Day 2 สวรรค์ของคนขี่จักรยานวันที่สองเรายังอยู่ที่เมืองเกียวโตครับ หลังจากเดินทรหดกันไปเมื่อวันแรก เดินหลงก็เหนื่อย ขึ้นเขาก็หนักจนมีอาการขาเดี้ยงกันบ้าง วันที่2 ของทริปนี้เราเลยมาลองด้วยวิธีการขี่จักรยานดูบ้าง ซึ่งที่นี่จักรยานเช่ากันเป็นวันหรือแบบเป็นชั่วโมงก็ได้และมีให้เลือกหลายแบบ ซึ่งแก๊งค์ของพวกเราเช่าจักรยานธรรมดาๆ จากที่พัก K's House ที่เราพักกันอยู่นี้คันละ 700 เยนต่อวัน ในตอนแรกก็ยังหวั่นๆ อยู่ว่ามันจะยากเย็นไม๊อย่างไรแต่พอขี่ไปได้ซักพักก็ทำให้ได้รู้ว่ามันสะดวกสบายมาก
จักรยานเข้าตรอกซอกซอยแคบๆ ได้สบาย
การขับขี่จักรยานในเกียวโตนั้นทำให้ทัศนคติในการขี่จักรยานของพวกเราเปลี่ยน ไป ด้วยความที่ถนนหนทางและทางเท้าซึ่งเขาให้จักรยานได้นั้นถูกออกแบบมาเป็นอย่างดีทำให้การขี่จักรยานทำได้อย่างคล่องแคล่วว่องไวไม่ติดขัดหรือสะดุด ฟุตบาตของที่นี่จะกว้างชวางมีช่องสำหรับจักรยาน ไม่มีการขายของเกาะกะ ไม่มีตู้โทรศัพท์ เสาไฟฟ้า หลุมบ่อ โน่นนี่นั่นมาขัดขวางการขี่จักรยานแถมทุกจุดที่ตัดผ่านถนนยังเป็นทางลาดที่ เรียบเนียน มอเตอร์ไซค์ก็ไม่มี ถ้าเมืองไทยทำได้ซักครึ่งนึงของประเทศนี้คงจะน่าอยู่อีกมากมาย
อาคารแปลกๆ นอกเส้นทางด้วยจักรยาน
จริงๆ แล้วการขี่จักรยานในเมืองไหนๆ ในญี่ปุ่นก็ทำได้อย่างสะดวกสบายและปลอดภัยอยู่แล้วละครับ ผู้คนในญี่ปุ่นใช้จักรยานกันเป็นเรื่องปกติเพราะเขานิยมใช้ระบบขนส่งมวลชน ที่มีโครงข่ายรถไฟ (ใต้ดินและบนดิน) ครอบคลุมตัวเมืองและนอกเมืองได้อย่างยอดเยี่ยม การเดินทางไปในที่ต่างๆ ทำได้อย่างง่ายดายไม่เว้นแม้แต่นักท่องเที่ยวอย่างพวกเราก็สามารถใช้ระบบขนส่งของเขาได้อย่างสะดวกเช่นกัน การใช้จักรยานจึงเป็นการผ่อนแรงและประหยัดเวลาและพลังงานจากบ้านไปยังสถานีรถไฟหรือป้ายรถเมล์ต่างๆ โดยเราจะเห็นคนทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นคนทำงานใส่สูท สาวสวยวัยรุ่น เด็กนักเรียนนักศึกษา หรือไม่เว้นแม้แต่คนชราก็ขี่จักรยานกันเป็นเรื่องปกติ
มุมมองจากตรอกเล็กๆ ขนาบแม่น้ำใหญ่เข้าถึงด้วยจักรยาน
ชมวัด Kiyomizu-dera วัดสวยน้ำใสบนเขาพล่ามเรื่องขี่จักรยานมามากเข้าเรื่องท่องเที่ยวกันดีกว่าครับ โปรแกรมของเราในวันนี้คือไปวัดคิโยมิสึหรือที่คนไทยรู้จักกันว่าวัดน้ำใสซึ่งเป็นวัดที่สวยงามอยู่บนภูเขาฮิงายามากลางเมือง ใครมาเกียวโตไม่น่าจะพลาดวัดนี้ได้ (วัดนี้เป็นมรดกโลกเช่นกันครับ) เราขี่จักรยานจากที่พักข้ามแม่น้ำ Kamogawa เส้นเดิมลัดเลาะไปตามฟุตบาต บ้างก็แวะเข้าซอกซอยเล็กๆ น้อยๆ ได้เจอบ้านเรือนอาคารสวยๆ ตรอกซอยวัฒนธรรมที่น่ารักที่เราไม่เคยได้เจอด้วยการเดินหรือนั่งรถเพราะเวลาเราเดินเราก็จะไม่ค่อยกล้าออกนอกเส้นทางเพราะกลัวหลง นั่งรถก็เข้าซอยย่อยๆ พวกนี้ไม่ได้หรอกครับ การขี่จักรยานในเมืองสวยๆ แบบนี้จึงน่าจะเป็นทางเลือกสำหรับใครที่คิดจะมาเที่ยวที่นี่ อากาศเย็นสบายแบบนี้มันสุดยอดจริงๆ
กลับมาที่วัดคิโยมิสึกันต่อครับ เนื่องจากวัดนี้อยู่บนภูเขาเราจึงทำได้ดีที่สุดคือขี่ต้านแรงดึงดูดไปซักหน่อยแล้วหาที่จอดจักรยานที่เชิงเขาและเดินเท้าต่อขึ้นวัด ระหว่างทางขึ้นวัดก็เต็มไปด้วยร้านรวงน่ารักๆ เรียกว่า “ถนนสายกาน้ำชา” เนื่องจากมีในอดีตมีขายกาชาเครื่องปั้นดินเผากันเยอะครับ แต่ปัจจุบันมีขายของฝากของที่ระลึกตลอดสองข้างทางแทน (มีกาชาบ้างประปราย)
ร้านขายของระหว่างทางขึ้นสู่วัด
เสน่ห์แบบนี้คงมีแต่ญี่ปุ่นละครับที่คุณจะสัมผัสได้ ทุกคนที่นี่เขายิ้มแย้มแจ่มใสกระตือรือล้นที่จะทำงานของตัวเองไม่ว่าจะเป็นงานอะไร นี่คือเคล็ดลับของคนญี่ปุ่นที่ทำให้ประเทศนี้เจริญกว่าใครๆ ซึ่งทัศนคติของคนในบางประเทศจะหวังผู้นำที่จะขี่ม้าขาวมาช่วยกอบกู้ความทุกข์ยาก (ซึ่งไม่มีหรอก) อยากให้ทุกคนทุ่มเทในหน้าที่แบบคนญี่ปุ่นจัง
นอกเรื่องตลอด กลับมาที่วัดน้ำใสอีกครั้ง 555 รายละเอียดปลีกย่อยมันเยอะครับอยากพูดถึงให้หลายๆ คนได้รับรู้เพราะที่เที่ยวยังไงก็รู้ๆ กันอยู่แล้วแต่มุมมองในสิ่งต่างๆ ปลีกย่อยมันน่าสนใจกว่านะครับ ว่าไหม? อย่าที่เคยมีคนพูดว่าอย่าใส่ใจกับผลลัพธ์โดยลืมเลือนรายละเอียดระหว่างทาง โอ้วแม่เจ้า!! วัดนี้สร้างตั้งแต่สมัยนาระ ประมาณ คศ.788 โครงสร้างเป็นไม้ท่อนใหญ่ๆ (ซุง) หลายร้อยต้นประกอบขึ้นมาเป็นวัดและใช้สลักไม้ไม่ใช้ตะปู สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของเมืองเกียวโตได้งดงามทีเดียว ค่าเข้าวัดก็สนนราคาอยู่ที่ 300 เยน
ทางเข้าวัดคิโยมิสึ
วัดใหญ่ครับเดินกันแบบทั่วถึงถ่ายรูปโน่นนี่ก็กินเวลาไปเป็นชั่วโมงเห็นจะได้ ตัววัดมีความเก่าขลังอายุพันกว่าปี มีศาลอยู่หลายจุดซึ่งมีเกล็ดเล็กเกล็ดน้อยอยู่ในแต่ละที่ซึ่งขอข้ามในรายละเอียดนะครับ ส่วนไฮไลท์ของวัดนี้คือการดื่มน้ำที่ไหลจากลำธารบนเขาลงมา 3 สาย ซึ่งพรที่ได้รับจากน้ำแต่ละสายนั้นแตกต่างกันออกไป โดยมีความเชื่อกันว่าน้ำสายที่ 1 ดื่มแล้วจะประสบความสำเร็จด้านการศึกษา สายที่ 2 จะสมหวังในความรัก และสายที่ 3 จะมีสุขภาพแข็งแรง ซึ่งนักท่องเที่ยวชาวไทยมักจะซัดมันทั้ง 3 สายเลยจะได้ไม่ขาดตกบกพร่อง 555 แต่จากข้อมูลการท่องเที่ยวญี่ปุ่นบอกว่า การดื่มทั้ง 3 สายถือว่าละโมบ หวา แย่จัง
วัดคิโยมิสึ (ขณะนี้กำลังมีการปรับปรุงอยู่บ้าง)
ย่าน Pontocho ร่วมสมัยหลัง จากเดินชมวัดถ่ายรูปกันจนจุใจแล้วเราก็เดินลงเขา แวะซื้อของตามร้านรวงตลอดเส้นทางและกลับมาขี่จักรยานต่อเพื่อไปสู่ย่านเก๋ๆ ของเกียวโตโดยขับเลาะตามฟุตบาตและข้ามแม่น้ำKamogawa มาสู่ย่าน Pontocho จุดแรกที่เราแวะมาชมคืออาคาร Time’s Building ซึ่งออกแบบโดยสถาปนิกคนดังของญี่ปุ่น Tadao Ando เซนเซ อาคารคอนกรีตเปลือยเท่ๆ ริมแม่น้ำ Kiyamachi (เหมือนลำธารตื้นๆ) ที่มีน้ำใสไหลผ่านสวยงามมากราวกับว่าอาคารนี้กำลังลอยอยู่เหนือน้ำ
อาคาร Time's Bldg. ริมแม่น้ำ สวยนิ่งสงบ
แต่อยากจะบอกว่า ใช่ว่าอาคารสวยๆ จะประสบความสำเร็จเสมอไป พวกเรามองว่ามันมี step เยอะเกินไป มีส่วนทึบมากเกินไปจึงทำให้ที่แห่งนี้ดูจะไม่ค่อยรุ่งเท่าที่ควร มีพื้นที่ว่างเปล่าที่ไร้คนเช่า ตามข้อมูลบอกว่าอันโดะไม่ได้ออกแบบตามความต้องการของลูกค้า เขาเพียงต้องการออกแบบอาคารริมน้ำตามแนวคิดที่เขาต้องการ... ความคิดเห็นของพวกเราคือ ไม่ต้องเท่มากก็ได้ครับเซนเซ 555
พื้นแม่น้ำมีการปูหินตลอดทาง
ย่านนี้ส่วนตัวแล้วประทับใจมากครับ มันดูกิ๊บเก๋เท่ตามสไตล์ญี่ปุ่น มีร้านรวงเก๋ๆ เต็มไปหมด มีแม่น้ำตื้นๆ ใสๆไหลผ่าน ถนนหนทางต้นไม้ก็สวยมีเสน่ห์ทำให้ภาพของเกียวโตที่ผมเคยมาครั้งก่อนต้องเปลี่ยนไป ซึมซับกับบรรยากาศกันพอแล้วก็เริ่มหิวกันสิครับ เราจึงมองหาร้านราเม็งที่ได้รับการแนะนำจากหนังสืออะไรซักเล่มที่ท่านโม่งอ่านมาเกี่ยวกับย่านนี้ แต่รู้สึกจะมีแถวต่อคิวยาวเชียว อืม ไม่ไหวละครับ ร้านไหนดูโอเคก็กินๆ เข้าไปเถิดพ่อคุณ สุดท้ายเราจึงมาลงเอยกับร้าน cafe' สไตล์อิตาเลี่ยนเพื่อเพิ่มพลังงานซะหน่อย หลังจากอิ่มหนำสำราญกับพาสต้าคนละจานแล้วก็ลุยต่อครับ
ร้านเก๋ๆ ในย่าน Pontocho
ร้านเก๋ๆ ริมแม่น้ำใสย่าน Pontocho
ทัวร์เยี่ยมอาคารของสถาปนิกระดับ masterโปรแกรม ของท่านโม่งในวันนี้จะดูแนววิชาการซักหน่อยเพราะเมื่อกี้เพิ่งดูตึกของ Ando ไปหมาดเราก็จะไปดูสถาปัตยกรรมเก๋ๆ ของ Arata Isozaki และ Tadao Ando ต่ออีก (แม่เจ้า) เราขี่จักรยานทะลุทะลวงไปจอดแถวสถานีรถไฟใต้ดินสถานี Kyotoshiyakushomae ซึ่งไม่ห่างจากอาคาร Time’s ของอันโดะเท่าไหร่เพื่อนั่งต่อไปยังสถานี Kitayama เพื่อไปเยี่ยมชม Kyoto Symphony Hall ซึ่งออกแบบโดย Isozaki เซนเซ อาคารเขานิ่งสงบเรียบขรึมสีดำทะมึนทึบ โดยรอบเป็นสระน้ำราวกับอาดารสีดำๆ นี้นี้โผล่ขึ้นมาจากน้ำ ภายในเป็นทางเดินลาดที่ให้เราเดินขึ้นไปสู่ทางเข้าห้องแสดงดนตรีที่ชั้นบนของตึก ภายในกว้างขวางยิ่งใหญ่ครับ
Symphony Hall ขรึมนิ่ง
ทางลาดภายใน Symphony Hall
หลังจากซึมซับงานของไอโซซากิเซนเซแล้วเราก็ออกจากที่นั่นแล้วเดินต่อไปอีกไม่ไกลก็จะเจอสวนแห่งงานศิลป์ Garden of Fine Arts ผลงานของ Tadao Ando อีกแล้ว
Garden of Fine Arts ของอันโดะเซนเซ
สวนนี้มีงานปติมากรรมและภาพขนาดใหญ่ที่คัดลอกมาจากงานระดับ master (Print มาแปะ) ชื่อดังของโลกไม่ว่าจะเป็นภาพ The Last Supper ของ Leonardo Da Vinci หรือภาพ The Last Judgement จากโบสถ์ Sistine Chapel ของ Michelangelo และงานของศิลปินดังๆ อีกหลายคน ตัวอาคารที่ทำเป็นทางเดินคอนกรีตดิบๆ สไตล์ Ando เชื่อมต่อกันสลับไปมาดูเก๋เท่ดีครับ ค่าเข้าชมก็ตกคนละ 100 เยนเท่านั้น
ภาพ The Last Supper ในสวน
ภาพ The Last Judgement ของ Michelangelo
ย่านกิออนอันคึกคักเรา กลับมายังจักรยานของเราด้วยแท๊กซี่เพราะคิดว่ามันคงไม่ไกลซักเท่าไหร่จากสวน ของอันโดะ สรุปว่าโดนค่าแท๊กซี่ไปประมาณ 1500 เยน (ไกลกว่าที่คิดนิดนึงนะ) จากนั้นก็ขี่จักรยานกลับทางเก่าผ่านย่าน Pontocho ข้ามแม่น้ำ Kamo มาอีกฝั่งเพื่อไปเดินเล่นย่าน Gion ซึ่งถือเป็นถนนช๊อปปิ้งที่สวยงามและได้รับความนิยมอย่างมาก ย่านนี้ไม่อนุญาตให้เราขี่จักรยานเข้าไปครับ เราจึงหาที่จอดใกล้ๆ แล้วเดินเข้าไปแทน ผู้คนมาเดินเที่ยวกันเยอะมาก บ้านเรือนร้านค้าย่านนี้เป็นอาคารแบบดั่งเดิมสวยงามและมีเสน่ห์อย่างมาก ถนนปูหินสะอาดไม่มีขยะสักชิ้น ระหว่างทางเราจะเห็นสาวในชุดกิโมโนที่เรียกว่าไมโกะและเกอิชาที่โบ๊ะหน้าขาววอก แบบว่าโคตรของความขาว แต่งหน้าเหมือนกันหมด
ร้านค้าอาคารโบราณย่าน Gion
ไมโกะ (หรือเกอิชา) ในย่านกิออน
เราเดินชมร้านรวงกันเริ่มมืดค่ำจึงกลับไปขี่จักรยานกลับที่พักและหาอะไรกิน แก้หิว โดยตัวผมเองเสนอพาเหล่าสมาชิกไปร้านโอเด้งบาร์ใกล้สถานีเกียวโตที่เคยกินเมื่อปีก่อน แต่ปรากฎว่าร้านเต็มเราจึงคิดไรไม่ออก ก็เลยแวะเข้าซุปเปอร์ใกล้ๆ กันนั้นและซื้อมาม่าพร้อมด้วยลูกชิ้น ปูอัดและขนมเครื่องดื่มกลับมายังที่พักเพื่อพักผ่อนนั่งเล่นและสนทนากันใน ช่วงค่ำของวันที่สองของการเดินทางในทริปนี้ ได้อารมณ์ไปอีกแบบครับสำหรับการขี่จักรยาน ใครมาญี่ปุ่นอยากให้เช่าขี่เล่นดู เหนื่อยน้อยกว่าการเดินประมาณ 10 เท่าเห็นจะได้ 555
ร้านอาหารเก๋ๆ ย่าน Pontocho ยามค่ำคืน
มุมมองย่าน Pontocho จากริมแม่น้ำ
มาม่าอร่อย 55
ปล. Credit ภาพถ่ายโดย โม่ง บิ๊ก เต้ย