ห่างหายไปจากสังคมออนไลน์นานเกือบสามสัปดาห์ ด้วยเหตุที่ร่างกายอ่อนแอเหลือเกิน ไข้หวัดรุมเร้าไม่หายสักที อีกทั้งภาระกิจก็มากมายทุกด้านจนสับสนทำอะไรไม่ถูกทีเดียวเชียวแบบว่าเยอะมาก อีกทั้งยังมีเรื่องราวให้ต้องจัดการ ตัดสินใจและเกิดความหนักใจไม่น้อย สิ่งต่าง ๆที่ถาโถมเข้ามาทำให้เหนื่อยล้าทั้งร่างกายและจิตใจ ส่งผลให้โรคภัยก็ถามถึงและไม่ยอมเลิกลาไปเสียที ทำให้ไม่สามารถเขียนบอกเล่าเรื่องราวใดใดได้เลยทั้งทาง Facebook และ Weblog
ค่ำคืนนี้ก่อนที่ฤทธิ์ยาลดน้ำมูกจะทำงานส่งผลให้เกิดอาการง่วงซึม ตั้งใจไว้นานแล้วว่าจะอัพบล็อคสักหน่อย แม้ว่าบล็อคแห่งนี้อาจไม่มีผู้คนมากมายแวะเวียนเข้ามาอ่านหรือสัมผัสความรู้สึกต่าง ๆเหมือนบล็อคอื่น ๆ แต่อย่างน้อยตัวผมเองก็มีที่ไว้ถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดที่เวลาผ่านพ้นไปเมื่อหวนกลับมาอ่านความคิดของตัวเองก็รู้สึกมีความสุขเหมือนกัน ...อาจเรียกได้ว่าเป็นการเขียนเพื่อตัวเอง
หลายครั้งเหลือ...ที่ตัวผมเองใช้เวลาในช่วงค่ำคืนนั่งเปิดบล็อคเก่า ๆของตัวเองขึ้นมาอ่านความคิดเดิม ๆที่ตัวเองเขียนไว้ บางความคิดผมเองก็จำไม่ได้เลยว่าได้คิดและเขียนไว้ เพราะหลายบล็อคผมคิดและเขียนขึ้นแบบครั้งเดียวเสร็จโดยใช้เวลาไม่มากมาย เพราะผมรู้ดีว่ามันเป็นช่วงเวลาที่วิเศษที่สุดและผมจะคิดและเขียนแบบนั้นไม่ได้อีก
หลายครั้งเหลือ...ที่ตัวผมเองใช้เวลาในช่วงค่ำคืนนั่งเปิดบล็อคเก่า ๆของตัวเองขึ้นมาดูภาพที่ตัวเองถ่ายไว้จากวันแรก ๆสู่ปัจจุบัน บางรูปผมก็จำไม่ได้เลยว่านี่ผมถ่ายไว้เมื่อไหร่ ที่ไหน เพราะการถ่ายภาพของผมนั้นจะไม่ได้อิงทฤษฎีใดใดมากไปกว่ารู้สึกชอบและถ่ายไว้ ณ ช่วงเวลานั้น ๆ และผมก็เชื่อเหลือเกินว่าให้ผมถ่ายภาพนั้นในองค์ประกอบแบบเดียวกันก็จะไม่สามารถถ่ายภาพได้เฉกเช่นเดิมอีก
หรือนี่คือ " เ ส น่ ห์ แ ห่ ง ก า ล ... period of time " ในอีกรูปแบบหนึ่งที่ผมค้นพบได้โดยบังเอิญ
กาลเวลามักทิ้งซากความสุขและความทุกข์ไว้เบื้องหลังเสมอ หากเรามองในแง่ของสุขทุกข์ กาลเวลามักทิ่งซากแห่งชัยชนะหรือความสำเร็จและความล้มเหลวหรือแพ้พ่ายไว้เสมอหากเรามองในแง่แห่งการเดินทางของความรุ่งโรจน์ หลายแง่มุมได้ถูกถักทอด้วยกาลเวลาและทิ้งสิ่งต่าง ๆเป็นซากไว้เสมอ อยู่ที่เรานั้นจะพึงพอใจหรือไม่ อย่างไร
อาจเพราะความทรงจำของเรานั้นมีขีดจำกัดทำให้เราไม่สามารถระลึกถึงซากต่าง ๆที่กาลเวลาทิ้งไว้ได้หมดทุกสิ่งอย่าง มีเพียงบางอย่างเท่านั้นที่ตราตรึงในความทรงจำของเราที่เมื่อมีเวลาให้กับตัวเองคราใดก็จะระลึกถึงมันเมื่อนั้นไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ สำเร็จหรือล้มเหลว ชนะหรือแพ้พ่าย และมีซากแห่งความทรงจำบางอย่างที่เราต้องใช้ภาพหรือวัตถุที่อิงแอบเรื่องราวเป็นตัวกระตุ้น ขับเคลื่อนความระลึกเพื่อให้ความทรงจำนั้นทำงาน
หรือความทรงจำของเรานั้นไม่มีขีดจำกัดหรอก แต่เพราะเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในแต่ละวันมันมากมายเหลือเกินจนทำให้เราไม่มีเวลาและกำลังเหลือมากพอที่จะขุดคุ้ยซากที่กาลเวลาทิ้งไว้ภายใต้ความทรงจำที่นับวันจะถูกถมทับด้วยเรื่องราวใหม่ ๆที่เกิดขึ้นมากมายในแต่ละวันได้
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตามซากแห่งกาลเวลาก็จะถูกกระตุ้นให้เรารู้สึกและจดจำได้ไม่คราใดก็คราหนึ่ง ด้วยความทรงจำของเราเองหรือภาพหรือวัตถุที่อิงแอบเรื่องราวเป็นตัวกระตุ้น ขับเคลื่อนความระลึกเพื่อให้ความทรงจำนั้นทำงาน บางทีก็อยากรู้เหมือนกันว่าอะไรกันแน่ที่เป็นตัวกระตุ้นให้บางครั้งเรากลับพยายามรื้อฟื้นความทรงจำบางเรื่องราวอย่างโหยหา ทั้งที่ภายใต้ความทรงจำนั้นเต็มไปด้วยซากแห่งความทุกข์ ล้มเหลว แพ้พ่าย หลายครั้งที่ผมเองเป็นเช่นนั้นเหมือนกันแต่ความรู้สึกที่ได้รับกลับไม่เหมือนเดิม การโหยหาวันวาน กลับเป็นการกระตุ้นให้เกิดพลังบางอย่างเสมือนเป็นการนำซากแห่งความทุกข์ ล้มเหลว แพ้พ่าย มาขับเคลื่อนความสามารถในการดำเนินชีวิตปัจจุบันวันนี้ เพื่อหากโชคดีมีวันพรุ่งนี้เราจะไม่ก้าวซ้ำกับซากอดีตที่กาลเวลาทิ้งไว้ และพร้อมก้าวไปด้วยใจที่ปิติ
" เ ส น่ ห์ แ ห่ ง ก า ล ... period of time " คงเป็นเสมือนปริศนาที่รอคอยการรื้อฟื้นเพื่อลิ้มลองรสชาติของซากกาลเวลา
สำหรับใครบางคนที่พยายามรื้อฟื้นด้วยความโหยหา
แต่สำหรับใครหลายคนที่พยายามหลบลี้หลีกหนีและลืมเลือน
ป ริ ศ น า ... แห่งกาล
คงเป็นเสมือนหนามทิ่มแทงและหลอกหลอน
และไร้ซึ่งเสน่ห์และคุณค่าในทุกแง่มุมให้ควรรื้อฟื้นและจดจำ