ความสุขอันนิรันดร์
หลายวันมานี้ผมเองรู้สึกเครียดกับเรื่องไม่เป็นเรื่องเอาเสียเลย เพราะตัวเองนั้นหลงอยู่ในวังวนแห่งความคิดที่ยึดติดในของนอกกายอันเป็นสิ่งที่ตัวเองสะสมและรักษาไว้ด้วยความคิดที่ว่าของสิ่งนั้นมีค่ามีราคาเมื่อเทียบเป็นเงินและเป็นของหายากในปัจจุบัน
พระเครื่องหลวงปู่เพิ่ม วัดกลางบางแก้ว ซึ่งหลายท่านที่เป็นนักสะสมวัตถุมงคลคงรู้จักกันเป็นอย่างดี
หนึ่งอาทิตย์ก่อนหน้านี้ประมาณสามทุ่ม พี่ชายของผมโทรมาหาและพูดว่า
พี่ชาย : เฮ้ย ! อยู่บ้านป่าวว่ะ
ผมเอง : อยู่ อืม มีไร
พี่ชาย : เออ หลวงปู่เพิ่มรุ่นหลังๆ ที่ข้าให้เอ็งไปหลายองค์อยู่ไหม ข้าไม่มีใช้เลยเอ็งดูให้หน่อยซิ
ผมเอง : เฮ้ย เอ็งให้ข้าที่ไหน ก็ขับรถไปเช่ากันมา ข้าเช่าเององค์ละ 40-50 เนี้ยแหละ
พี่ชาย : เฮ้ย ข้าให้เอ็งองค์หลวงปู่เพิ่มที่ถือไม้เท้า
ผมเอง : เอ้า ก็ให้ข้าแล้วจะมาเอาคืนไง องค์นั้นเหรียญไม่สวยสึกแล้วด้วย
พี่ชาย : เออ ๆๆ ข้าเช่าเอ็งก็ได้ ข้าไม่อยากไปเช่าใครข้ากลัวปลอม เอ็งดูให้หน่อยซิ
ผมเอง : เออ ไว้จะดูให้
พี่ชาย : เฮ้ย เอ็งดูเดี๋ยวนี้เลยซิ ข้าอยากได้ (พูดด้วยน้ำเสียงอยากได้มาก)
ผมเอง : เฮ้ย เอ็งรีบขนาดนี้เลยเหรอ ข้าไม่มีหิ้งพระของอยู่ในกล่องหลังตู้ ต้องหาก่อน
พี่ชาย : เออๆๆ แล้วก็วางสายไป
ด้วยความงุนงงว่าทำไมต้องแสดงอาการอยากได้ขนาดนั้น เลยใช้หลวงพ่อ google ค้นหาข้อมูลพระเครื่องหลวงปู่เพิ่มรุ่นหลังๆ ที่พี่ชายผมอยากได้จนตัวสั่น เลยได้คำตอบ ....
พระเครื่องที่ผมเช่ามาเกือบ 30 ปี ซึ่งตอนนั้นจากวัด องค์ละ 40 -50 บาท แต่ตอนนี้ มีราคา 1500 - 3000 แล้วแต่ปีที่เล่นหา ผมจึงหงุดหงิดและหัวเสียมาก
ที่หงุดหงิดหัวเสีย ก็เพราะว่า พี่ชายมีพระเครื่องรุ่นไหนๆ ก็จะปล่อยให้ผมเช่าหมด พอผมเช่าแล้วก็จะมาเอารุ่นหลังที่ผมมีกลับแบบนี้ทุกครั้ง ...ผมเกลียดนิสัยแบบนี้มาก ...แต่เพราะเป็นพี่ จึงยอมมาหลายครั้ง
แต่ครั้งนี้ ผมตั้งใจว่าจะไม่สนใจและไม่ยอมให้อีก เพราะนอกจากจะไม่ชอบนิสัยแล้ว ยังหวงพระเครื่องที่ผมมีเพราะเป็นคนชอบสะสมและยิ่งพบว่ามีราคาสูงขึ้นผมจึง รู้สึกเสียดายเป็นทวีคูณ
จากวันนั้นมา ผมหงุดหงิดกับพี่ชายผมมากจนเก็บมาคิดทุกครั้งที่สมองว่าง และไม่อยากที่จะรับสายเพราะรู้ว่า อีกไม่นานพี่ชายก็จะโทรมาหาอีกเพราะอยากได้มาก
และก็เป็นเช่นนั้น สายของวันเสาร์ที่ผ่านมาพี่ชายก็โทรมาจริงๆ
พี่ชาย : เฮ้ย เอ็งดูให้หรือยังว่ะ
ผมเอง : อืม ดูแล้วจะส่งไปให้ละกันองค์ที่เอ็งให้ข้าเหรียญสึกๆนะ ไม่ต้องมาเอาที่บ้าน วันจันทร์จะส่งพัสดุไปเองรอรับละกัน (ผมไม่อยากเจอหน้า รำคาญ)
พี่ชาย : เออๆๆ (น้ำเสียงซึมๆ เหมือนอยากได้องค์ที่สวยกว่าที่ผมมีหลายเหรียญ)
เช้าวันจันทร์ก่อนที่ผมจะออกจากบ้าน ผมก็ได้ไปหยิบพระเครื่องหลวงปู่เพิ่มองค์สึกๆที่ผมจะส่งให้พี่ชาย ก็อดไม่ได้ที่จะหยิบองค์อื่นๆที่มีสภาพสมบูรณ์ขึ้นมาเชยชม
ใจที่ยึดติดในสมบัติ สิ่งของนอกกาย ที่เราคิดว่าของทุกสิ่งที่ครอบครองมีค่าจนไม่อยากให้ใครแม้แต่พี่น้องคลาน ตามกันมา กลับมีความคิดเปลี่ยนไปโดยฉับพลัน
..... อีกไม่กี่ปี เรากับพี่ก็คงตายจากกัน ... ในใจผมคิดเช่นนั้น และเราจะเก็บไว้เพื่ออะไร ในเมื่อสิ่งที่เราเก็บ ที่เราสะสม ก็ไม่ได้หยิบมาใช้เพื่อก่อประโยชน์อันใด คงวางอยู่ในกล่องเช่นนี้
แต่ในขณะที่พี่ชายอยากได้ และหากเขาได้ไป ความสุขก็จะบังเกิดกับพี่ชายของเรา มันคงเป็นการดีกว่าไม่น้อย
ผมหันหลังกลับไปมองรูปแม่ที่วางบูชาไว้หลังตู้ และรำพึงในใจว่า "แม่รู้ว่าเราทะเลาะกัน ไม่รักกัน แม่คงเสียใจ" เพราะแม่ชอบพูดเสมอว่ามีกันอยู่สามพี่น้องให้รักกันไว้นะ
ผมจึงตัดสินใจหยิบพระเครื่องขึ้นมาสองเหรียญที่ดีที่สุด ใส่กระเป๋าเสื้อและเดินทางออกจากบ้าน
กว่าหนึ่งสัปดาห์ที่ผมจมกับความทุกข์กับวังวนแห่งการถือครองความสุขบนสิ่งสมมุติ
วันนี้ผมมีความสุขเหลือเกิน ถึงแม้ผมจะสูญเสียของรักของสะสม แต่ผมได้ให้ความสุขกับพี่ชายผู้ซึ่งผมคลานตามเขามาจากมารดาเดียวกัน
ผมได้ส่งพัสดุไปให้พี่ชายและโทรบอกให้รอรับแล้ว พี่ชายรับด้วยน้ำเสียงดีใจอย่างมีความสุขและพูดก่อนวางสาย "เออ ขอบใจมากว่ะ"
หัวใจผมพองโต
ความสุขของคนเรานั้นคืออะไร อยู่ที่ใด และทำอย่างไรจึงได้มา
สำหรับผมในวันนี้ ความสุขที่ยึดในวัตถุ ที่ได้จากการสะสม คงไม่ใช่ แต่กลับมาจากการให้เพื่อทำให้คนอื่นมีความสุข
เพราะเรายึดติดกับการครอบครองและต้องเป็นเจ้าของ
ความสุขที่เกิดขึ้นนั้น จึงเป็นเสมือนหนามทิ่มแทงหัวใจจนยากพบความสุขอันนิรันดร์
Create Date : 29 ตุลาคม 2552 |
|
5 comments |
Last Update : 29 ตุลาคม 2552 19:50:57 น. |
Counter : 1314 Pageviews. |
|
 |
|