จะเห็นได้ว่า "โรคตาดับ" เป็นภาวะอันตรายต่อดวงตา อาจเกิดจากโรคร้ายแรงทางตาได้หลายโรค ดังนั้นหากพบผู้ที่มีปัญหาการสูญเสียความสามารถในการมองเห็นอย่างเฉียบพลัน ควรรีบสังเกตให้เร็วที่สุดและไปพบแพทย์ เพื่อให้การรักษาที่เหมาะสมทำให้ภาวะโรคตาดับสามารถได้รับการรักษาให้กลับมาเป็นปกติได้
1. ควรใช้สายตาที่มีแสงสว่างเพียงพอและหลีกเลียงการเพ่งมองเป็นเวลานาน ๆ ซึ่งจะทำให้เกิดอาการปวดตาได้
2. ควรสวมแว่นตากันแดดทุกครั้งที่อยู่ในที่มีแสงจ้า
โดยเฉพาะเวลาที่เล่นกีฬาหรือมีกิจกรรมที่อาจจะเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ หรืออุบัติเหตุต่อดวงตา เช่นการเล่นกีฬาบางอย่าง การทำงานเฟอร์นิเจอร์ ส่วนใหญ่แว่นประเภทนี้จะทำมาจาก polycarbonate ซึ่งมีความแข็งแรงกว่าพลาสติกประมาณ 10 เท่า เพื่อเป็นการป้องกันรังสี UV เวลาเลือกซื้อพยามเลือกที่สามารถป้องกันได้ทั้ง UV-A และ UV-B ได้ 99-100% หากต้องทำงานที่เสี่ยงต่ออุบัติเหตุต่อดวงตาต้องใส่แว่นทุกครั้งอุปกรณ์ป้องกันทุกครั้ง
3. หลีกเลียงการใช้มือสกปรกขยี้ตา หรือใช้ของร่วมกับผู้อื่น เช่น ผ้าเช็ดหน้า เพราะเครื่องสำอางที่ตกค้างอยู่บนผ้าเช็ดหน้า อาจทำให้เกิดการติดเชื้ออักเสบได้
4. ในกรณีที่ใช้สายตาทำงานมาก ๆ เช่น อ่านหนังสือ ควรหาช่วงพักผ่อนสายตา อาจจะด้วยการทอดสายตาออกไปไกล ๆ หรือมองต้นไม้สีเขียวบ้าง ถ้าใช้เวลาอยู่กับคอมพิวเตอร์ หรือใช้สายตาเพ่งมากเกินไป บางครั้ง การกระพริบตาจะน้อยลงโดยที่ไม่รู้ตัว ทำให้กล้ามเนื้อตาล้า และตาแห้งได้ พยายามใช้กฏ 20-20-20 คือ ทุก 20 นาที มองไปไกล 20 ฟุต ประมาณ 20 วินาที เพื่อเป็นการพักสายตา และป้องกันสายตาล้า ปวดตาได้
5. การนอนอย่างเพียงพอในห้องที่มีอากาศถ่ายเทได้ดีนั้น เป็นการพักผ่อนสายตาได้ดี
6. การแต่งหน้าอาจทำให้เกิดถุงใต้ตา และรอยเหี่ยวย่นได้ง่าย เนื่องจากเนื้อครีมเข้มข้นอาจใช้แรงกดในการทา ซึ่งทำให้เกิดริ้วรอยได้ ฉะนั้นต้องหาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติบำรุงผิวหน้า และผิวรอบดวงตาโดยเฉพาะ ต้องมีเนื้อครีมที่บางเบา ไม่มีสารที่ก่อให้เกิดอาการระคายเคือง
7. ถ้าดวงตาเกิดอาการบวมแดง หรือดูอิดโรยไม่สดใส ให้ใช้สำลีชุบน้ำเย็นหรือ ผ้าห่อน้ำแข็งวางบนเปลือกตาทั้งสองข้าง
8. บริหารดวงตาโดยการกรอกลูกตาไปมาเป็นวงกลมเริ่มจากตามเข็มนาฬิกาครบหนึ่งรอบ แล้วกรอกทวนเข็มนาฬิกา ทำอย่างนี้ซ้ำ ๆ กันวันละ 2-3 ครั้ง แล้วนอนหงายหรือนั่งหลับตาสักพัก ซึ่งอาจใช้แตงกวาฝานชิ้นบาง ๆ แปะไว้บนเปลือกตาทั้งสองข้าง เมื่อลืมตาขึ้นมาจะทำให้ดวงตาดูมีชีวิตชีวาขึ้น
9. หากตาต้องเผชิญมลพิษ เกิดความระคายเคืองดวงตา จากฝุ่นผงควร ใช้วิธีล้างตาด้วยน้ำสะอาดหรือน้ำยาล้างตา โดยกรอกตาไปมาในน้ำ ไม่ควรขยี้ตา หรือใช้ยาหยอดตาบ่อยๆโดยไม่จำเป็น กรณีที่จำเป็นต้องใช้ยาหยอดตาอย่าไปหยิบยืมใคร เพราะอาจติดเชื่อโรคได้ง่าย และเมื่อเปิดใช้แล้ว ให้ปิดฝาให้สนิท ยาหยอดตาที่เปิดใช้แล้วมีอายุไม่เกิน 1 เดือน เพราะอาจเกิดการปนเปื้อนได้
10. การเลือกทานอาหารช่วยในการบำรุงสายตา
อาหารที่มีประโยชน์ต่อดวงตา เช่น แครอท ผลไม้ และผักใบเขียว สามารถช่วยทำให้ตามีสุขภาพที่ดี นอกจากนี้มีงานวิจัยที่พบว่า การรับประทานอาหารที่มี Omega-3 สูง เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ก็จะสามารถช่วยบำรุงสายตาได้เช่นกัน
11. พบจักษุแพทย์เพื่อทำการตรวจตาอย่างละเอียด จะช่วยทำให้แน่ใจได้ว่าตาไม่มี ปัญหาจริง ๆ เนื่องจากโรคตาบางชนิด เช่นต้อหิน วุ้นในตาเสื่อม อาจจะเกิดขึ้น โดยที่ไม่มีอาการเตือนล่วงหน้า แต่สามารถตรวจพบได้โดยการตรวจตาโดยจักษุแพทย์ ในบางครั้งแพทย์จะทำการขยายม่านตา โดยให้ยาหยอดตา ทำให้สามารถตรวจได้ละเอียดมากยิ่งขึ้น
12. โรคตาบางชนิดสามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรม หากมีประวัติในครอบครัว คุณก็จะมีความเสี่ยงมากยิ่งขึ้น เพื่อทำการตรวจทำการป้องกันก่อนที่จะสายเกินไป
13. การควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ในคนที่มีน้ำหนักตัวมากเกินไปจะมีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดโรคเบาหวาน และโรคอื่น ๆ ซึ่งอาจจะนำไปสู่ความผิดปกติของดวงตาได้ เช่น โรคตาจากเบาหวาน หรือความดันโลหิตสูง ดังนั้นการควบคุมน้ำหนักให้ดีก็เป็นประโยชน์ต่อดวงตาเช่นกัน
14.งดสูบบุหรี่ บุหรี่เป็นอันตรายต่อหัวใจ เส้นเลือด และเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งแล้ว บุหรี่ยังเพิ่มความเสี่นงต่อการเกิดโรควุ้นในตาเสื่อม ต้อกระจก และการทำลายเส้นประสาทตาอีกด้วย ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดตาบอดได้
15.ล้างมือให้สะอาดเป็นประจำ หากต้องใช้คอนแทคส์ ควรเรียนรู้และฝึกฝนที่จะใช้ให้ถูกต้อง เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
ต้องต้องเพลาๆมั่งแล้วล่ะ จะได้ถนอมสายตาบ้าง
ขอบคุณเรื่องราวดๆีจ้ะ
เดี๋ยวย่องมาใหม่น้า