Day 4 วัดจิ้งจอก เสาแดงหมื่นต้น และแคบซูลโฮเตรุ วันที่ 4 ของทริปเรายังอยู่ที่เกียวโตครับแต่เราจะย้ายที่พักซึ่งหัวหน้าคณะทัวร์ของเราอยากลองของแปลกจึงขอชวนพวกเราไปนอนโรงแรมแคบซูลเดิร์นๆ แห่งหนึ่งในเกียวโตซึ่งไม่เหมือนโรงแรมแคบซูลอื่นๆ เช้านี้เราจึงนั่งแท๊กซี่จากที่พักของเราไปสู่ย่านตลาด Nishiki เพื่อเข้าพักที่โรงแรม Nine Hour Capsule Hotel ซึ่งเวลาเข้าพักโรงแรมนี้ก็เหมือนโรงแรมอื่นๆ ในญี่ปุ่นแหละครับคือเช็คอินบ่าย3 แต่ที่นี่จะไม่ได้กำหนดเวลาออกเหมือนที่อื่น (10โมงเช้า) แต่จะนับเวลาที่เราเข้าพักเป็นหลักโดยจะให้เวลาในการเข้าพักกับเรา 17ชม.
โถง Lobby ของ 9 Hour Capsule
เรื่องของเรื่องคือลุงแท็กซี่ก็มาส่งพวกเราที่ตลาดนิชิกิแหละครับ แต่เราหาโรงแรมนี้ไม่เจอ (เนื่องจากมันไม่ได้ใหญ่โตอะไร) ก็ต้องสอบถามจากคนแถวนั้นครับ ซึ่งก็สื่อสารกันไม่ค่อยจะรู้เรื่องเท่าไหร่หรอก ฮ่าๆ ก็ต้องใช้พื้นความรู้การพูดภาษาอังกฤษแบบญี่ปุ่นๆ เข้ามาช่วยหน่อยละครับ จะบอกชื่อโรงแรมเขาก็ไม่ค่อยรู้ เลยคิดว่าบอกมันแค่ว่าโรงแรมแคบซูลน่าจะโอเคกว่า สุดท้ายเลยต้องบอกว่า “แคบซูลโฮเตรุ” อ้า... ทำเสียงนึกออกขึ้นมาทันที แล้วก็อธิบายชี้โบ้เบ้ไปตามทาง ก็อาริงาโตะกันไปครับ เฮ้อ
ศาลเจ้าเทพเจ้าแห่งข้าวและสุนัขจิ้งจอกด้านหน้าของวัด Fushimi Inari
เราขอฝากกระเป๋ากับทางโรงแรมในตอนเช้าและออกเดินทางด้วยรถไฟเพื่อไปเยี่ยมชมศาลเจ้าที่สวยงามอีกแห่งหนึ่งของเกียวโตชื่อว่าศาลเจ้า Fushimi Inari ซึ่งเป็นศาลที่สำคัญแห่งหนึ่งของศาสนาชินโต โดยเรานั่งรถไฟไปลงที่สถานี Inari (ชื่อสถานีตามศาลเลย) เมื่อออกจากสถานีก็จะเจอกับทางเข้าวัดทันทีโดยจะเห็นซุ้มประตูสีแดงส้มขนาดใหญ่แบบญี่ปุ่นและบันไดหินที่จะนำเราขึ้นสู่ตัววัด
วัฒนธรรมการเข้าวัดหรือศาลเจ้าอย่างหนึ่งของญี่ปุ่นคือทุกที่จะมีบ่อน้ำและกระบวยให้เราตักเพื่อล้างมือและล้างปากก่อนเข้าสักการะภายในวัด
ล้างมือและล้างปากก่อนเข้าสถานที่ศักดิ์สิทธิ์
สำหรับวัดนี้สัญลักษณ์ที่โดดเด่นของวัดคือรูปปั้นสุนัขจิ้งจอกและซุ้มประตูไม้สีแดงโทริ (Torii Gate) ซึ่งเราจะได้พบเจอตลอดทางที่เราจะขึ้นไปสู่ศาลเจ้าซึ่งตั้งอยู่บนภูเขา Inari อันศักดิ์สิทธิ์
ซุ้มประตู Torii
แรกเริ่มที่ผมเห็นทางเข้าศาลเจ้านี้ครั้งแรกซึ่งดูใหม่มากก็ยังคิดอยู่ในใจว่าคงเป็นวัดที่บูรณะกันใหม่ แต่พอได้เข้าไปสู่ด้านในซึ่งค่อยๆ ไต่ระดับความสูงขึ้นเรื่อยๆ ตามขั้นบันไดก็จะพบว่าข้างในเป็นศาลเจ้าเก่าและมีประวัติมายาวนาน โดยศาลนี้เพื่อสักการะเทพเจ้าแห่งข้าว Inari โดยสุนัขจิ้งจอกจะเป็นตัวแทนหรือผู้นำสารของเทพเจ้าองค์นี้
สุนัขจิ้งจอก ผู้ส่งสารของเทพเจ้าแห่งข้าว
ซุ้มประตูสีแดงส้มที่เห็นแรกๆ ก็ตื่นเต้นดี พอยิ่งเข้าไปด้านในลึกเข้าก็จะยิ่งตกตะลึงกับจำนวนซุ้มประตูไม้ 2 ช่องทางเดินที่เรียงต่อกันเป็นร้อยเป็นพันจนเป็นอุโมงสีแดงส้มที่สวยงามมากซึ่งเรียกว่า Senbon Torii ซึ่งแปลว่าประตูโทริเป็นพันๆ จากข้อมูลการท่องเที่ยวกล่าวว่า ซุ้มประตูไม้เหล่านี้เป็นซุ้มที่บุคคลหรือห้างร้านบริจาค โดยซุ้มไม้แดงเล็กหน่อยก็ตกราคาเริ่มต้นที่ 4 แสนเยน ขนาดใหญ่ๆ ก็ประมาณล้านเยน (โอ้ว แม่เจ้า)
ทางเดินผ่านซุ้มประตู Torii เป็นอุโมงสีแดงส้ม
เวลามองขึ้นไปด้านในวัดเราจะเห็นแต่เสาไม้สีแดงส้ม แต่พอหันมองย้อนกลับมาอีกด้านเราจึงจะเห็นข้อความและชื่อของผู้บริจาคสลักไว้ที่เราไม้เหล่านี้ แนวคิดนี้ก็ดีนะครับไม่ต้องเขียนชื่อนามสกุลเด่นหรา จริงใจดี
ชื่อผู้บริจาคที่ด้านหลังเสาไม้ Torii
พวกเราตื่นเต้นกับทางขึ้นสู่ยอดเขาของวัดกันในช่วงแรก แต่ยิ่งเดินลึกขึ้นไปเรื่อยๆ ก็จะพบกับศาลเจ้าน้อยใหญ่แต่ละจุด บ้างก็จะเป็นศาลเล็กๆ และมีประตูโทริขนาดเล็กๆ ที่ผู้มาสักการะทำบุญถวายไว้ ถัดขึ้นไปต่อด้วยซุ้มประตูสีแดงอีกเป็นร้อยที่มีขนาดใหญ่ (ระดับล้านเยน) ที่นำเราต่อขึ้นไปสู่ชั้นที่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ จนเราเริ่มล้า แต่เมื่อขึ้นมาถึงความสูงในระดับหนึ่งก็จะเจอกับร้านค้าและร้านอุด้งให้เราได้นั่งพักชมวิวและคลายเหนื่อยพร้อมเติมพลังด้วยซุปอุด้งร้อนๆ นั่งกินบนเสื่อญี่ปุ่นโต๊ะเตี้ยที่มองออกไปเห็นแนวป่าของภูเขาลูกนี้ที่เราปีนกันขึ้นมา
ร้านอุด้งระหว่างทางขึ้นสู่ยอดเขา
ซุปอุด้งและซูชิที่ขายในร้านอาหารเหล่านี้เป็นอาหารที่เป็นสัญลักษณ์ของที่นี่ เช่น Inari Sushi และ Kitsune Udon (อุด้งสุนัขจิ้งจอก) ซึ่งอาหารทั้ง 2 นี้จะมีเต้าหู้ทอดอะบูราอาเกะปนอยู่ด้วย (Aburaage Tofu) ซึ่งตามตำนานว่ามันคือของโปรดของสุนัขจิ้งจอก
ในท้ายที่สุดแล้วนั้นเราไม่ได้ขึ้นไปจนถึงที่สุด (ข้อมูลท่องเที่ยวว่าสูงประมาณ 233 เมตร) ขากลับเราเดินลงอีกทางหนึ่งซึ่งทำให้รู้ว่าบนเขาลูกนี้มีศาลเจ้าย่อยๆ อยู่หลายศาล บริเวณด้านล่างก็มีร้านขายของที่ระลึกมากมาย ทั้งขนม ของฝากและของมงคล
Torii แบบเล็กหน่อย
ตลาด Nishiki ที่คึกคักในช่วงบ่ายแก่ๆ เรากลับมาย่านที่พักอีกครั้งที่ย่านตลาด Nishiki ซึ่งเป็นแหล่งค้าขายที่โดดเด่นของย่านนี้ มีร้านอยู่กว่าร้อยร้านและถูกเรียกว่า "ครัวของเกียวโต" ตลาดนี้เป็นแหล่งรวมของสรรพสิ่งตั้งแต่ของสดไปจนถึงเสื้อผ้าที่ทันสมัย ลักษณะของตลาดในหลายๆ ที่ในญี่ปุ่นคือจะเป็นร้านค้าแบบอาคารพาณิชย์ที่หันหน้าเข้าหากันและมีหลังคาสูงระดับอาคาร 3 ชั้นอยู่ด้านบนเพื่อกันฝนแดดและหิมะ สภาพของตลาดจะสะอาดจนเราต้องลืมคำว่าตลาดแบบที่เรารู้จักแต่เด็กทิ้งไป อาหารแบบกินเล่นในตลาดนี้ก็มีให้เราซื้อเดินกินได้ตลอดทางทั้งแบบคาวและหวานซึ่งสามารถกินจนอิ่มได้เหมือนกัน
ตลาด Nishiki
แซลม่อนรมควัน หวานมัน
เชื่อมต่อกับซอยของตลาดนิชิกิคือย่าน Shijo Avenue ซึ่งก็เป็นย่านช๊อปปิ้งที่คึกคักและมีขายของสารพัด ภายในนั้นยังมีย่านที่ดูเก๋ๆ อยู่ด้วยนอกเหนือจากที่เป็นส่วนเดินเที่ยวหลัก โดยจะมีร้านขายเสื้อผ้ากระเป๋าเดิร์นๆ อยู่ด้านใน
Shijo Avenue ติดกับตลาด Nishiki
ย่ายเก๋ๆ ซ่อนอยู่ด้านใน Shijo Avenue
ศาลเจ้าภายในตลาด
ภายในตลาดยังมีวัดเล็กๆ ที่น่าสนใจอยู่ด้วยจึงนับว่าการเดินช๊อปปิ้งย่านนี้ได้อรรถรสที่หลากหลายผสมผสานสารพัดรูปแบบ สุดท้ายก่อนเข้าโรงแรม อาหารเย็นเราเลือกร้านข้าวหน้าปลาดิบที่มีเมนูข้าวหน้าแซลม่อนพ่นไฟ อาหารง่ายๆ แต่อิ่มอร่อยถูกปากดี
อย่างที่เคยพูดละครับทุกคนตั้งใจทำงานในหน้าที่ของตนเอง ลุงป้าน้าอาขยันขันแข็งไม่มีทำหน้าเบื่อโลก ถนนหนทางสะอาดสะอ้านไร้ขยะและฝุ่น ขนาดฝนตกเดินเหยียบพื้นแฉะๆ ยังไม่ดำ สะอาดเนอะ
Nine Hour Capsule Hotelเรื่องที่พักนี้ก็ต้องขอเล่าเป็นเกล็ดเล็กน้อยนะครับเนื่องจากไม่เหมือนโรงแรมทั่วไป โรงแรมแบบ capsule นั้นเป็นโรงแรมที่เอาไว้นอนพักอย่างเดียวครับ อย่าคาดหวังกับความสะดวกสบายอะไรนักหนา หลายคนที่มาพักโรงแรมนี้อาจมาหลังจากทำงานช่วงดึกแล้วมานอนพักในช่วงเช้าก็มี เพราะฉะนั้นบริเวณที่นอนซึ่งเป็นช่องๆ จะไม่มีหน้าต่างและจะมีบรรยากาศสลัวๆ อยู่ตลอดเวลา ไม่มีทางรู้ว่าเช้าหรือมืด
บริเวณที่นอน เหมือนกำลังจะเข้าจำศีลขึ้นยานข้ามกาแล๊กซี่
แต่ละคนที่มาพักจะได้กุญแจสำหรับตู้ล๊อกเกอร์ที่มีเบอร์เดียวกับช่องที่นอนสำหรับใส่กระเป๋าขนาดไม่ใหญ่มากนัก กรณีที่มีกระเป๋าใหญ่ให้นำไปฝากไว้ที่บริเวณเคาน์เตอร์ซึ่งอาจจะทำให้เราไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่
บริเวณชั้นที่เป็นห้องล๊อกเกอร์จะเป็นห้องอาบน้ำแต่งตัวซึ่งจะเป็นห้องแบบฝักบัว shower และมีอ่างแช่น้ำร้อนรวมที่ด้านหลัง ทุกคนจะได้ชุดนอน ผ้าขนหนูและแปรง+ยาสีฟัน
บริเวณ Locker Area และ Shower
ขนาดของโรงแรมนี้มีขนาดประมาณตึกแถว 1 ห้องแต่มีความสูง 8 ชั้นโดยแยกชั้นนอนและชั้นอาบน้ำ โดยแยกชั้นชาย/หญิงออกจากกันรวมไปถึงลิฟท์ที่แยกกันด้วย ปริมาณของห้องพักชายก็จะมากกว่าของผู้หญิงตามจำนวนกลุ่มเป้าหมายนั่นเอง
ลักษณะของ Nine Hour Hotel นี้จะไม่เหมือน capsule hotel ทั่วๆ ไปตรงที่เขาพยายามออกแบบให้มันดู modern ทันสมัยกว่า รร.แคบซูลเดิมๆ ในส่วนของบริเวณที่พัก (ช่องนอน) ก็ไม่มีทีวีเหมือนโรงแรมแคบซูลแบบเดิมๆ ซึ่งทำให้มันดูน่าเบื่อในกรณีที่นอนไม่ค่อยหลับ ขนาดประมาณช่องละ เมตรกว่าคูณเมตรกว่า มีช่องบนล่าง มีม่านม้วนให้เราดึงลงมาปิดเพื่อความเป็นส่วนตัว ดึกๆ เข้าไปก็จะได้ยินเสียงกรนของเพื่อนร่วมโลกดังออกมาจากรูแคบซูล... ประสบการณ์ครับ ประสบการณ์