Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2552
 
10 กุมภาพันธ์ 2552
 
All Blogs
 

ธารลาวา ๒๒ (ธัญรัตน์)




ตอน ๒๒

ข้าวของสารพัดที่หิ้วมาเต็มมือ วางกองไว้บนโต๊ะอาหารเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ระเบียงห้อง เดินมามองเจ้าของใบหน้ารูปไข่ที่ยังหลับอยู่ ยังไม่อยากจะกวนให้ตื่นตอนนี้ เข้าใจว่าคงจะเหนื่อยอ่อน หรือเพลียเพราะทำงานหนักมากเกินไป ถึงได้เป็นลมแบบนี้ หลังมือเกี่ยไปตามผิวแก้มอย่างบางเบา ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบทไหน ผู้หญิงคนนี้ก็สวยเด่นตาที่สุดในความรู้สึกเขาเสมอมา ยิ้มอย่างเอ็นดูให้กับคนหลับก่อนจะค่อย ๆ ก้มลงไปสูดดมปรางใสเบา ๆ

ตั้งใจจะไปจัดอาหารใส่จานรอคนหลับ แต่สายตาเหลือบไปเห็นกระดาษที่เปื้อนสีแดงคล้ายเลือด เสียบอยู่ในกระเป๋าสะพาย ที่ผ่านมาความเป็นสุภาพบุรุษมีมากพอ จึงไม่เคยแม้แต่จะล้ำเส้น เมื่อเห็นว่าเจ้าของไม่อนุญาต แต่ตอนนี้ ระหว่างคนที่เป็นลมล้มพับ และกระดาษที่เปื้อนเลือด เขาผูกเอาเองว่าน่าจะเกี่ยวข้องกัน มือค่อย ๆ ดึงกระดาษออกมาอ่านในที่สุด

นี่เป็นการเตือนครั้งสุดท้าย!
ถ้าแกไม่คืนเงินที่น้องชายแกติดหนี้พนันฉันอยู่ ๓๐ ล้านบาท
แกจะได้เห็นศพน้องแกไปกองอยู่หน้าโรงเรียนแน่
ยายแกก็จะได้ไปพบยมบาลก่อนเวลาอันควร
ฉันให้เวลาแกอีกแค่สองเดือนเท่านั้น
ถ้าไม่ยอมทำตาม อย่าหาว่าไม่เตือน และถ้าแกแจ้งตำรวจ
ก็เตรียมตัวนั่งดูโรงเรียนแกไหม้เป็นจุลได้เลย

ตกใจเป็นที่สุด กับเนื้อความในกระดาษ ที่พิมพ์มาเป็นอักษรสีแดง ด้านล่างยังมีหยดสีแดง ๆ เต็มไปหมด คนขู่คงจะจงใจให้รู้ว่าเป็นเลือด แต่ดมดูก็ไม่ใช่กลิ่นเลือด รีบพับกระดาษไปเก็บไว้ที่เดิม เมื่อคนที่นอนอยู่ขยับนิด ๆ แต่ก็หลับไปอีก ในใจให้สงสารผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่ต้องเผชิญกับปัญหาเพียงคนเดียวเป็นที่สุด อยากจะช่วยแต่เธอก็ไม่เคยเปิดปากบอกสักครั้ง ดึงมือขาวบางมากุมไว้ด้วยความรู้สึกที่อยากจะแบ่งปันความทุกข์ให้หมดไป จนคนนอนลืมตาขึ้นมาจ้องมองเขาตอบ

“มาแล้วเหรอคะ ไหนมื้อเที่ยง ลีหิวแล้วล่ะค่ะ”
ถามด้วยรอยยิ้มพร้อมพยุงตัวเองให้ลุกขึ้น คามินเหมือนคิดขึ้นได้ จึงลุกไปจัดแจงอุ่นอาหารกับไมโครเวฟ ทั้งสองกินอาหารกันไปเงียบ ๆ อีกฝ่ายเฝ้าสงสารคนที่มีปัญหา ว่าจะมีทางออกหรือยัง ส่วนอีกฝ่ายเพียงแค่ไม่ยอมเปิดปากพูด เพราะนี่คือบทบาทที่ต้องแสดงตอนนี้

ทั้งสองเดินขึ้นไปดาดฟ้าอีกครั้ง เมื่อมื้อเที่ยงจบลง นั่งมองความเขียวขจีของต้นไม้ด้วยกัน คามินพยายามหาเรื่องโน้นเรื่องนี้มาเล่าให้อีกคนฟัง หวังจะให้ผ่อนคลายลงไปได้บ้าง ใจอยากจะถามถึงกระดาษเจ้าปัญหา แต่คิดอีกทีถึงถามไปคนตรงหน้าคงไม่เปิดปากบอกเป็นแน่ ตั้งแต่รู้จักกันมาไม่เคยแม้แต่ครั้งเดียวที่เธอจะเอ่ยขอความช่วยเหลือจากเขา รู้ทั้งรู้ว่าเขาเป็นลูกคนมีอันจะกิน

ประณาลีลุกขึ้นไปเดินดูภาพที่เขาวาดค้างไว้ โดยมีอีกคนตามไปติด ๆ รู้ว่าจะต้องหยอดรางวัลเพื่อส่งให้เนื้อความในกระดาษ ได้รับการตอบสนองจากศัตรู ร่างบางจึงเซนิด ๆ ไปอีก แต่คนที่คอยระวังให้อยู่แล้วรีบอ้าแขนรับเอาไว้ได้ ตาสองคู่ประสานเข้าหากันด้วยบังเอิญ รู้ว่าคนน้องไม่เหมือนคนพี่ จำต้องส่งสายตาทอดสะพานให้บ้าง แต่ไม่ให้ดูเหมือนจงใจ

อีกฝ่ายจึงกล้ารุก เอื้อมมือจับปลายคางมนให้เงยขึ้นไปหาเขา จมูกโด่งก้มลงไปหอมแก้มขาว ก่อนจะมอบจุมพิตที่เขาเฝ้าถวิลหามานานแรมปี นานจนแทบจะจำไม่ได้แล้ว ว่ารู้สึกอย่างนี้กับเธอตั้งแต่เมื่อไหร่ นานจนแทบคิดว่าคงจะหมดหวังไปแล้วในชาตินี้ แต่วันนี้เหมือนไม่ได้คาดหวังว่าจะได้พานพบ โชคกลับเข้าข้างเขาง่าย ๆ ง่ายจนหน้าแปลกใจ

“อย่าค่ะ”
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ที่ทำให้ต้องรีบห้ามปรามเร็วเกินกว่าที่ตัวเองตั้งใจจะให้เป็น ไม่เหมือนกับที่เคยปล่อยให้ผู้พี่ยึดครองร่างได้ตามต้องการ รีบผละเดินออกห่างเขาไป ด้วยความรู้สึกที่หลากหลายในเวลานี้ แต่ก็แค่เสี้ยววินาทีเท่านั้น เมื่อเรียกสติตัวเองกลับมาอยู่ในบทบาทเดิมได้ สาวไร้เดียงสา ยิ้มอาย ๆ นิด ๆ จึงมีให้เขาได้เห็น

“ผมขอโทษฮะ ผมอยากให้รู้ว่าผมห่วงคุณลีมาก ถ้ามีปัญหาอะไรที่หาทางออกไม่ได้ คุณลีสัญญานะฮะว่าจะบอกผม ขอให้คุณลีไว้ใจผมและเห็นผมเป็นหนทางที่จะช่วยแก้ไขปัญหา” บอกด้วยน้ำเสียงที่ห่วงใยเป็นที่สุด

“ลีไม่มีปัญหาอะไรหรอกค่ะคุณมิน หรือถ้ามี ลีก็มีทางออกไว้ให้ตัวเองแล้วล่ะค่ะ สำคัญว่าลีจะเลือกทางออกทางนั้นหรือเปล่าเท่านั้นเอง คงจะไม่รบกวนคุณมินดีกว่า ไม่อยากให้ใคร ๆ มาว่าได้ ว่าคบคุณมินเพราะเรื่องอื่นมากกว่า...เอ่อ...มากกว่าความเป็นเพื่อนของเราสองคนค่ะ” ยิ้มพร้อมแววตาซาบซึ้งในน้ำใจเขายิ่ง

“อืม! วันนี้ลีเกงานมาเกือบทั้งวันแล้ว ขอตัวกลับก่อนนะคะ จะต้องไปสอนต่อ”
พูดจบคว้ากระเป๋าได้ก็เดินตรงไปบันไดในทันที ยิ้มที่เหมือนจะชิงชังคนที่จากมา เมื่ออยู่ในแท็กซี่
‘ถึงนายมีเงินที่จะเอามาช่วยคนอื่นมากมาย แต่ก็เพราะพ่อนายได้มันมาโดยไม่สุจริตต่างหาก อยากรู้นักว่าถ้าไม่มีเงิน พวกนายยังอยากจะเป็นพระเอกคอยช่วยคนนั้นคนนี้มั้ย’ เหยียดหยามศัตรูอยู่ในใจด้วยความจงเกลียดจงชังเป็นที่สุด

แพทนำรถเข้ามาจอดที่สนามกอล์ฟซึ่งเป็นที่นัดหมายสำหรับวันนี้ นเรศมาออกรอบส่วนสองพี่น้องมากินมื้อเที่ยงด้วยแค่นั้น ทั้งสองสำรวจสภาพตัวเองจากกระจกอย่างเคย ก่อนจะออกจากรถ แพทเลือกนัดก่อนเวลาอาหารเที่ยงเกือบชั่วโมง เพื่อให้เหยื่อได้มีเวลาอยู่ตามลำพังกับประณาลี ถือเป็นการตบรางวัลในความ ‘เขลา’ ของเหยื่อที่โอนบ้านมูลค่ากว่ายี่สิบล้านให้

“พี่แพทไปบอกนายนเรศว่าลีเดินเล่นอยู่แถวโน้นนะคะ”

บอกพี่สาวตามแผนที่วางกันเอาไว้พร้อมชี้ไปอีกทาง ก่อนจะแยกตัวเดินไปชมสวนหย่อม ที่เป็นส่วนหนึ่งของสนามกอล์ฟจัดเอาไว้ให้ลูกค้าได้มานั่งพักผ่อน เวลานี้ปลอดคนเพราะลูกค้าส่วนใหญ่ออกรอบไปหมดแล้ว ที่กลับมาก็จะตรงไปห้องอาหารมากกว่าจะมาที่นี่ นเรศเดินมาหาช้า ๆ ตามที่แพทแนะ ใจอยากจะบอกข่าวดีเรื่องบ้าน แต่เขาก็ทำไม่ได้ เพราะรู้ดีว่าประณาลีจะต้องไม่พอใจจึงได้แต่เก็บเงียบไว้ก่อน

“สวัสดีครับคุณลี สบายดีนะครับ ไม่เจอกันหลายวัน”
ทักทายด้วยรอยยิ้ม ส่วนขาก็ก้าวไปหาร่างในชุดผ้าซิ่นใกล้ ๆ ยิ้มน้อย ๆ ส่งให้คนที่เพิ่งมาถึง ก่อนจะตอบแบบประหยัดคำพูดมากที่สุด เหมือนหลาย ๆ ครั้งที่เคยเป็นมา

“สวัสดีค่ะคุณเรศ ลีสบายดีขอบคุณค่ะ”
จากนั้นประณาลีก็จะตอบคำถาม ที่เขาป้อนมาให้สารพัดนานพอสมควร เจ้าของแผนการจึงเริ่มเข้าแผนที่วางไว้ เมื่อมองเห็นเครื่องมือมาช่วยให้แผนดูกลมกลืนขึ้น นั่นคือรถสปอร์ตป้ายแดงที่ลูกค้าสนามกอล์ฟขับผ่านไปช้า ๆ ดวงตากลมโต มองตามรถคันนั้น ก่อนจะพูดขึ้นลอย ๆ แต่จงใจให้เหยื่อได้ยิน

“รถสวยนะคะ คงจะราคาแพง”
“คุณลีชอบเหรอครับ รุ่นนี้ราคาไม่กี่ล้านหรอก” จนคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ต้องถามด้วยความสงสัย
“ชอบค่ะมันสวยดี แต่จะมีประโยชน์อะไรคะ ถ้าลีอยากได้รถคันนั้นมาครอบครอง ก็ในเมื่อเจ้าของเขาก็ยังใช้มันอยู่ ดูท่าเจ้าของก็คงจะรักรถมากนะคะ ขัดจนขึ้นมันวาวเชียว อย่างนี้ลีจะไปอยากได้ของ ๆ คนอื่นได้ยังไงคะคุณเรศ”
เข้าแผนโดยที่เหยื่อไม่มีทางล่วงรู้ ยังคงต่อประโยคกับเธออย่างคนอวดรวย

“แหม! คุณลีครับ ชอบรถแบบนี้ผมก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นคันนี้นี่ครับ มีอีกหลายคันที่รอให้เราไปซื้อหามาใช้ ผมแค่เปรียบเทียบเท่านั้นเองครับ ถ้าคุณลีสนใจผมจะติดต่อเพื่อนให้ จะได้ราคาพิเศษถูกกว่าเป็นครึ่งเลยครับ”

ความจริงเขาอยากจะบอกว่า ‘จะซื้อให้’ ด้วยซ้ำ แต่รู้ดีว่าพูดออกไปจะต้องถูกปฏิเสธเป็นแน่ เผลอ ๆ ไมตรีที่มีให้กันและกันด้วยดีมาพอสมควร อาจจะขาดสบั้นลงภายในพริบตาก็เป็นได้ เพราะจำมาจากแพท ‘ยายลีรักศักดิ์ศรียิ่งกว่าชีวิต ถ้าใครทำเหมือนจะเอาเงินมาฟาดหัว ให้ตายก็ไม่สนค่ะ’ เขาจึงต้องระวังตัว ระวังคำพูดมาก ๆ เมื่ออยู่ใกล้เธอ

“ไม่หรอกค่ะ แต่ก็ขอบคุณนะคะสำหรับคำแนะนำ ถ้าคน ๆ หนึ่งมีหลาย ๆ ก๊อปปี้เหมือนรถได้ก็คงจะดีนะคะ จะได้ไม่ต้องคอยแย่งใคร ชอบใจก็เลือกซื้อหาเอามาครอบครองได้ โดยไม่รู้สึกผิด แต่จะมีประโยชน์อะไรที่จะคิดแบบนี้กันนะคะ รถก็คือรถ คนก็คือคน จะไปเปรียบเทียบกันได้ยังไง ลีนี่ฟุ้งซ่านใหญ่แล้วค่ะ”

คนฟั่งเริ่มเข้าใจความหมายของคนพูดได้อย่างถ่องแท้แล้ว กลืนน้ำลายลงคอยากกว่าหลาย ๆ ครั้งที่ผ่านมา ก่อนจะให้เหตุผลที่ออกจะเข้าข้างตัวเองและเพศเดียวกันเป็นที่สุด

“ในเมื่อคนไม่สามารถมีหลายก๊อปปี้ได้อย่างรถ ก็ถือซะว่าสมบัติผลัดกันชมซิครับ พอชมเบื่อแล้วก็ต่างคนต่างไป อาจจะไปชอบสมบัติชิ้นอื่นอีก ก็ชมไปอีกเป็นวัฏจักรของชีวิตไงครับ” คนฟังให้ขัดหูเป็นที่สุด แต่ก็เก็บอารมณ์เอาไว้ได้ดีทีเดียว

“ลีเป็นประเภทไม่อยากจะไปชมสมบัติใครค่ะ ถึงจะชอบมากแค่ไหนก็ขออยู่ห่าง ๆ ขอชื่นชมทางใจจะดีกว่า อีกอย่างลีเป็นคนชอบอะไรยาก แต่ถ้าชอบแล้วก็จะชอบเลยไม่เปลี่ยนใจง่าย ๆ เมื่อไม่สมดังใจก็อาจจะเก็บความผิดหวังติดตัวไปจนวันตายก็เป็นได้ค่ะ เมื่อสมบัติชิ้นนั้นไม่มีวันที่เราจะได้ครอบครอง”

ไม่ได้โกหกสักนิดเพราะเธอเป็นคนแบบนี้ และสมบัติที่ว่าก็หาใช่คนตรงหน้าไม่ แต่ช่วยไม่ได้หากคนฟังที่มีนิสัยเข้าข้างตัวเองอยู่แล้วกลับคิดเอาดีใส่ตัว ว่าเธอคงจะหมายถึงการที่เขามีภาระผูกพันอยู่กับภรรยาอยู่นั่นเอง

“แล้วถ้าเกิดสมบัติชิ้นนั้นไม่ได้เป็นของ ๆ ใครล่ะครับ คุณลียังอยากจะได้มาครอบครองหรือเปล่า”

ไม่รู้ว่าเพราะอะไรจึงถามออกไป ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยมีความคิดแบบนี้กับหญิงใดมาก่อน นอกจากคนที่ยืนข้าง ๆ เท่านั้น ที่เปรียบเสมือนสมบัติล้ำค่า ที่เขายังไม่ได้มาเชยชม จนอยากจะแลกด้วยทุกสิ่งทุกอย่างที่มี ถ้าจะได้สมบัติชิ้นนี้มาเป็นเครื่องตอบแทน ใบหน้าที่ปั้นให้เหมือนคนไร้ซึ่งความสุขในขณะนี้ หันมาหาคู่สนทนาช้า ๆ หากเขาได้ล่วงรู้ว่าด้านในกระหยิ่มยิ้มย่องแค่ไหน คงไม่คิดจะพูดออกมาแบบนี้

“ลีไม่อยากเป็นต้นเหตุให้คนอื่น โดยเฉพาะลูกผู้หญิงด้วยกันต้องเสียสมบัติไปค่ะ...เอ่อ...พี่แพทคงจะรอแล้ว ลีว่าเราเข้าไปข้างในดีกว่านะคะ ชักจะหิวแล้ว อีกอย่างลีจะรีบกลับไปสอนต่อด้วยค่ะ”

เมื่อมองเห็นว่าเหยื่อหลงเดินตามแผนแล้ว ก็ถึงเวลาตัดฉับด้วยการไม่กล่าวถึงบทสนทนานี้อีก กระทั่งอาหารเที่ยงเสร็จแยกย้ายกัน โดยเธอขอไปเข้าห้องน้ำคนเดียวปล่อยให้แพทกับเขา เดินนำไปที่รถก่อน และนั่นเป็นเวลาที่นเรศไปเอาโฉนดบ้านและที่ดินในรถ ที่จอดไม่ไกลกันมากมาให้แพทเอาไปเก็บไว้ พร้อมกุญแจบ้าน

“คุณแพทจะหาเหตุชวนคุณลีไปอยู่เลยก็ได้นะครับ ข้าวของทุกอย่างพร้อม ผมให้คนไปหาซื้อมาไว้ครบหมดแล้ว เรียกได้ว่าหิ้วกระเป๋าใบเดียวก็เข้าอยู่ได้เลย” กระซิบบอกแพทระหว่างที่เดินไปด้วยกัน

“ค่ะคุณเรศ แต่แพทไม่รู้จะหาเหตุอะไรมาอ้าง จนทำให้ยายลีเชื่อและย้ายข้าวของไปอยู่สิคะ เอาไว้อีกหน่อยก่อนก็แล้วกันค่ะ พักนี้แพทเห็นลีไม่ค่อยจะสดใสเท่าที่ควร ไม่รู้มีอะไรในใจหรือเปล่า ถามก็ไม่บอก มีแต่เปรย ๆ กับแพทว่า อยากจะได้อะไรบางอย่าง แต่เอามาเป็นของตัวเองไม่ได้ แรก ๆ แพทก็เข้าใจว่าเป็นบ้านหลังนี้ค่ะ แต่พอแพทลองแกล้งถามก็รู้ว่าไม่ใช่บ้านหรอกค่ะ แต่ไม่รู้ว่าเป็นอะไร แพทเองก็เดาไม่ออก ยายลีไม่ค่อยเล่าอะไรให้ฟัง ส่วนใหญ่จะเก็บมากกว่า”

กองสมทบทำงานได้ดีเยี่ยม นเรศรู้แล้วว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้คนที่ถูกกล่าวถึงไม่สดใส แต่เขาไม่อยากจะบอกให้แพทรู้ เพราะกลัวและเกรงใจแพทมากทีเดียว ประณาลีเดินมาสมทบ เมื่อแอบมองเห็นว่าซองสีหน้าตาลแพทพับเก็บเข้ากระเป๋าเรียบร้อยแล้ว การสั่งลาระหว่างเธอและเขาจึงมีแค่รอยยิ้มเจื่อน ๆ ที่จงใจจะส่งให้เหยื่อ เอาไปนอนขบคิดเกี่ยวกับเรื่องที่คุยกัน

“พี่ชักอยากจะเห็นบ้านแล้วสิว่าสวยแค่ไหน ไปดูกันมั้ยลี” รถแล่นออกมาได้ไกลแล้วแพทจึงเสนอ
“อย่าดีกว่าค่ะพี่แพท ทิ้งไว้แบบนั้นล่ะค่ะ สักพักพี่แพทค่อยไปดู แต่ต้องไปคนเดียวนะคะ ลีจะไม่ไปเหยียบบ้านหลังนั้นเด็ดขาด” เสียงหนักแน่นในช่วงหลังทำให้แพทไม่กล้าจะเซ้าซี้ต่อไป จนคนขับคิดขึ้นได้ว่าจะบอกอะไรแพทจังหันมาหา
“เอ่อ! พี่แพทคะ ระหว่างนี้ถ้าวันไหนนายนเรศมารับน้องเจนนี่พร้อมคณิศรพี่แพทบอกลีด้วยนะคะ”

“ได้ ๆ แล้วลีจะทำอะไร”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ แค่จะทำให้ตัวเองผิดน้อยลงไปหน่อยในสายตานายนเรศแค่นั้นค่ะ ถ้าลีคิดจะรับรักใครที่ไม่ใช่นายนเรศ ยังไง ๆ ลีก็ต้องเลี้ยงใจเขาให้อยู่กับลีไปก่อนนี่คะ”
เพียงแค่นี้แพทก็วาดภาพออกแล้ว ว่าประณาลีจะทำอะไรต่อไป

อัมพรมองสมาชิกในบ้านที่มาร่วมโต๊ะกันพร้อมหน้าด้วยความสุขใจ ความต้องการของคนเป็นแม่ก็มีแค่นี้ คือได้เห็นลูก ๆ เติบโตขึ้นมาดำรงค์ชีวิตอย่างมีความสุขในสังคม คิด ๆ แล้วก็อดเสียดายไม่ได้ที่สามีจากไปก่อนเวลาอันควร ถ้าได้อยู่ด้วยกันในตอนนี้คงจะมีความสุขไม่น้อยเลย

“พี่ณิครับ คุณป้าหญิงคิดถึงเจ้าสองตัวนี้ ท่านว่าว่าง ๆ ให้พาไปหาด้วยนะครับ”
คณินบอกพี่สาวสายตาก็มองพี่เขยที่นั่งข้างกันด้วย เป็นเชิงบอกพร้อม ๆ กัน พอเอ่ยถึงคุณป้าหญิงก็คิดถึงอีกคนที่คุณป้าหญิงเพิ่งจะถามถึง เมื่อไปหาลุงกัมปนาทเกี่ยวกับเรื่องโปรเจคใหม่เมื่อวานนี้ เสียดายที่วันนี้เจ้าตัวไม่ยอมมาร่วมโต๊ะด้วย ตามที่เขาเสนอไป แต่ก็เข้าใจดีว่าการที่จะพาใครเข้าบ้าน โดยเฉพาะในฐานะที่สำคัญ ทุกคนย่อมต้องอยากรู้อยากเห็นว่าคนคนนั้นเป็นใครมากจากไหน

โดยเฉพาะพี่สาวคนดีที่เดาได้ว่าคงจะไม่ค่อยชอบประณาลีนัก ส่วนน้องสองคนก็คงไม่มีปัญหาอะไร แม่ยิ่งแล้วใหญ่ คงจะดีใจจนเกินเหตุ ที่เขาจะตัดสินใจอะไรลงไปสักที ‘ก็ดีที่ให้มาเจอแม่ก่อน’ เขาสรุปให้กับตัวเอง

“ยังไม่นอนอีกเหรอฮะพี่ณิน” น้องชายเดินมาหานั่งลงเก้าอี้ข้างสระน้ำ
“ยังไม่ง่วงเท่าไหร่ ที่แกลอรี่เป็นยังไงบ้างมิน พี่ไม่ได้ไปอุดหนุนนานแล้ว”
ถามเพราะพักนี้งานยุ่งจนห่างเหินน้องไปนาน กว่าจะได้เจอกันอีกทีก็สองสามอาทิตย์ในช่วงนี้ คนน้องยิ้มให้พี่เป็นการขอบคุณในความห่วงใย แม้ไม่ได้พูดอะไรมากเขาก็รู้ว่าพี่รักและห่วงน้อง ๆ ทุกคน คามินอยากจะถามอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่กล้า

“มีอะไรกับพี่หรือเปล่า” เหมือนรู้ใจน้องจึงถามออกไป โดยไม่ต้องมองสบตาด้วยซ้ำ
“พี่ณินนี่เก่งจริง ๆ เลยนะฮะ คือมินอยากจะถามหน่อยฮะ ว่าถ้าเกิดมินอยากได้เงินจำนวนหนึ่งไปทำอะไรบางอย่างพี่ณินจะอนุญาตหรือเปล่า” น้ำเสียงที่ถามออกไปนั้นอ่อนโยนจนคนพี่ยิ้มให้

“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ เงินส่วนของมินก็มี ถึงคุณพ่อคุณแม่จะให้พี่ดูแลให้ แต่ถ้ามินอยากจะใช้ก็เอาเอกสารไปให้พี่เซ็นได้ ไม่เห็นต้องมาถามพี่เลย ว่าแต่จะเอาเท่าไหร่ เอาไปทำอะไร แล้วจะเอาเมื่อไหร่ล่ะ”
เป็นธรรมดาที่พี่ต้องอยากรู้ แต่คนน้องตระหนักดีว่าถ้าขืนบอกจำนวนไปตอนนี้ มีหวังพี่ชายต้องสงสัยแน่ ว่าจะเอาไปทำอะไร ต่อให้รักน้องแค่ไหน ถ้าลองได้รู้ว่าจะเอาเงินจำนวนมากขนาดนั้น ไปให้ผู้หญิง ถึงไม่ได้ให้โดยตรงก็เหอะ พี่ก็คงจะให้ยากอยู่ดี

“เอ่อ! ยังไม่รู้ว่าเท่าไหร่แน่ฮะพี่ณิน ยังไม่ได้สรุปว่าโปรเจคจะลงตัวที่อะไร เอาไว้มินได้ข้อสรุปแล้วจะบอกพี่ณินนะฮะ วันนี้แค่ถามก่อนว่าจะอนุญาตหรือเปล่า พี่ณินตกลงแล้วนะฮะ พอถึงเวลาห้ามกลับคำนะ สัญญาลูกผู้ชายด้วย”
ต้องล่อเอาไว้ก่อน จนคนพี่ยิ้มขำ ๆ ก่อนจะแหย่น้องอย่างอารมณ์ดี

“หัดเป็นนักธุรกิจตั้งแต่เมื่อไหร่มิน เดี๋ยวนี้มีต่อรอง มีหาสัญญิงสัญญา แต่ก็เอาเถอะถ้าจะต้องใช้พี่ก็ไม่ห้ามหรอก แค่อยากรู้ว่าจะไม่เอาไปทำอะไรเล่น ๆ ทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ แค่นั้นก็เป็นพอ ถ้ามีอะไรอยากให้พี่ช่วยดูให้ก็บอก”

สองพี่น้องคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้จนดึกดื่น คนพี่อยากจะโทรไปหาใครบางคน แต่ก็คิดว่าไม่ค่อยมีโอกาสได้คุยกับน้องแบบนี้ ก็เลยยอมทนคิดถึงไปก่อน พรุ่งนี้ก็จะได้เจอกันแล้ว เพราะต้องไปรับมากินมื้อเที่ยงที่บ้านกับแม่ วันจันทร์เป็นวันที่ปลอดคนในบ้านที่สุด น้องชายก็จะไปแกลอรี่แต่เช้า หรืออาจจะไปคืนนี้ ส่วนน้องสาวไม่ต้องพูดถึงเรียนเสร็จก็ไปเที่ยวต่อกับเพื่อน กว่าจะกลับก็ค่ำมืด พอกลับมาแล้วก็เข้าห้องเลย น้อยนักจะลงมาคุยกับแม่เหมือนเมื่อก่อน แต่เขาก็เข้าใจดีว่า คนเป็นหนุ่มเป็นสาวก็ย่อมอยากจะมีโลกส่วนตัว ไม่อยากให้ใครเข้าไปยุ่งเป็นธรรมดา เพราะเขาเองก็เคยผ่านวัยนั้นมาแล้วจึงไม่ได้ว่าอะไร

ร่างบอบบางในชุดผ้าซิ่นที่เป็นผ้าไหมสีเปลือกมังคุด เสื้อยืดแนบตัวสีขาวยีห้อดัง แทนที่เสื้อกล้ามเหมือนทุกวัน เข็มขัดเงินที่ได้เป็นสินน้ำใจจากคุณป้าหญิงวันนั้น ถูกหยิบขึ้นมาคาดเอวกิ่วเอาไว้ สร้อยหินสีนิลลูกเล็ก ๆ ร้อยรวมกันเป็นเส้นยาวลงไปถึงหน้าอก เมื่อเจ้าของนำไปสวมใส่ สีนิลตัดกับเสื้อขาวทำให้เก๋ดูดีและมีระดับขึ้นมาได้ ผมยาวสลวยยังคงถูกรวบยกสูงไปมัดไว้ด้านหลังเช่นทุกวัน ส่วนใบหน้าวันนี้หญิงสาวเลือกแต่งอ่อนกว่าทุกวัน ยืนหมุนมองร่างในกระจก เมื่อพอใจในสภาพตัวเองแล้วก็ลงไปหาเจ้าของสปอร์ตที่นั่งรออยู่ในรถ

ยิ้มให้ด้วยความพึงพอใจในการแต่งกายของเธอ ใจจริงก็อยากจะให้เปลี่ยนจากผ้าซิ่นเป็นกระโปรงหรือกางเกงบ้าง แต่เมื่อเป็นความพอใจของผู้สวมใส่ และยังบ่งบอกถึงความเป็นตัวตนที่แท้จริงของเธอได้ ก็ไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงอะไร ก็เขาพอใจที่เธอเป็นแบบนี้ ก็อยากให้แม่พอใจด้วยเหมือนกัน มือหนาดึงมือคนข้าง ๆ มากุมไว้ เป็นการให้กำลังใจอยู่ในที ก่อนจะเดินลงไปเปิดประตูรถให้ อัมพรนั่งรอด้วยความตื่นเต้น เมื่อเพิ่งจะได้รับโทรศัพท์จากลูกชายว่า

‘คุณแม่ครับเดี๋ยวผมจะพาเพื่อนมากินข้าวเที่ยงด้วยนะครับ อีกครึ่งชั่วโมงจะถึง คุณแม่ไม่ยุ่งนะครับ’
‘เพื่อนคนไหนล่ะลูก แม่รู้จักมั้ย แล้วเป็นเพื่อนผู้หญิงหรือผู้ชาย’
‘อ๋อ! เป็นเพื่อนผู้หญิงครับคุณแม่ คนที่คุณแม่อยากให้ผมพาไปหาไงครับ’

นิ่งคิดในคำพูดลูกอยู่ครู่ก่อนจะยิ้มออกมา เมื่อรู้ความหมายโดยนัยแล้ว จากนั้นก็รีบไปอาบน้ำแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่พร้อมจะรับแขก เสร็จก็มานั่งรออย่างใจจดใจจ่อ เสียงรถจอดสักพักแล้ว เห็นลูกชายตรงมาที่ห้องรับแขก มือจูงใครคนหนึ่งเดินมาด้วย อัมพรยิ้มรับหน้าบานเมื่อมองเห็นร่างอรชน กับท่วงท่าที่สง่างามเคียงคู่มากับลูกชาย

“คุณแม่ครับผมมาแล้ว นี่เพื่อนผมครับ ชื่อประณาลี คุณแม่จะเรียกสั้น ๆ ว่าลีก็ได้”
“ลีไปกราบคุณแม่ท่านสิครับ รู้มั้ยว่าท่านรอเจอลีมาตั้งนานแล้วนะ”

บอกพร้อมยิ้มแหย่แม่ ส่วนอีกคนเมื่อต้องเผชิญหน้ากับศัตรูซึ่ง ๆ หน้า ความเคียดแค้น เกลียดชัง ต้องนำไปเก็บไว้ในซอกลึก ๆ ของความคิด ได้แต่ดึงเอาการควบคุมตัวเองที่ฝึกมาเนิ่นนานถูกนำมาใช้นั่นคือสีหน้าที่ยิ้มแย้ม กิริยามารยาทเรียบร้อย อ่อนโยน และนอบน้อมแทน ก้มลงกราบไปที่ตัก ‘ศัตรู’ เหมือนไม่มีสิ่งใดค้างคาในใจมาก่อน อัมพรเอื้อมมือลูบศีรษะไปมาเบา ๆ ยิ้มให้ด้วยใบหน้าที่อ่อนโยนแกมดีใจ จนคนเป็นลูกยิ้มออกมาด้วยความโล่งอก ที่เห็นแม่มีสีหน้าปรีดากับคนตรงหน้า

“สวัสดีค่ะคุณป้า”
“ไหว้พระเถอะลูก แม่ว่าลุกขึ้นมานั่งบนนี้ด้วยกันจะดีกว่านะ ไม่ต้องเกรงใจคิดว่าเป็นบ้านของตัวเอง หนูชื่ออะไรนะ”
ความดีใจทำให้ลืมสิ่งที่ลูกชายบอกไปเมื่อสักครู่ จนลูกชายรีบชิงตอบแทนหญิงสาว
“ชื่อประณาลีครับคุณแม่ ชื่อเล่นว่า ลี”

“อ้อ! แม่จำได้แล้วหนูลี ว่าแต่เป็นลูกเต้าเหล่าใครกันนะ ทำไมถึงได้หน้าตาหมดจดเหลือเกิน ดูสิผิวพรรณก็งาม มิน่าล่ะลูกชายแม่ถึงได้หวงไม่ยอมพามาให้รู้จักสักที”

คนฟังเกือบจะกลืนก้อนที่จุกอยู่ในลำคอลงไปไม่ได้ วินาทีนั้นเป็นเสี้ยวเวลาที่เจ็บปวดอย่างที่สุด เมื่อคิดถึงวาระสุดท้ายของผู้ให้กำเนิด ที่จากเธอและน้องไป แต่ทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติ อยากจะขอบคุณอีกคนที่ช่วยตอบคำถามให้ โดยที่เธอแค่นิ่งเงียบและยิ้มบาง ๆ กลบเกลื่อนแค่นั้น

“ลีเป็นกำพร้าครับคุณแม่ พ่อกับแม่เสียตั้งแต่เด็ก ๆ ลีอยู่กับยายมาจนโต ผมก็เลยไม่รู้ว่าความสวยนี่ได้มาจากใครระหว่างแม่กับคุณยาย แต่ท่านบอกผมว่าลีสวยเหมือนท่านตอนสาว ๆ ครับ”
ดีใจจนแย่งตอบอีกครั้ง คนเป็นแม่ชำเลืองตามองเชิงตำหนิแต่ไม่จริงจังนัก จนลูกชายเริ่มรู้ตัวก็เลยได้แต่ยิ้มให้แม่อยู่อย่างนั้น

“อายุเท่าแล้วล่ะหนูลี ทำงานทำการอะไรเหรอ แล้วรู้จักกับพ่อลูกชายแม่ได้ยังไงกัน”
“ลีอายุ ๒๕ ปีค่ะ เปิดโรงเรียนสอนรำไทยอยู่ค่ะตอนนี้ คุณคณินเคยจ้างเราไปแสดงที่บริษัทก็เลยรู้จักกันค่ะ”
น้ำเสียงนุ่มนวลที่ตอบไป ทำให้คนฟัง ๆ แล้วรื่นหูไม่น้อย

“วันนี้ลีจะทำอะไรให้ผมกับคุณแม่กินดี ลีทำอาหารอร่อยครับคุณแม่ อยากให้ลองชิมดู รับรองว่าฝีมือเทียบป้าแป้นได้ครับ” ไม่ได้บอกว่าเธอจะต้องแสดงฝีมือในการทำครัวก่อนมา แค่อยากจะแกล้งเล่น ๆ แต่ก็รู้ว่าเธอจะต้องทำได้
“จริงหรือจ๊ะหนูลี ลองลูกชายแม่รับรองแบบนี้ชักอยากจะชิมแล้วสิ”

“ลีกลัวจะทำไม่ถูกปากคุณป้ามากกว่าค่ะ ผู้ชายส่วนมากกินง่าย ๆ ฝีมือปลายแถวอย่างลี ทำอะไรให้กินก็บอกว่าอร่อยไปหมดแล้วล่ะค่ะ แต่ถ้าเป็นคุณป้าลองชิมกลัวจะเหลือบานเบอะสิค่ะ”
การถ่อมเนื้อถ่อมตัวเขาว่าผู้ใหญ่จะเมตตา คำ ๆ นี้ใช้ได้ผลกระทั่งตอนนี้ ยิ้มพร้อมแววตาที่เอ็นดูคนช่างพูดเหลือเกิน เห็นไม่กี่นาทีก็บอกได้ว่าลูกชายตาถึงเข้าใจเลือกผู้หญิงที่แม่ต้องตา

“เรียกแม่ก็ได้จ๊ะหนูลี ส่วนมากเพื่อน ๆ ตาณินจะเรียกแม่ไม่ค่อยมีใครเรียกป้าหรอกจ๊ะ”
“ค่ะคุณแม่” “งั้นผมพาลีไปดูที่ครัวก่อนนะครับว่าจะมีอะไรทำอวดฝีมือให้คุณแม่ชิมบ้าง”
บอกแล้วก็จูงมือน้อย ๆ เดินตรงไปในครัว ทิ้งให้แม่มองตาม ห้วงความคิดหนึ่งบอกตัวเองว่า เหมือนเคยเห็นดวงตาคู่นี้ที่ไหนมาก่อน เค้าหน้าของหนูคนนี้ก็รู้สึกคุ้นจนบอกไม่ถูก แต่คิดไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน

“ทำอร่อย ๆ นะครับลีผมรอกินอยู่นะ อยากได้อะไรก็บอกเด็ก หรือป้าแป้นได้ ผมไปคุยกับคุณแม่ก่อน ป้าแป้นครับช่วยดูคุณลีโชว์ฝีมือด้วยนะครับ แต่ห้ามช่วยเรื่องปรุงนะ”

แม่ครัวใหญ่ของบ้านยิ้มรับด้วยความนอบน้อม ไม่บอกก็รู้ว่าถ้าลอง ‘คุณณิน’ ได้พาผู้หญิงคนไหนเข้าบ้านมากราบแม่แบบนี้ ก็คงจะถือว่าเป็นตัวจริงแล้วล่ะ แต่จะยกเว้นเอาไว้ก็คือ ‘คุณโรส’ แค่คนเดียวที่มาบ้านหลายครั้งแล้ว แต่ไม่มีอะไรคืบหน้าสักที แปลว่าคนนั้นไม่ใช่แน่







 

Create Date : 10 กุมภาพันธ์ 2552
0 comments
Last Update : 10 กุมภาพันธ์ 2552 8:39:59 น.
Counter : 400 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ธัญญะ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




ขอสงวนสิทธิ์งานเขียนทุกชิ้นในบล็อคแห่งนี้ ตามพ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ 2537 ห้ามคัดลอก ดัดแปลง แก้ไขโดยไม่ได้รับอนุญาต หากฝ่าฝืน จะดำเนินตามกฎหมายสูงสุด!!
Friends' blogs
[Add ธัญญะ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.