Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2552
 
20 กุมภาพันธ์ 2552
 
All Blogs
 
ธารลาวา ๓๒ (ธัญรัตน์)




ตอน ๓๒

“นี่มินต้องเสนอเป็นโครงการเลยเหรอฮะพี่ณิน แล้วถ้าเกิดพี่ณินไม่เห็นด้วยนี่ มินก็เอาเงินออกมาไม่ได้ใช่มั้ยฮะ”
“มันก็น่าจะเป็นอย่างนั้นนะ มินไม่เคยทำธุรกิจ พี่ว่าลองส่งเรื่องมาให้พี่ช่วยดูก่อนดีกว่า ทุกวันนี้จะลงทุนทำอะไรก็ควรจะรอบคอบให้มาก ไม่งั้นโอกาสพลาดมีเกินครึ่ง ดูอย่างพวกเด็กหนุ่มรุ่น ๆ สิ สักแต่ว่าอยากจะทำโน่นทำนี่ ขอเงินพ่อแม่ไปทำ สุดท้ายก็เจ้งไม่เป็นท่า เอ้อ! แล้วว่าแต่มินจะเอาเท่าไหร่ล่ะ”

คิดขึ้นได้จึงรีบถามน้อง เพราะถ้าเป็นเงินไม่มาก เขาอาจจะไม่ต้องเคร่งครัดมากก็เป็นได้ จนคนน้องมีอาการอึกอักก่อนจะตอบพี่ไปแบบไม่เต็มเสียงนัก

“เอ่อ! ประมาณสามสิบห้าล้านฮะพี่ณิน” สามสิบจะให้เธอส่วนอีกห้าเขาตั้งใจว่าจะเก็บไว้หมุนเวียนในแกลอรี่ เพราะไม่อยากจะไปขอพี่ซ้ำซากอีก
“เหรอ! ถ้ามากขนาดนี้พี่คงต้องดูก่อนแล้วล่ะ ที่พี่บอกแบบนี้ก็เพราะพี่ห่วงมินนะ เงินไม่น้อยพี่ไม่อยากให้มินพลาด ถึงเราจะไม่เดือดร้อนเรื่องเงิน แต่ถ้าใช้ไม่ถูกที่ถูกทาง หรือใช้ไม่ระวังในที่สุดมันก็จะหมด” คนน้องรู้อยู่เต็มอกว่าพี่หวังดี แต่ก็มองไม่เห็นหนทางที่จะนำเรื่องมาเสนอให้ถูกใจพี่ได้ เพราะทั้งหมดล้วนไม่มีมูลของความจริงทั้งสิ้น

“ก็ได้ฮะ ถ้าพี่ณินต้องการจะดู มินจะเอาโครงการไปส่งให้พี่ที่ออฟฟิศก็แล้วกัน”
เมื่อจนด้วยเหตุผลของพี่จำต้องยอมแต่โดยดี พร้อมตอบอย่างไม่ใคร่จะเต็มใจนัก ก่อนจะวางแก้วแล้วลุกเดินไป จนคณินอดสงสัยท่าทีของน้องที่แปลกกว่าหลาย ๆ ครั้งไม่ได้
“จะไปแล้วเหรอมิน ไม่ดื่มเป็นเพื่อนพี่ก่อนเหรอ”

“ไม่ฮะ มินจะรีบไปทำโครงการเสนอพี่ณินไง” หันมาตอบแล้วก็เดินหนีไปด้วยความขุ่นเคือง แรกทีเดียวเขาตั้งใจว่าจะนอนที่บ้าน แต่เมื่อพี่ชายทำให้หมดอารมณ์ขนาดนี้ ก็ขอออกไปสังสรรค์กับเพื่อนดีกว่า
“ฉันจ้างห้าหมื่นเลยเอา ทำยังไงก็ได้ให้มีโครงการเป็นรูปเป็นร่างมาส่งฉันเร็ว ๆ” เขาเสนอให้เพื่อนร่วมรุ่น ช่วยทำโครงการเพื่อจะเอาไปให้พี่ชายให้เร็วที่สุด เพราะเขาแทบจะไม่สามารถทนเห็นคนรักต้องอยู่ใกล้ ๆ พี่ชายได้อีกต่อไปแล้ว

คณิศรเฝ้าสังเกตุพฤติกรรมการกลับบ้านในเวลาเช้าตรู่ของสามีมาได้เกือบอาทิตย์แล้ว แม้ที่ผ่านมาสามีจะทำตัวห่างเหินไปบ้าง แต่ก็ไม่เคยเลยสักครั้งที่เขาจะไม่กลับเข้ามานอนบ้าน ติดต่อกันเป็นเวลานานขนาดนี้ อันที่จริงถ้าจะตามไปจับให้ได้คาหนังคาเขา คณิศรก็สามารถทำได้ แต่เพราะความรักและผูกพันที่มีต่อผู้เป็นสามี ทำให้ต้องกล้ำกลืนฝืนทนไปวัน ๆ ถึงปากจะพร่ำด่าทอเขามากแค่ไหน แต่ในใจก็กลัวเหลือเกิน กลัวว่าจะเสียสามีไปให้ผู้หญิง ที่คอยแต่จะมาปอกลอกไปวัน ๆ เท่านั้น

“คุณเรศ เดี๋ยวนี้คุณใช้บ้านเป็นแค่ที่เปลี่ยนเสื้อผ้าของคุณเท่านั้นเหรอคะ ใจจริงคุณไม่คิดที่จะถามฉันสักคำเหรอ ว่าฉันเป็นยังไง ลูกเป็นอยู่ยังไง คุณไม่คิดที่จะแคร์เลยเหรอว่าลูก ๆ จะถามหาพ่อว่าอยู่ที่ไหน ไปกกอีตัวมาทั้งอาทิตย์ แล้วนี่ยังไม่พออีกเหรอ ทำไมไม่หอบเสื้อผ้าไปอยู่กับมันเลยล่ะ”
แม้กลัวสามีจะตีจาก แต่คณิศรก็ยังคงเป็นคณิศรคนเดิม ที่เอาแต่ประชดประชัน ด่าทอสามีไปวัน ๆ เมื่อเวลาที่เขาทำอะไรไม่ถูกใจขึ้นมา

“คุณก็ดูแลลูก ๆ ได้นี่ และอีกอย่างผมก็เห็นว่าคุณอยู่สุขสบายดี ออกจะดีเกินไปด้วยซ้ำ วัน ๆ ถึงได้มีเวลาว่างจนเที่ยวไปตามดูผัวว่าจะนอนกกใครไง” นเรศผู้ที่พยายามหาเหตุ ที่จะทำให้ภรรยาเบื่อจนทนอยู่ด้วยไม่ได้ และจบด้วยการหย่ารีบตอบออกไปทันควัน

“คุณหาว่าฉันว่างงานคอยแต่จะจับผิดคุณงั้นเหรอ แล้วทีคุณล่ะ วัน ๆ ไม่เคยอยู่ติดบ้าน เช้าไปทำงาน เสร็จแล้วก็ไปกกอีตัว พอรุ่งขึ้นคุณก็เข้าบ้านเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วออกไปอีก ฉันว่าถ้าคุณจะลงทุนทำแบบนี้ คุณน่าจะไปอยู่กับอีนังหน้าด้านนั่นให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลยดีกว่า ทุกวันนี้ฉันกับลูกก็อยู่กันตามลำพังอยู่แล้ว ฉันจะขาดผัวหรือลูกจะขาดพ่อไปสักคน คงไม่เป็นอะไรหรอก”
คณิศรไม่คิดที่จะรั้งรอในสิ่งที่ใจคิด

“คุณรู้มั้ยณิ ว่าผู้ชายเบื่ออะไรมากที่สุด” “อะไร”
“ผู้ชายทุกคนเบื่อเมีย ที่ชอบเลื่อนขั้นขึ้นมาเป็นแม่ไง ถ้าคุณจะใจเย็นลงสักนิด พูดดี ๆ กับผมให้บ่อยขึ้นหน่อย เราคงจะไม่ต้องมานั่งทะเลาะกันทุกวันแบบนี้หรอก คุณลองไปคิดทบทวนดูพฤติกรรมของคุณใหม่นะ ว่าณิคนเก่าที่ผมเคยรักมันหายไปไหน แล้วผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าผมคนนี้ เป็นใครกัน ผมไม่ต้องการ คุณได้ยินมั้ยว่าผมไม่ต้องการ”

น้ำเสียงที่หนักและดัง ทำให้คณิศรรู้สึกโกรธขึ้นมาจนกรี๊ดออกมาดัง ๆ คนรับใช้ในบ้านต่างหลบหน้าไปคนละทาง เพราะเคยชินกับสองสามีภรรยานี้แล้ว

“แล้วคุณล่ะ นเรศคนเก่าหายไปไหน คนที่บอกว่าจะรักฉันคนเดียว จะทำทุกอย่างให้ฉันกับลูกมีความสุข มันหายไปไหน ผู้ชายที่ไม่รู้จักอิ่มคนนี้ถึงได้มายืนอยู่ตรงนี้ ผู้ชายอย่างคุณมันก็คิดเอาแต่ได้ คิดแต่จะให้คนอื่นคอยปรับปรุงตัวใหม่ ทั้ง ๆ ที่ต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดมันมาจากคุณ ได้ยินมั้ยมันมาจากคุณ ถ้าคุณไม่มักมากซะอย่าง ฉันก็คงจะไม่ต้องเป็นแบบนี้หรอก”
ทั้งกรี๊ดทั้งด่าทั้งร้องไห้ เพราะความเจ็บใจกับคำพูดสามี

“คุณก็ไม่ยอมรับตัวเองอยู่ดี ผมไม่เถียงคุณแล้ว บอกตรง ๆ ว่าผมเบื่อ พูดไปก็เสียเวลา เปล่าประโยชน์ จะบอกให้นะว่าที่ผมทนอยู่ทุกวันนี้ ก็เพราะลูกเท่านั้น ถ้าคุณไม่อยากให้บ้านเราแตกแยกกันไปมากกว่านี้ คุณกลับไปดูตัวเองใหม่เลยไป”
จบประโยคนเรศก็เดินจ้ำหนีด้วยความหัวเสีย รถที่คนขับสตาร์ทรออยู่ก่อนแล้ว แล่นออกไปจากบ้านโดยเร็ว ทิ้งให้คณิศรมองตามพร้อม ๆ กับคราบน้ำตาที่ไหลอาบแก้มลงมา

กรี๊ด ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ

ข้าวของใกล้มือถูกขว้างทิ้งอย่างไร้ทิศทาง นี่คือสิ่งที่คณิศรมักจะใช้เป็นเครื่องระบายอารมณ์ เมื่อทำคนไม่ได้ก็ใช้ข้าวของเป็นเครื่องช่วย เด็กรับใช้ในบ้านต่างปล่อยให้เจ้านายปาข้าวของได้ตามชอบใจ เพราะพวกเขารู้ว่า พอรอสักพัก เจ้านายก็จะสงบสติอารมณ์ได้ แล้วก็จะออกจากบ้านไป ถ้าไม่ไปบ้านแม่ก็ไปบ้านเพื่อน คณิศรทำได้แค่นั้นจริง ๆ เรื่องที่จะไปหาผู้ชายใหม่นั้น ไม่มีอยู่ในความคิด เพราะยังไง ๆ หญิงสาวก็ยังรักสามีอยู่มาก มากจนไม่อาจจะมองใครได้อีก

ซองจดหมายที่เปิดออกมาจัดไว้อย่างเป็นระเบียบ ถูกนำไปวางไว้ที่โต๊ะทำงานของปรเมศเหมือนทุกครั้ง ที่เลขาฯ เคยทำ เจ้าของโต๊ะหยิบมาดูทีละซองอย่างเบื่อ ๆ เพราะส่วนใหญ่จะเป็นพวกบัตรเชิญไปงานสังสรรค์ งานเปิดตัวสินค้า งานประมูล หรือแมกกาซีนต่างประเทศที่เขาสมัครสมาชิกไว้ ปรเมศรู้สึกแปลกใจกับซองสีน้ำตาลที่ไม่มีรายละเอียดอะไรนอกจากใบเสนอราคางานก่อสร้างที่คัดส่งมาให้ดูบางส่วน

หัวกระดาษเขาคุ้นตาดีว่าเป็นของบริษัทคณิน และพอจะเดาได้ว่ากำลังจะเสนอให้ใคร มือถือบนโต๊ะดังขึ้น ยกขึ้นมาดูพบว่าเป็นเลขหมายในท้องที่ เมื่อเบอร์ไม่คุ้นเลยจึงตัดสายทิ้ง แต่ไม่นานก็ดังขึ้นอีก ก็ยังพบว่าเป็นเลขหมายเดิมเขาจึงยอมรับ

“คุณเห็นใบเสนอราคาที่ผมส่งให้แล้วใช่มั้ย อันนั้นมันเป็นบางส่วน ราคาเต็มผมจะส่งไปให้คุณทันที ถ้าคุณตกลงจะจ่ายงาม ๆ ผมไม่ขอมากหรอกแค่ยี่สิบล้านก็พอ ขอเป็นเงินสดเท่านั้น” เสียงชายนิรนามกรอกมาตามสาย
“คุณเป็นใคร และกำลังพูดเรื่องอะไร ผมไม่เข้าใจ” พอจะเดาอะไรได้บ้างแล้ว แต่ปรเมศก็ยังมีคมในตัวเองอยู่บ้าง

“คุณไม่ต้องสนใจว่าผมเป็นใคร คุณรู้ดีว่าผมกำลังพูดถึงเรื่องอะไร ใบเสนอราคาที่ผมส่งให้เป็นของจริง ผมสามารถไปดึงมาจากคอมพิวเตอร์นายคณินได้ทันที ที่คุณตกลงจะจ่ายให้ ได้ข่าวว่าคุณต้องการเป็นเจ้าของโปรเจคนี้ไม่ใช่เหรอ มูลค่างานนี้มันไม่น้อยเลยนะครับ กำไรที่จะเหลือถึงคุณไม่ต่ำกว่า สี่ถึงห้าร้อยล้าน และสิ่งที่ผมส่งให้ ก็ดูเหมือนจะเป็นตัวช่วยสุดท้ายของคุณซะด้วย เพราะคุณกัมปนาทที่คุณไปเสนอซื้อไม่ยอมไม่ใช่เหรอ ผมจะให้เวลาคุณคิดอีกสักสามสี่วัน แล้วจะโทรมาหาใหม่ อ้อ! คุณจะไม่ได้อะไรจากผมเลย ถ้าเรื่องนี้ถึงหูนายคณิน หรือถึงหูตำรวจ ผมเฝ้าดูคุณอยู่ทุกฝีก้าว ไม่ว่าคุณจะทำอะไร ผมรู้หมด”

ปลายสายตัดไปแล้ว ลองโทรไปตามเบอร์ที่เรียกเข้าอีกครั้ง พบว่าเป็นสัญญาณสายว่าง แต่ไม่มีคนรับ ถ้าให้เดาปรเมศก็คิดว่า ชายนิรนามน่าจะใช้โทรศัพท์สาธารณะกดมาหาเขา มากกว่าที่จะใช้เบอร์บ้าน นั่งเพ่งมองเอกสารในมืออย่างครุ่นคิด พลันก็ลุกไปรื้อหาใบเสนอราคาเก่า ๆ ของบริษัทคณินที่เขามีเก็บไว้บ้าง เมื่อนำมาเทียบกันดู ก็พบว่ามีรูปแบบที่เหมือนกันแทบทั้งสิ้น ยิ้มด้วยความดีใจปรากฏขึ้นบนใบหน้า ไม่แน่ใจนักว่าคนที่โทรมาเมื่อกี้ จะพูดจริงมากน้อยแค่ไหน แต่เขาก็น่าจะลอง เงินแค่ยี่สิบล้าน แลกกับอีกร้อย ๆ ล้านที่เหลือมีหรือที่จะปฏิเสธ

เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นสองสามครั้ง ก่อนที่บานประตูจะเปิดออก อัมพรนั่งอยู่บนที่นอนเอาหลังพิงหัวเตียงส่งยิ้มให้ลูกชายคนโตด้วยความรักใคร่ แต่ก็เป็นยิ้มที่ไม่ใคร่จะสดใสเหมือนหลาย ๆ วันที่ผ่านมา
“ป้าแป้นบอกว่าคุณแม่ไม่ค่อยสบาย ผมก็เลยมาดูครับ” คณินนั่งลงบนเตียงใกล้ ๆ มารดา เอื้อมมือไปกุมมือที่เริ่มจะมีรอยเหี่ยวย่นขึ้นมาบ้างแล้ว แต่เขาก็ยังเห็นว่าเป็นมือที่นุ่มและสวยที่สุดเสมอมา

“แม่แค่รู้สึกเวียนหัวนิดหน่อยเองลูก จะไปรับหนูลีแล้วเหรอ แล้วจะกลับมากินข้าวเย็นกับแม่หรือเปล่าลูก”
“ว่าจะไปแล้วครับ แต่ผมอยากจะมาดูคุณแม่ก่อน เผื่อว่ายังไงจะได้พาไปหาหมอ วันนี้ผมเลื่อนที่สตูฯ ก็ได้ครับ มันไม่สำคัญมากไปกว่าอาการเจ็บป่วยของคุณแม่หรอก จะถ่ายเมื่อไหร่ก็ไปได้ มีเวลาเหลืออีกถมเถ”
น้ำเสียงที่นุ่มนวลถ่ายทอดออกไปให้คนเป็นแม่ได้รับรู้

“แม่ไปเป็นอะไรมากหรอกลูก ไปเถอะเดี๋ยวหนูลีจะรอ รีบถ่ายให้เสร็จ จะได้ไปทำอย่างอื่น งานแต่งน่ะ เอาเข้าจริง ๆ ก็เล่นเราได้เหงื่อเหมือนกันนะลูก ที่สำคัญแม่อยากจะให้ลูกรีบแต่ง จะได้พาหนูลีมาอยู่เป็นเพื่อนแม่ไง คิด ๆ ไปก็เร็วเหมือนกันนะ แม่ยังจำได้ว่าเมื่อไม่กี่วันมานี้ แม่ยังเพิ่งไปส่งณินที่สนามบินให้ไปเรียนต่ออยู่เลย เผลอแป๊บ ๆ จะแต่งงานแล้ว ถ้าคุณพ่ออยู่คงจะดีใจมาก ๆ เลยนะลูก ที่จะได้เห็นลูกมีความสุข เป็นฝั่งเป็นฝากับเขาสักที ครองโสดมานานแล้ว”

“ไม่แน่หรอกครับคุณแม่ ถ้าคุณพ่ออยู่อาจจะไม่ยอมให้ผมแต่งงานกับลีก็ได้ คุณพ่อคงจะจับผมแต่งกับลูกสาวเศรษฐีคนใดคนหนึ่ง เพื่อเพิ่มฐานะการเงินเราให้มั่นคงกว่าเดิม เหมือนที่เคยทำกับพี่ณิไงครับ” เขาบอกตามความรู้สึกจริง ๆ ออกมา เพราะพ่อมักจะมองข้ามผู้คน เพียงเพราะไม่มีฐานะทางการเงินเทียบเท่า
“แต่สุดท้ายพี่ณิก็รักพี่เขยเรานี่ลูก ที่พ่อทำแบบนั้นก็เพราะห่วงลูก ไม่อยากให้ลูกลำบากนะ”

“แต่พี่ณิก็ต้องมาคอยตามจับพี่เรศว่าจะไปนอกกกอยู่กับใคร เมื่อไหร่จะกลับบ้านไงครับ ถ้าเกิดได้แต่งงานกับคนที่พี่ณิรักแต่แรก ถึงคนนั้นจะไม่รวยเท่าพี่เรศ แต่พี่ณิของเราอาจจะมีความสุข เพราะได้สามีไม่เจ้าชู้ก็ได้นะครับ”
“แต่ตอนนี้พี่เราก็รักพ่อเรศจนปล่อยไม่ลงแล้วนะ เฮ้อ! เราอย่าไปพูดถึงเรื่องในอดีตเลยนะลูก แม่ว่าณินรีบไปเถอะ ถ้าเสร็จแล้วเย็น ๆ พาหนูลีมากินข้าวกับแม่ด้วยก็ดี จะได้คุ้นเคยกัน อีกหน่อยก็จะเข้ามาอยู่ในบ้านเดียวกันแล้ว เดี๋ยวแม่นอกพักหน่อย บ่าย ๆ ค่อยลงไปนั่งรับลมข้างล่าง”

“คุณแม่ไม่ให้ผมพาไปหาหมอ หรือว่าจะให้เรียกหมอมาแน่นะครับ”
“แม่ไม่เป็นอะไรหรอกลูก รีบไปเถอะอย่าดื้อสิ จะแต่งงานอยู่แล้วนะเรา”
เมื่อเห็นว่าลูกชายยังคงมีอาการลังเล คนเป็นแม่ก็ยิ้มกว้างให้ลูกชายได้สบายใจ ว่าตัวเองไม่เป็นอะไรตามคำบอก แต่เมื่อร่างลูกพ้นประตูห้องไปแล้ว รูปสามีก็ถูกยกขึ้นมากอดแนบอกเอาไว้ น้ำตาที่ถูกเก็บซ่อนไว้ภายในแต่เพียงผู้เดียว มักจะหลั่งรินออกมา เมื่อเวลาที่อัมพรได้อยู่ตามลำพังนับตั้งแต่สามีจากไป

“คุณคะ ลูกชายเราจะแต่งงานแล้วนะคะ คุณดีใจมั้ย พรอยากให้คุณมาเห็นลูกตอนนี้จังเลยค่ะ ลูกของเราดูมีความสุขมากเลย ขอบคุณนะคะที่คุณสร้างทุกอย่างไว้ให้พรกับลูก ถึงมันจะได้มาด้วยความไปถูกต้องนัก แต่พรกับลูกก็ไม่เคยทำอะไรผิดอีกเลยนะคะ ป่านนี้ไม่รู้คนที่เราทำความผิดไว้จะเป็นยังไงบ้างนะคะ ไม่รู้ว่าลูกเขาจะโตขึ้นมาและมีโอกาสดี ๆ เหมือนลูกเรามั้ย พรยังจำวันที่คุณต้องคอยขับรถไปรับลูกสาวกับลูกชายเขากลับบ้านได้ติดตาเลยค่ะ แล้วพรก็อยากจะให้ลูกเรามีโอกาสแบบนั้นบ้าง

จริงสิคะคุณ ว่าที่สะใภ้ของคุณสวย สง่ามาก ๆ เลยนะคะ ลูกเราตาถึงมากเลยค่ะ เห็นเด็กคนนั้นแล้วทำให้พรอดคิดถึงคุณปวีณาไม่ได้ หนูลีมีอะไรหลาย ๆ อย่างที่คล้ายเธอมาก ๆ เลย จนบางครั้งพรเกือบจะคิดว่าเธอกำลังจะมาเป็นสะใภ้เราซะอีกค่ะ แล้วชื่อเล่นก็เหมือนกับชื่อลูกแกด้วยนะคะ แต่อย่าห่วงเลยค่ะ หนูลีคนนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับแกหรอก ป่านนี้พวกเขาคงจะไปอยู่ที่ไหนสักแห่งแล้ว คุณประณพเก่ง คงจะสร้างตัวขึ้นมาจนร่ำรวยเหมือนเดิมแล้วมั้งคะ

แต่พรก็ยังอยากจะรู้ว่าพวกเขาไปอยู่ที่ไหน และเป็นยังไงอยู่ดีค่ะ ถ้ามีโอกาสพรอยากจะไปขอโทษพวกเขา และถ้าพวกเขาลำบาก พรก็อยากจะช่วยค่ะ แต่พรก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไง จะบอกลูกพรก็ไม่กล้า พรกลัวว่าลูกจะรับไม่ได้ ที่พ่อกับแม่ทำเรื่องไม่ดีเอาไว้ คุณช่วยพรคิดหน่อยสิคะว่าจะทำยังไงดี พรรู้สึกผิดอยู่ตลอดเวลา มันไม่สบายใจมาก ๆ เลยค่ะ กับการที่เราปกปิดอะไรบางอย่างเอาไว้แบบนี้ ถ้าคุณอยู่ด้วยพรก็คงจะได้ปรึกษาคุณบ้างนะคะ พรคิดถึงคุณค่ะ”

คุยกับภาพทั้งน้ำตาด้วยสีหน้าที่รู้สึกผิด ในสิ่งที่เคยพลาดพลั้งมาเป็นที่สุด หากผู้ที่เก็บงำความแค้นเอาไว้ได้มาเห็น ก็คงจะคลายความแค้นลงไปได้บ้างไม่มากก็น้อย แต่โชคมักไม่เข้าข้างคนที่เคยทำผิดเอาไว้เสมอ ๆ แม้อัมพรจะสำนึกผิดอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน หรือแม้กระทั่งในอนาคต แต่ประณาลีหาได้รับรู้ไม่

“ชิด ๆ กันอีกหน่อยครับ คุณณินโอบคุณลีไว้ด้วยครับ ทีนี้คุณณินทำท่าจะหอมแก้มคุณลีนะครับ เงยหน้าขึ้นอีกนิดครับคุณลี ยิ้มกว้างอีกนิดครับ ดีมากครับ...”
ช่างภาพออกคำสั่งให้ทั้งสอง ก่อนจะกดชัดเตอร์ลง หลังจากนั้นว่าที่เจ้าบ่าว เจ้าสาวก็ต้องทำตามที่ช่างภาพสั่ง นานเป็นชั่วโมง ๆ กว่าจะเสร็จแต่ละชุดได้ก็กินเวลาไม่น้อย เมื่อถ่ายในสตูดิโอเสร็จ ก็ต้องย้ายออกไปถ่ายวิวนอกสถานที่อีก คณินกลัวว่าที่เจ้าสาวจะเหนื่อย เพราะอากาศร้อน คอยแต่จะเรียกให้เข้ามาอยู่ในร่ม จนทีมงานอิจฉาหญิงสาวไปตาม ๆ กัน

“ลีแดดแรงมากอย่าออกไปยืนอยู่นอกร่มนาน ๆ นะ เดี๋ยวจะไม่สบาย ดูสิเหงื่อเต็มหน้าแล้ว มาผมจะซับเหงื่อให้ เหนื่อยมั้ย คุณหิวหรือเปล่า จะดื่มอะไรเย็น ๆ หน่อยมั้ย”

เขามักจะคอยห่วงใยถามไถ่เธอแทบจะทุก ๆ สิบนาที แม้คนถูกถามจะเขินอาย ที่มีเขามาคอยเอาใจอยู่แบบนี้ แต่ประณาลีก็ให้สุขใจเป็นที่สุด เมื่อมีเขาคอยห่วงใยอย่างใกล้ชิด เหนื่อยอยู่บ้างเพราะต้องโพสต์ท่ารอช่างภาพนาน แต่เมื่อใจสุขก็แทบหาอุปสรรคมาขวางกั้นไม่มี ทุกอย่างเป็นไปตามที่ทีมงานต้องการแล้ว แหม่มที่ตามมาสมทบในช่วงบ่าย ได้ประจักษุ์แล้วว่า เจ้านายหนุ่ม รักและห่วงใยหญิงสาวมากแค่ไหน

“พี่แหม่มคะ ดูคุณณินรักคุณลีม๊าก ๆ นะคะ คอยเอาใจสารพัดเลยค่ะ ดูสิคะ สองคนนี้เหมาะสมกันจริง ๆ เลย คุณณินก็หล่อ คุณลีก็สวย ยิ่งอยู่ในชุดเจ้าบ่าว เจ้าสาวแบบนี้แล้วยิ่งสมกันค่ะ หนูอยากเห็นวันแต่งงานจริง ๆ และใส่ชุดที่กำลังตัดอยู่จังเลยนะคะ ว่าคุณลีจะสวยแค่ไหน”

เป็นคำบอกของพนักงานสตูดิโอ ที่คอยหันมาพูดกับแหม่มนับครั้งไม่ถ้วน แหม่มได้แต่ยิ้มรับ ระหว่างรอทีมงานจัดแสง หรือช่วงพัก แหม่มก็ให้ทั้งคู่ช่วยเลือกของชำร่วยด้วยเลย ประณาลีแทบไม่อยากจะเชื่อ ว่าผู้ชายที่เธอเคยคาดเดาเอาไว้ว่า เขาจะเป็นพวกกดขี่เพศหญิงให้เป็นแต่ช้างเท้าหลังนั้น แท้ที่จริงแล้ว เขากลับสุภาพและให้เกียรติเธอเสมอ ๆ ทุกอย่างเขาจะให้เธอเป็นคนตัดสินใจในที่สุด ไม่ว่าจะเป็นแบบชุด ของชำรวย ดอกไม้ที่จะจัดในงาน และอื่น ๆ อีกมากมาย

ทำให้อดใจหายไม่ได้ว่า สิ่งที่ทุกคนกำลังตระเตรียมอยู่ตอนนี้ มันไม่มีวันที่จะเกิดขึ้นได้ แต่ถึงอย่างนั้น หญิงสาวก็ไม่คิดที่จะอิดออดในการตัดสินใจเลือกตามที่เขาขอ เพราะมันจะทำให้แผนการที่วางไว้นานนับสิบปีพังลง เพียงเพราะความใจอ่อนของตัวเอง แม้ในบางครั้งจะเผลอคิดไปว่า เธอกำลังจะแต่งงานจริง ๆ แต่ทุกครั้งเมื่อภาพพ่อที่นอนตายอยู่ตรงหน้าลอยมา ความเข้มแข็งก็จะเข้ามาอยู่ในจิตใจหญิงสาวได้เป็นอย่างดี ทำให้ไม่คิดลังเลที่จะดำเนินตามแผนการเดิมที่วางเอาไว้

“ความจริงวันนี้คุณแม่บอกให้ผมพาลีไปกินข้าวที่บ้าน แต่ผมว่าลีคงจะเหนื่อยแล้ว ผมไปส่งลีให้พักผ่อนดีกว่า วันหลังค่อยไปหาคุณแม่ใหม่” เขาบอกระหว่างทางที่นั่งมาในรถด้วยกัน ประณาลีรู้สึกโล่งใจไม่น้อยที่ได้ยิน เพราะช่วงนี้เป็นช่วงที่เธอยากจะอยู่ห่างอัมพรเอาไว้ก่อน กลัวศัตรูจะผูกเธอเข้ากับแม่จนเป็นเรื่องราวใหญ่โต
“ค่ะ แล้วงานเสนอราคาไปถึงไหนแล้วคะ พรุ่งนี้ลีจะไปช่วย” นี่คือสิ่งที่อยู่ในใจหญิงสาวตอนนี้ เพราะปรเมศให้คำตอบกับปวีร์มาแล้วว่ายอมจ่าย ถ้าตัวเลขที่ได้มาเป็นของจริง

“พรุ่งนี้น่าจะโอเคนะ ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด ลีไม่ต้องไปช่วยหรอก บางทีผมก็อาจจะต้องทำถึงเช้าเลย เพราะเป็นงานต่อเนื่อง ทำแล้วก็ต้องให้เสร็จจะได้รีบเสนอให้ลูกค้าเร็ว ๆ”
“ให้ลีไปเถอะค่ะ ลีอยากจะช่วยคุณ เดี๋ยวลีจะซื้ออาหารเย็นไปให้คุณกับลูกน้องด้วยก็แล้วกันนะคะ”
น้ำเสียงที่กระตือลือล้นอยากจะช่วยของเธอ ทำให้คณินไม่ได้คิดอะไรไปมากกว่าเธอห่วงเขา

“ก็ได้ครับ แต่ลีคงจะต้องเตรียมเสื้อผ้าไปนอนค้างกับผมที่นั่นนะ แล้วอาหารก็ซื้อไปให้ผมก็พอ ของบรรพตกับลูกน้องเราสั่งเจ้าประจำอยู่แล้ว หรือจะซื้อของขบเคี้ยวไปฝากก็ได้”
“ค่ะ” แม้จะติดใจเรื่องที่เขาให้ค้างด้วยสักแค่ไหน แต่มั่นใจว่าจะเอาตัวรอดได้เหมือนทุก ๆ ครั้ง เพราะจำเป็นต้องเสี่ยงเพื่อแลกกับสิ่งที่ต้องการ

สีหน้าของคามินที่นั่งรอคำตัดสินของพี่ชายเป็นไปด้วยความกังวล โปรเจคที่เสนอมา พี่ชายกำลังศึกษาอย่างสนอกสนใจ กินเวลานับชั่วโมงแล้วที่เขาต้องนั่งรอ โดยไม่ได้ปริปากพูดอะไร เพราะไม่อยากจะรบกวนสมาธิของพี่นัก
“เปิดบริษัท ทำแมกกาซีนเกี่ยวกับงานด้านศิลปะเหรอ ลูกค้าคือคนกลุ่มไหนล่ะ แล้วมินถือหุ้นเท่าไหร่ เพื่อนที่ทำด้วยล่ะคนละเท่าไหร่ ทำไมมันต้องใช้เงินตั้งสามสิบห้าล้านเลยเหรอ” คิดไว้แล้วว่าพี่ชายจะต้องแย้งในเรื่องนี้ แต่เขาเตรียมเอาไว้แล้ว

“มินจะสร้างโรงพิมพ์เองด้วยฮะพี่ณิน เพื่อนบอกว่าโรงพิมพ์แต่ละที่ คิวยาวมากเลยกว่าจะจองได้ แล้วบางทีพิมพ์ผิดพลาดด้วย อย่างพวกไสกาวอีกคิวยาวมากหาที่ทำยากด้วย มินก็คิดว่าจะทำให้ครบ เพราะไม่อยากจะให้เรื่องนี้เป็นอุปสรรคฮะ”

“แล้วทำไมต้องมีโรงพิมพ์ในตอนแรกเลยล่ะมิน ทำไมไม่จ้างเขาพิมพ์ให้ก่อน ประสานงานกันดี ๆ ปัญหาพวกนี้ก็น่าจะพอแก้ไขได้นะ เอาไว้กิจการอยู่ตัวค่อยเพิ่มพวกนี้จะดีกว่ามั้ย พี่ว่าอันไหนเซฟได้มินก็น่าจะเซฟไว้ก่อน อีกอย่าง กลุ่มลูกค้าที่จะบริโภคงานพวกนี้พี่ว่ามันยังน้อยไปอยู่นะ ไม่เห็นมินจะทำเบรคดาวน์มาให้พี่ดูแต่ละเดือนเลย ว่าจะมีรายได้และค่าใช้จ่ายยังไง

การจ้างพนักงานอีก จะต้องใช้อะไรบ้างเป็นเงินเท่าไหร่ น่าจะแจกแจงมาให้ละเอียดกว่านี้ ไม่ใช่จะมารวบเอาว่าใช้เงินสามสิบห้าล้านแบบนี้แล้วก็จบ บางทีเวลาเราไปทำงานจริง ๆ งบที่ตั้งเอาไว้อาจจะบานปลายก็ได้ ถ้าเราไม่ได้คิดไว้แต่แรกให้ละเอียด พี่ว่ามินกลับไปทำมาให้พี่ดูใหม่จะดีกว่า ไม่ต้องรีบหรอก ช่วงนี้เศรฐกิจกำลังอยู่ในช่วงขาลง จะทำอะไรก็ให้รอบคอบก่อน”

รู้ว่าพี่บอกเพราะรอบรู้เรื่องธุรกิจ แต่คามินก็เริ่มเบื่อขึ้นมาไม่น้อย ที่จะเอาเงินตัวเองมาใช้แท้ ๆ แต่กลับทำได้ด้วยความยากลำบาก พลอยอดคิดไม่ได้ว่าพี่ชายกำลังขัดขวางเขาอยู่ ‘หรือพี่จะรู้ว่าเรากำลังจะเอาเงินไปทำอะไร ไม่น่านะ คุณลีคงยังไม่ได้บอกอะไรกับพี่ณินแน่’ พยายามจะไม่คิดไปในทางที่ไม่ดีเอาไว้ก่อน จะได้สบายใจ

“พี่ณินฮะ รายละเอียดที่มินทำมานี่มันก็น่าจะพอแล้วนะฮะ ที่มินกับเพื่อนรีบก็เพราะว่าตอนนี้พวกเราว่างตรงกันพอดี จะได้รีบเซ็ททุกอย่างให้เรียบร้อยก่อน อีกหน่อยเพื่อนที่หุ้นด้วย ก็จะต้องไปเรียนต่อที่เมืองนอกแล้ว และที่ตัวเลขของโปรเจคนี้สูง ก็เพราะว่าพวกเราจะเก็บไว้เป็นเงินทุนหมุนเวียนด้วยไงฮะ คนอื่น ๆ เขาเอาเงินมาลงกันครบแล้วนะ เหลือแต่มินคนเดียว ถ้าช้าพวกเขาก็จะไปชวนคนอื่นมาหุ้นด้วยมินก็อดพอดีซิฮะ” พยายามเป็นที่สุดที่จะหาเหตุมาอ้างกับพี่

“พี่เข้าใจ แต่มันก็ไม่มีอะไรมากนี่ แค่มินกลับไปทำเบรคดาวน์มาให้พี่ดูอีกรอบ แล้วก็ให้คิดดูว่าขาดตกอะไรหรือเปล่าแค่นั้น ยิ่งมินรีบทำมาให้พี่ดูเร็วเท่าไหร่ พี่ก็จะได้อนุมัติเร็วขึ้นเท่านั้น และอีกอย่างที่พี่ต้องเคร่งครัดกับมิน ก็เพราะมันเป็นเงินส่วนของมินเอง ถ้ามินใช้ไม่ระวัง มันจะหมดโดยเปล่าประโยชน์ มินอย่าลืมนะ ว่ามินจะต้องเก็บเงินบางส่วน เอาไว้สร้างครอบครัวตัวเองในวันข้างหน้า อีกหน่อยเราก็จะต้องแต่งการแต่งงานมีครอบครัวแล้ว จะต้องรับผิดชอบลูกเมียอีก เพราะฉะนั้นมินต้องระวังเรื่องการใช้เงินให้มาก”

“แต่ถ้ามินไม่ได้เงินจำนวนนี้ไป มินก็ไม่มีวันได้แต่งงานกับคนที่มินรักหรอกฮะพี่ณิน เอ่อ! มินหมายถึงว่ามินจะไม่แต่งงานเด็ดขาด ถ้ามินยังทำอะไรไม่สำเร็จเป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมาฮะ” เกือบจะพลั้งปากให้พี่ชายรู้เข้าให้แล้ว
“เหรอ พูดแบบนี้ก็แปลว่ามีคนรักแล้วสิ เป็นใครกัน ไม่เห็นพามาให้รู้จักเลย เอ๊ะ! หรือว่าไปแอบรักใครจนไม่กล้าบอกพี่กับคุณแม่ หรือว่าพ่อแม่แฟนจะไม่ยอมให้แต่งด้วย ถ้ามินยังไม่มีผลงานชิ้นโบว์แดงให้เขาเห็น” น้ำเสียงที่ล้อเลียน ไม่ได้ทำให้น้องชายรู้สึกสนุกด้วยเลยสักนิด ตรงกันข้ามกลับเป็นกังวลกับคำพูดที่กำกวมของพี่เข้าไปอีก

“เอ่อ!ไม่มีนี่ฮะ ถ้าอย่างนั้นมินจะเอาโปรเจคกลับไปแก้ก่อน แล้วจะเอามาให้พี่ณินดูใหม่นะฮะ งั้นมินขอตัวก่อน สวัสดีฮะพี่ณิน” รีบลุกจากเก้าอี้แทบจะทันที เพราะในใจเกรงว่าพี่จะระแคะระคายอะไรมากไปกว่านี้
“ได้ถ้ารีบก็ทำมาให้พี่ดูใหม่เร็ว ๆ แล้วกัน เดือนหน้านี่พี่ก็คงจะยุ่งมากกว่านี้อีก เพราะต้องเตรียมงานแต่ง ไหนจะเดินสายแจกการ์ดอีก ไหนจะพาลีไปเข้าคลอสเจ้าสาวอีก คงวุ่นน่าดูล่ะ”
คนฟังแทบไม่อยากจะเอาคำพูดของพี่ชายเข้าหูด้วยซ้ำ แม้ในจินตนาการว่าเธอจะต้องเดินเคียงข้างไปกับพี่ชายเพียงแค่นั้น มันก็ทำให้เขารู้สึกแน่นที่หน้าอกขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

“ฮะ งั้นมินขอตัวกลับก่อนแล้วกัน”
หันมาหาพี่ที่เดินมาส่งหน้าห้องแล้วรีบเดินจ้ำอ้าวออกไปโดยเร็ว ในจังหวะนั้นนทีก็นำรถที่มีประณาลีนั่งอยู่เข้ามาจอดพอดิบพอดี คามินฉีกยิ้มด้วยความดีใจที่ได้เห็นหน้าเธอ รีบเดินตรงเข้าไปหาและทักทาย

“คุณลีมาทำอะไรที่นี่ฮะ” “นทีเอาของในรถเข้าไปก่อนก็ได้ เดี๋ยวลีจะตามไปค่ะ”
ประณาลีไม่ปรารถนาให้นทีได้อยู่ฟังบทสนทนา ระหว่างเธอและเขาสักนิดเดียว ตกใจอยู่บ้างเพราะไม่คาดคิดว่าจะพบคามินที่นี่ แต่กระนั้นหญิงสาวก็ยังปั้นหน้าเป็นปกติได้อย่างดีอยู่นั่นเอง คามินทำท่าเหมือนคิดขึ้นได้ว่าไม่น่าถามออกไป คนถูกถามเองก็ดูเหมือนจะใช้ความเงียบเป็นตัวช่วยตอบเขา

“จริงสิฮะ ผมไม่น่าถามเลย คุณลีก็ต้องมาหาพี่ณินอยู่แล้ว ทนอีกหน่อยนะฮะคุณลี อีกไม่นานทุกอย่างจะเรียบร้อย คุณลีจะได้ไม่ต้องพบกับสภาพแบบนี้”

“อ้าว! มิน ยังไม่กลับเหรอ เห็นรีบเดินออกมา พี่คิดว่ามีธุระที่ไหนซะอีก แล้วคุยอะไรกันสองคนนี้”
คณินที่เดินมารับเธอหลังจากที่รู้จากนที ว่าหญิงสาวอยู่หน้าบริษัท เอวคอดถูกเขาเอื้อมมือไปโอบหลวม ๆ เอาไว้ ประณาลีพยายามที่จะพาตัวเองออกจากการโอบ คนพี่รู้ว่าหญิงสาวอายและไม่อยากให้เขาทำอะไร ที่ไม่เหมาะต่อหน้าคนอื่นมากนัก แต่ก็ยังไม่ยอมละวงแขนออกแต่อย่างใด ส่วนคนน้องนั้นกลับเข้าใจว่าหญิงสาวรู้สึกอึดอัด ที่จะต้องถูกแสดงความเป็นเจ้าของต่อหน้าคนที่เธอรัก จึงรีบหาข้อแก้ต่างแทนเธอ







Create Date : 20 กุมภาพันธ์ 2552
Last Update : 20 กุมภาพันธ์ 2552 8:12:21 น. 0 comments
Counter : 346 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ธัญญะ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




ขอสงวนสิทธิ์งานเขียนทุกชิ้นในบล็อคแห่งนี้ ตามพ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ 2537 ห้ามคัดลอก ดัดแปลง แก้ไขโดยไม่ได้รับอนุญาต หากฝ่าฝืน จะดำเนินตามกฎหมายสูงสุด!!
Friends' blogs
[Add ธัญญะ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.