนินน้ำ 25 เมษายน 2558 0:17:33 น.
โดย: mambymam 25 เมษายน 2558 10:14:15 น.
โดย: โอพีย์ (Opey ) 27 เมษายน 2558 6:33:31 น.
โดย: **mp5** 29 เมษายน 2558 7:06:25 น.
เวียงแว่นฟ้า
!-- Stat ทำงาน วันที่ 26 กพ 55
พรุ่งนี้ป้าค่อยมาอีกรอบนะคะ