1 2 3 4
5 6 7 8 9 10 11
12 13 14 15 16 17 18
19 20 21 22 23 24 25
26 27 28 29 30
6 เมษายน 2558
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม - บทที่ 32
ท่านพระครูลงมาจากกุฏิชั้นบนเมื่อเวลายี่สิบนาฬิกาตรง คหบดีกับบุตรภรรยารออยู่แล้ว คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายของการสอบอารมณ์ วันพรุ่งนี้หลังจากรับประทานอาหารเช้าแล้วก็จะพากันกลับกรุงเทพฯ "เอาละ อาตมาจะสอบอารมณ์หนูสามคนก่อน เริ่มตั้งแต่คนเล็กเลยนะ ชื่อติ๋งใช่ไหม" "ใช่ครับ แหม หลวงตาจำแม่นจัง" หนุ่มติ๋งรู้สึกดีใจที่ท่านจำชื่อเขาได้ "เป็นยังไงบ้าง พอง-ยุบชัดเจนดีหรือยัง" "ชัดเจนดีมากครับ" "แล้วเวลามันหายล่ะ รู้หรือยัง" "รู้ครับ" "รู้ว่ายังไง" "รู้ว่ามันหายน่ะครับ" คนตอบไม่ได้ตั้งใจยวน แต่ก็ฟังเหมือนกับยวน "มันหายไปตอนพองหรือตอนยุบล่ะ" "ไม่ทราบครับ พอรู้มันก็หายไปแล้ว" "แสดงว่าสติยังจับไม่ทัน ต้องฝึกสติให้ว่องไวกว่านี้ จับให้ได้ว่ามันหายไปตอนพองหรือตอนยุบ เข้าใจหรือยัง" "เข้าใจครับ" "เข้าใจก็ดีแล้ว กลับไปบ้านต้องปฏิบัติต่อนะ อย่าเอาแต่ดูทีวี แล้วหนูจะเรียนเก่งขึ้น อยากเรียนอะไรก็เรียนได้ถ้าหนูไม่ทิ้งการปฏิบัติ จำที่หลวงตาพูดไว้ให้ดีนะ" "ผมตั้งใจจะเรียนหมอ หลวงตาว่าผมจะเรียนได้ไหมครับ" "ถ้าตั้งใจก็ต้องเรียนได้ เอาเถอะ ถ้าหนูไม่ทิ้งวิชากรรมฐาน หลวงตารับรองว่าในอนาคต หนูจะได้เป็นคุณหมออย่างแน่นอน" เด็กหนุ่มก้มลงกราบหลวงตาด้วยความปลื้มปิติ เกิดความเชื่อมั่นขึ้นอย่างประหลาดว่าตนจะได้ในสิ่งที่หวัง "แล้วต้อมล่ะ เป็นยังไบ้าง" ท่านหันไปถามหนุ่มต้อม "ผมง่วงมากครับหลวงตา ง่วงแม้แต่ตอนเดินจงกรม ไม่เคยง่วงขนาดนี้มาก่อนเลยครับ" ท่านพระครูรู้ได้ทันทีว่าเด็กหนุ่มผู้นี้ปฏิบัติได้ก้าวหน้ามากทีเดียว "แล้วเวลาง่วงมากๆหนูทำอย่างไร" "นอนครับ แต่ก็แปลก พอนอนกลับหายง่วง นอนไม่หลับ มันเบื่อๆเซ็งๆ อย่างบอกไม่ถูก" ท่านพระครูรู้ว่าเขาก้าวหน้ามาถึง 'นิพพิหาญาณ ' อันเป็นญาณที่แปดใน 'โสฬสญาณ' เขาเดินมาได้ถึงครึ่งทางแล้ว "หนูปฏิบัติได้ก้าวหน้ามากนะ เอาเถอะ พยายามเข้าแล้วหนูจะประสบความสำเร็จ" ท่านให้กำลังใจ "แล้วผมต้องทำยังไงถึงจะหายง่วงครับหลวงตา" "การง่วงของหนูไม่ใช่ธรรมดานะ เป็นอาการของ'ญาณ' แปลว่าหนูเข้าถึง 'นิพพิหาญาณ' แล้ว เอาละ หลวงตาจะบอกวิธีแก้ให้" แล้วท่านก็บอกหนุ่มต้อมเกี่ยวกับการปฏิบัติเมื่อเข้าถึงญาณ8 ต่อจากนั้นจึงสอบอารมณ์นายต่อ นางกิมเอ็งและคหบดีตามลำดับ "ผู้ที่ปฏิบัติได้ก้าวหน้ากว่าเพื่อนคือต้อม ส่วนที่ก้าวหน้าน้อยที่สุดคือโยม" ท่านกล่าวกับคหบดี "ผมได้ญาณไหนครับ" สามีนางกิมเอ็งถาม "ญาณ5 เรียกว่า 'ภังคญาณ ' มันมีทั้งหมด 16 ญาณ ที่เรียกว่าโสฬสญาณ ญาณ1 ชื่อนามรูปปริจเฉทญาณ ส่วนญาณ16 ชื่อปัจจเวกขณญาณ ใครบรรลุถึงญาณนี้ถือว่าเป็นพระอริยบุคคลระดับต้นที่เรียกว่า 'พระโสดาบัน'" "งั้นผมก็เดินมาถึงครึ่งทางแล้วสิครับ" หนุ่มต้อมพูดอย่างดีใจ "ถูกแล้วละหนู แต่อีกครึ่งทางที่เหลือน่ะ ยากลำบากชนิดที่เลือดตาแทบกระเด็นเชียวละ หนูจะต้องใช้ควาเพียรพยายามอย่างยิ่งยวด จึงจะเดินเส้นทางสายนี้ได้ตลอดสาย ต้องเดินกันข้ามภพข้ามชาติเลยนะ" "จะยากเย็นแสนเข็ญสักเพียงใด ผมก็จะพยายามครับหลวงตา ป๋าครับ ผมขออนุญาตบวชที่วัดนี้ได้ไหมครับ ผมอยากบวขไปตลอดชีวิต" หนุ่มต้อมพูดด้วยศรัทธาที่เปี่ยมล้น พอได้ยินว่าลูกจะบวชตลอดชีวิต คหบดีก็ใจแป้ว วิสัยของปุถุชนย่อม อยากเห็นลูกเจริญในทางโลกมากกว่า "เราสามารถบรรลุธรรมขั้นสูงโดยไม่ต้องบวขก็ได้ใช่ไหมครับ" คหบดีถามหลวงพ่อ "ถูกแล้ว แต่การบวชจะทำให้บรรลุได้เร็วกว่าการเป็นฆราวาส" คหบดีหันไปพูดกับลูกว่า "ป๋าอยากให้ลูกกลับบ้านก่อน กลับไปคิดหลายๆวัน ถ้าลูกตั้งใจแน่วแน่ ป๋าก็คงไม่ขัดข้อง แต่ตอนนี้ป๋ายังทำใจไม่ได้ หรือหลวงพ่อว่ายังไงครับ" "ก็แล้วแต่จะตกลงกันเอง อาตมาเป็นคนนอก ไม่อยากเข้าไปก้าวก่ายเรื่องในครอบครัว" "อย่าบวชเลยต้อม นึกว่าเห็นแก่แม่เถอะนะ" นางกิมเอ็งรีบบอกลูกชาย "ทำไมล่ะครับ ทำไมแม่ถึงไม่อยากให้ผมบวช" "เพราะแม่เสียพี่ต้นไปคนนึงแล้ว ไม่อยากเสียลูกไปอีกคน" ผู้เป็นมารดาตอบเสียงเครือ "แปลว่าพี่ต้นบวชอยู่ที่อเมริกาหรือครับ" หนุ่มต้อมถาม เขาไม่รู้เรื่องที่พี่ชายติดยาเสพติด "ถ้าเป็นยังงั้นก็ยังจะดีกว่า แต่นี่..." แล้วนางก็ร้องไห้สะอึกสะอื้น "กิมเอ็ง อย่าพูดจาเหลวไหลไม่เข้าเรื่อง" สามีว่า เขากลัวบุตรชายทั้งสามจะสงสัย พวกลูกๆจะรู้เรื่องนี้ไม่ได้ "โยมแผ่เมตตาให้ลูกหรือเปล่า หลังทำกรรมฐานแล้วแผ่เมตตาให้เขาทุกครั้งหรือเปล่า" "เราทำอย่างที่หลวงพ่อแนะนำค่ะ" นางกิมเอ็งตอบ "ผมกับน้องๆก็ทำครับ" หนุ่มต่อรายงานบ้าง "งั้นก็ไม่มีอะไรน่าห่วง อาตมาเชื่อว่าเขาจะต้องดีกว่าที่เคยเป็น" "สาธุ" สองสามีภรรยายกมือขึ้นประนมและพูดพร้อมกัน "หลวงพ่อครับ ผมต้องกราบขอยพระครูหลวงพ่อเป็นอย่างสูง ที่ทำให้ผมกับครอบครัวได้พบความสุขอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน มันเป็นความสุขที่สงบ ปราศจากความร้อนรนกระวนกระวาย แล้วก็ไม่ต้องใช้เงินทองซื้อหา" คหบดีกล่าวอย่างปลาบปลื้ม "ค่ะ มีเงินทองมากมายแค่ไหนก็ซื้อความสุขแบบนี้ไม่ได้ เป็นบุญของพวกเราเหลือเกินที่ได้มาพบหลวงพ่อ" นางกิมเอ็งพูดพลางใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตา "บุญของผมด้วยครับ ถ้าไม่มาเข้ากรรมฐานผมก็คงยังไม่รู้ว่าอะไรดีอะไรชั่ว ก่อนนี้ผมคิดแต่ว่าอะไรที่ทำแล้วได้เงินก็ดีทั้งนั้น แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าเงินไม่ได้สำคัญที่สุดเสมอไป ความสุขสงบทางใจนั้นมีค่ามากกว่า ผมขอปฏิญาณต่อหน้าหลวงพ่อว่านับแต่นี้ต่อไปผมจะละชั่ว ทำดีและทำจิตใจให้ผ่องใสครับ" คำว่า 'ละชั่ว' ของเขามีความหมายลึกซึ้งที่บุตรชายทั้งสามของเขาไม่เข้าใจ เด็กหนุ่มทั้งสามไม่รู้ว่าบิดาค้ายาเสพติด และไม่รู้เรื่องพี่ชายติดยา "หลวงพ่อคะ แล้วเฮียจะต้องตายไหมคะ" นางกิมเอ็งถามด้วยความเป็นห่วงสามี "ผมไม่กลัวตายแล้วครับหลวงพ่อ มาปฏิบัติอย่างนี้แล้วผมไม่กลัวตายเหมือนแต่ก่อน หากการละชั่วจะทำให้ผมต้องตาย ผมก็ยินดี" คหบดีพูดอย่างกล้าหาญ เมื่อหิริโอตัปปะเกิดขึ้นในจิตใจ ทำให้เขานึกรังเกียจความชั่ว คิดว่าตายเสียยังดีกว่าที่จะใช้ชีวิตอยู่เพื่อก่อกรรมทำชั่ว โยมไม่ตายหรอก เพราะมีคนตายแทนโยมอยู่แล้ว" ท่านพระครูพูดเป็นปริศนา "ใครคะหลวงพ่อ ใช่ดิฉันหรือเปล่า ถ้าใช่ดิฉันก็ยินดีตามแทนเฮียเขา ขออย่างเดียวอย่าให้เขามีเมียใหม่ ดิฉันไม่อยากให้ลูกๆมีแม่เลี้ยงค่ะ" นางกิมเอ็งคิดไปไกล "ไม่ใช่โยมหรอก เอาละ..อย่าเพิ่งซักถาม ถึงเวลาก็จะรู้เอง ข้อสำคัญคือให้ปฏิบัติกรรมฐานทุกวัน ขอให้เชื่ออาตมาสักครั้ง" "หลวงตาครับ" หนุ่มต่อเอ่ยขึ้นบ้าง "ผมกับน้องๆต้องกราบขอขมาโทษ ที่ล่วงเกินหลวงตาในวันแรกที่เข้ามาปฏิบัติ" "อ้อ..หนูล่วงเกินอะไรหลวงตาล่ะ" "ก็พูดไม่ดี คิดไม่ดีกับหลวงตาน่ะสิครับ ผมโกรธที่หลวงตาไม่ยอมให้พวกเรารับประทานอาหารเย็น เลยแอบนินทาหลวงตาเป็นการใหญ่ แต่ป๋ากับแม่ไม่ทราบหรอกฮะ" พูดจบนายต่อก็นำน้องๆกราบท่านพระครูสามครั้งเป็นการขอขมา "ตกลง หลวงตาอโหสิให้ แต่หนูก็ได้ไถ่โทษตัวเองแล้ว การที่พวกหนูตั้งใจปฏิบัตินั่นแหละคือการไถ่โทษ" "พวกเราต้องกราบขอโทษป๋าด้วยที่คิดว่าป๋าบังคับ ตอนนี้เรารู้แล้วว่าที่ป๋าทำไปก็เพระควารักและหวังดีต่อเรา" เด็กหนุ่มเข้าไปกราบแทบเท้าของบิดา คหบดีรู้สึกปิติจนน้ำตาคลอ ส่วนภรรยาของเขาถึงกับร้องไห้ออกมา "เอาละ กลับไปปฏิบัติต่อที่กุฏิได้แล้ว คืนนี้เป็นคืนสุดท้าย ปฏิบัติให้เต็มที่นะ จะได้หมดเคราะห์หมดโศก หมดโรคหมดภัย โชคดีศรีสุขกันทุกคน พรุ่งนี้ก่อนไป อย่าลืมไปลาอาจารย์บัวเฮียวด้วยล่ะ" "ไม่ลืมครับ พวกผมเป็นหนี้บุญคุณอาจารย์บัวเฮียวมากเลย สักวันคงได้ทดแทนบุญคุณท่าน" "อาจารย์บัวเฮียวท่านก็มีกรรมของท่าน ทุกคนมีกรรมของตัวเองด้วยกันทั้งนั้น อาตมาเองก็มี รู้สึกว่าจะหนักกว่าโยมและอาจารย์บัวเฮียวเสียอีก" ท่านพูดเรื่อยๆด้วยเสียงปกติ ไม่แสดงความหวาดหวั่น เพราะได้ฝึกจิตไว้ดีแล้ว ครอบครัวคหบดีลากลับไปแล้ว ท่านพระครูจึงขึ้นไปเขียนหนังสือต่อ คืนนี้ไม่มีอาคันคุกะมาเยี่ยม คงจะหมดเรี่ยวหมดแรงกับการฉลองปีใหม่นั่นเอง ตอนเช้าของวันที่ 4 มกราคม 2517 หลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จ คหบดีก็พาภรรยาและบุตรมาลาท่านพระครู หลังจากนั้นจึงไปลาพระบัวเฮียว เด็กหนุ่มทั้งสามมีท่าทางอาลัยอาวรณ์วัดป่ามะม่วงมาก โดยเฉพาะหนุ่มต้อมแทบจะไม่อยากกลับเลยทีเดียว "หลวงตาครับ ช่วยส่งพลังจิตไปดลใจให้ป๋ากับแม่อนุญาตให้ผมบวชด้วยนะครับ ผมอยากบวชโดยที่ป๋ากับแม่เต็มใจ ไมงั้นผมก็ไม่สบายใจ" หนุ่มต้อมพูดออกมาจากใจ "สำหรับผมยังไม่คิดบวชหรอกครับหลวงตา แต่ขออนุญาตมาที่นี่ในช่วงปิดเทอมทุกครั้งได้ไหมครับ" หนุ่มติ๋งว่า "ตามสบาย หลวงตายินดีต้อนรับเสมอ จะมาเมื่อไหร่ก็ได้" "ส่วนผมตั้งใจจะมาทุกเย็นวันศุกรแล้วกลับเย็นวันอาทิตย์ รอให้ปิดเทอมคงคิดถึงหลวงตาแย่เลย " หนุ่มต่อพูดบ้าง ชายหญิงคู่หนึ่งเดินตรงมายังกุฏิ มีเด็กชายสามคนอายุไล่เลี่ยกัน เดินตามต้อยๆ คนทั้งห้าพากันนั่งลงทางเบื้องหลังของคหบดีและครอบครัว กราบเบญจางคประดิษฐ์สามครั้งแล้วนั่งสงบรอคิว ต่อเมื่อคหบดีและครอบครัวลุกออกไปแล้ว ผู้มาใหม่จึงเลื่อนขึ้นมานั่งข้างหน้าแล้วกราบท่านพระครูอีกครั้ง "มายังไงกันล่ะนี่ หายไปเสียนาน นึกว่าลืมอาตมาเสียแล้ว" ท่านทักอย่างเป็นกันเอง บุรุษผู้นี้ชื่อนายนิยม เคยมาบวชอยู่กับท่านหนึ่งพรรษาเมื่อสามปีที่แล้ว หลังจากนั้นก็ไม่เคยมาอีก "ต้องกราบขอประทานโทษหลวงพ่อด้วยครับ งานยุ่งเหลือเกิน ตั้งแต่เปลี่ยนจังหวัดพระนครมาเป็นรูปการปกครองส่วนท้องถิ่นพิเศษ ผมไม่ได้หยุดเลยครับ" นายนิยมอธิบาย "เดี๋ยวนี้คุณพี่เขาไม่ได้สังกัดกระทรวงมหาดไทยแล้วละค่ะหลวงพ่อ" ภรรยานายนิยมกล่าว หล่อนเป็นแพทย์ประจำโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ "ยังงั้นหรือ แล้วงานใหม่กับงานเก่า อันไหนหนักกว่ากันล่ะ" "ก็หนักพอๆกันแหละครับหลวงพ่อ แต่หนักไปคนละแบบ เรื่องงานหนักน่ะไม่เท่าไหร่ แต่หนักใจสิครับเกรงว่าจะทนไม่ได้เข้าสักวัน" สีหน้าแววตาของผู้พูดแสดงความหนักใจจริงๆ "หนักอกหนักใจอะไรนักหนาเชียว บอกอาตมาได้ไหม เผื่อจะช่วยได้" ท่านพูดอย่างปราณี "บอกได้ครับ แต่คงไม่รบกวนให้หลวงพ่อช่วย เพราะมันคงเกินกำลังของหลวงพ่อ ก็ปัญหาเรื่องคอรัปชั่นนั่นแหละครับ ผมสงสารประเทศชาติบ้านเมือง มันโกงกินตั้งแต่ตัวเล็กไปจนถึงตัวใหญ่" เขาหมายถึงข้าราชการบางพวกที่ทุจริตในหน้าที่ "ปัญหาแบบนี้อาตมาช่วยไม่ได้หรอกโยม มันเกินกำลังอย่างที่โยมว่าน่ะแหละ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของกฏแห่งกรรมเถิด เราคอยดูอยู่เฉยๆดีกว่า" ท่านกึ่งปลอบกึ่งปลง "บางครั้งมันก็ทนเฉยอยู่ไม่ไหวหลวงพ่อ พอเราเห็นคนดีถูกรังแกเราก็เฉยไม่ได้ เพื่อนผมอยู่กระทรวงอุตสาหกรรม วันหนึ่งมีอาเสี่ยมาขออนุญาตตั้งโรงงาน เขาตรวจแบบแปลนแล้ว เห็นว่าไม่ถูกต้องตามเงื่อนไขที่กฏหมายอนุญาต จึงไม่อนุมัติ รุ่งเช้าแกมาใหม่ คราวนี้หอบเงินมาด้วย มาถึงก็ส่งเงินที่อัดใส่ซองพัสดุเต็มซองมาให้ เพื่อนผมตอบว่า ผมเป็นข้าราชการมีเงินเดือนแล้ว ไม่ต้องรับเงินของคุณ ถ้าคุณทำมาถูกต้องผมก็จะเซ็นอนุมัติให้โดยไม่รับเงินเลย เขาโกรธมาก วันรุ่งขึ้นก็มาใหม่ คราวนี้ถือนามบัตรของนายกรัฐมนตรีมาด้วย บอกเพื่อนผมว่านายกฯให้เซ็นอนุมัติ เพื่อนผมก็บอกว่า งั้นคุณไปบอกนายกฯให้มาพูดกับผมเองก้แล้วกัน เท่านั้นก็ได้เรื่องเลยครับ" "ได้เรื่องว่ายังไง" "ก็มีเรื่องตอนเช้า พอตอนบ่ายก็ถูกสั่งย้ายด่วน ย้ายไปอยู่ตำแหน่งที่ไม่มีงาน ตำแหน่งลอยน่ะครับ เพื่อนที่เกี่ยวข้องอีกหกคนก็โดนด้วย ถูกย้ายรวดเดียวเจ็ดคนเลยครับ" "น่าเสียดายแทนประเทศชาตินะคะ คนดีๆไม่เลี้ยง แบบนี้คนดีก็หมดกำลังใจทำงาน" แพทย์หญิงนลินกล่าว ลูกชายสามคนของหล่อนทนนั่งพับเพียบนานๆไม่ไหว จึงพากันลุกออกไปวิ่งเล่นที่ลานวัด พวกเขาเคยมาวัดนี้เมื่อครั้งที่บิดาบวช และช่วงนั้นก็มากันบ่อยๆ จึงคุ้นเคยกับสถานที่เป็นอันดี "ผมว่าท่านนายกฯไม่น่าทำยังงั้นเลย แบบนี้ประเทศชาติก็คงไปไม่รอด" นายนิยมกล่าว "ไม่ใช่ฝีมือนายกฯหรอกโยม อย่าไปโทษท่านสุ่มสี่สุ่มห้า บาปกรรมเปล่าๆ" ท่านเจ้าของกุฏิขัดขึ้น "หมายความว่าอย่างไรครับ" นายนิยมไม่เข้าใจ "ก็หมายความว่ามีการแอบอ้างชื่อท่านนายกฯ คนที่เป็นตัวการก็คือนายของเพื่อนโยมนั่นแหละ คนที่สั่งย้ายน่ะ นายกฯที่ไหนกัน" ท่านอธิบายตามที่เห็น "นายเขาก็ถูกย้ายเหมือนกันนะครับ ในเจ็ดคนนั่นมีนายเขารวมอยู่ด้วย" นายนิยมแย้ง เพราะผู้บังคับบัญชาของเพื่อนเขาก็ถุกย้ายด้วย "ก็นายของนายไงล่ะ โยมลืมแล้วหรือที่เขาพูดกันว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้าน่ะ" คำพูดของท่านพระครูทำให้นายนิยมเข้าใจอย่างทะลุปรุโปร่ง ขณะเดียวกันก็ทำให้อ่อนใจกับระบบราชการมากขึ้น ระบบราชการที่ไม่สนับสนุนคนซื่อสัตย์สุจริต "แหม..ดิฉันว่าจะไม่พูด แต่ก็อดไม่ได้ ไหนๆก็พูดเรื่องนี้กันแล้ว ก็เลยขอพูดเสียเลย ดิฉันเห็นมากับตาจริงๆนะคะ ไม่ได้ใส่ร้ายป้ายสีใคร ถ้าใครจะมาฟ้องร้อง ดิฉันก็ยินดี เพราะได้บันทึกเทปไว้เป็นหลักซานด้วย" แพทย์หญิงนลินพูดบ้าง "คุณหมอก็มีเรื่องเล่าเหมือนกันหรือ" ท่านพระครูเอ่ยยิ้มๆ "ก็ว่าจะไม่เล่าหรอกค่ะหลวงพ่อ แต่ไหนๆ คุณพี่เขาเล่าเรื่องเขา ดิฉันก็ขอถือโอกาสเล่าเรื่องน้องสาวของดิฉันอีกราย รายนี้จ่ายไปร่วมล้านค่ะ คือเขาทำธุรกิจอย่างหนึ่ง ถูกต้องตามกฏหมายทุกอย่าง คนที่จะเซ็นอนุมัติต้องเป็นระดับปลัดกระทรวงฯ กว่าเขาจะเช้าถึงปลัดกระทรวงก็ต้องจ่ายค่าเบี้ยใบ้รายทางไปหลายแสน ตั้งแต่หน้าห้องอธิบดี ตัวอธิบดี หน้าห้องปลัดกระทรวง แม้แต่คนขับรถของปลัดกระทรวงก็ต้องจ่ายค่ะ แล้วเมื่อวานนี้เอง เขานัดปลัดกระทรวงมารับเงินที่บ้าน เขาก็เรียกดิฉันไปด้วย ดิฉันแอบบันทึกเทปไว้โดยไม่ให้เขารู้ตัว ปลัดกระทรวงท่านมากับคนขับรถ ถือกระเป๋าเอกสารเปล่าๆ มาด้วยใบนึง มาถึงน้องสาวดิฉันก็แนะนำให้ดิฉันรู้จัก พร้อมกับออกตัวว่าเขาเป็นโสด ยังไม่มีคู่คิด เลยต้องอาศัยพี่สาว น้องสาวดิฉันก็จัดการนำธนบัตรใบละร้อยที่เพิ่งเอาออกจากธนาคาร อัดใส่กระเป๋าใบนั้น อัดจนแน่นเลยค่ะ แล้วยังใส่ซองให้คนขับรถอีกสองหมื่น" "แล้วในกระเป๋านั่นล่ะ กี่หมื่น" ท่านถามไปอย่างนั้นเอง "ห้าแสนค่ะ ธนบัตรใบละร้อยใหม่เอี่ยมห้าพันใบค่ะ หลวงพ่อเชื่อไหมคะ ตอนเขาเดินถือกระเป๋าเข้ามา ดูท่าทางเขาสง่า เดินตัวตรงเชียวค่ะ แต่ขากลับเดินตัวเอียงเพราะกระเป๋าหนัก น้องสาวดิฉันแกล้งถามว่าท่านถือไหวไหมคะ ดิฉันจะให้เด็กถือไปส่งให้ที่รถ ท่านตอบว่าไม่เป็นไร ผมถือเองได้ น้องสาวก็เดินไปส่งท่านที่รถซึ่งคนขับนั่งรออยู่ เขาก็ยิ่นซองที่ใส่เงินสองหมื่นให้คนขับรถ ดิฉันเห็นแล้วนึกสมเพชมากเลยค่ะ เป็นตั้งปลัดกระทรวงนะคะ ก็เลยคิดว่าจะจำคนชื่อนี้ นามสกุลนี้เอาไว้ จะบอกลูกบอกหลานด้วยว่าคนตระกูลนี้คอรัปชั่น" "ก็คุณหมอบอกว่าน้องสาวทำถูกต้องแล้ว ทำไมต้องจ่ายเขาด้วยล่ะ" "เขาไม่เซ็นอนุมัติค่ะ พอดีเป็นธุรกิจระดับร้อยล้าน ต้องอาศัยความรวดเร็ว เห็นเขาโยกไปโยกมาก็เลยต้องจ่าย ที่เขาแกล้งโยกโย้ก็เพื่อจะเอาเงินนั่นแหละค่ะหลวงพ่อ" "แย่นะ คนสมัยนี้ไม่ยักกลัวบาปกลัวกรรม" เงียบกันไปครู่หนึ่ง นายนิยมก็กล่าวว่า "พูดเรื่องนี้แล้วทำให้ผมคิดถึงเพื่อนอีกคน เขาเป็นตำรวจภูธร ยศพันโท วันหนึ่งเขาจับรถบรรทุกฝิ่นคันหนึ่ง คนขับรถก็อ้างชื่อนายพลเอกคนนึงแล้วขู่ให้ปล่อย เขาไม่ยอมปล่อยก็เลยถูกไล่ออก เขาแค้นมากครับ บอกว่าเขาทำงานอย่างซื่อสัตย์สุจริต แต่ผลตอบแทนคือการโดนไล่ออก แต่เพื่อนๆที่ทุจริตกลับได้เลื่อนขั้นขึ้นเงินเดือนกันเป็นแถวๆ แบบนี้เมืองไทยจะไปรอดหรือครับหลวงพ่อ" "ก็ต้องคอยดูกันต่อไป ถ้าไม่ตายเสียก่อนก็จะรู้ ข้อสำคัญก็คือเราอย่าไปเอาเยี่ยงเขาก็แล้วกัน เราต้องรักษาความดีของเราเอาไว้" ท่านพระครูพูดเชิงตักเตือน "ผมไม่ทำอย่างนั้นแน่ครับ นี่ผมก็อึดอัดใจมาก อยากจะมาเรียบถามหลวงพ่อว่าจะลาออกไปทำธุรกิจส่วนตัวจะดีหรือไม่ ผมเบื่อระบบราชการเต็มทีแล้ว คนอื่นเขากินกันโครมๆ พอเราไม่กินเขาก็เขม่น เจ้านายก็ไม่ชอบหน้าผมเท่าไหร่" "ไม่ต้องออกหรอกโยม ไม่ต้อง อยู่เป็นก้างขวางคอนั่นแหละดีแล้ว อย่างน้อยประเทศชาติก็จะยังมีคนดีคอยถ่วงเอาไว้บ้าง ถ้าโยมออกเขาก็จะปราศจากเสี้ยนหนาม เลยยิ่งพากันโกงกินกันสบายไป ประเทศชาติก็จะล่มจมเร็วขึ้น" "ถ้าอย่างนั้นผมเห็นจะต้องกลับละครับ จะมาเรียนถามหลวงพ่อเท่านี้แหละ ถือโอกาสมากราบอวยพรปีใหม่ท่านด้วย" เขาหันมาไม่เห็นลูกๆ ก็บ่นว่า "ไม่รู้พวกเด็กๆหายไปไหน" "โน่นแน่ะ เล่นน้ำอยู่หลังวัดโน่น เมื่อกี้วิ่งเล่นอยู่ที่ลานวัด เกิดร้อนขึ้นมาก็เลยพากันไปเล่นน้ำ" ท่านพูดราวกับตาเห็น สองสามีภรรยาจึงเดินไปหลังวัดตรงท่าน้ำ ก็เห็นลูกๆ กำลังเปลือยกายล่อนจ้อน เล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน ทั้งๆที่อากาศเย็น "ก้อง เก่ง กล้า ขึ้นได้แล้ว พ่อกับแม่จะกลับแล้ว" เด็กชายก้องจึงชวนน้องๆขึ้นจากน้ำมาสวมเสื้อผ้า ซึ่งถอดกองไว้บนกอหญ้าริมตลิ่งผู้แต่ง : ดร.สุทัสสา อ่อนค้อม Entry นี้อยู่ในหมวดหนังสือ แล้ว
Create Date : 06 เมษายน 2558
32 comments
Last Update : 6 เมษายน 2558 12:09:08 น.
Counter : 1103 Pageviews.
โดย: moresaw 7 เมษายน 2558 10:07:22 น.
โดย: ภาวิดา (คนบ้านป่า ) 7 เมษายน 2558 11:00:35 น.
โดย: **mp5** 7 เมษายน 2558 22:59:00 น.
โดย: ผมไม่ได้บินคนเดียวสู่โลกปัจจุบัน (เตยจ๋า ) 9 เมษายน 2558 8:29:46 น.
โดย: ชมพร (ชมพร ) 9 เมษายน 2558 10:21:18 น.
โดย: Opey 9 เมษายน 2558 17:37:50 น.
โดย: เนินน้ำ 10 เมษายน 2558 8:15:43 น.
โดย: pantawan 11 เมษายน 2558 23:44:00 น.
โดย: หอมกร 12 เมษายน 2558 9:32:23 น.
โดย: ปรัซซี่ 12 เมษายน 2558 19:12:35 น.
โดย: หอมกร 13 เมษายน 2558 8:57:06 น.
โดย: moresaw 13 เมษายน 2558 9:46:38 น.
โดย: **mp5** 13 เมษายน 2558 11:50:39 น.
เวียงแว่นฟ้า
!-- Stat ทำงาน วันที่ 26 กพ 55