Day 3 โอตาคุบุกเมืองแห่งจินตนาการ
พิพิธภัณฑ์การ์ตูนมังงะเช้าวันที่ 3 ของทริปเรายังอยู่กันที่เกียวโตนะครับ ช่วงเช้านี้เราเดินทางมาที่พิพิธภัณฑ์การ์ตูนมังงะ หรือเรียกว่า Kyoto Manga International Museum โดยนั่งรถไฟใต้ดินมาลงที่สถานี Karasuma Oike และเดินต่ออีกนิดหน่อย
Manga Museum
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้น่าจะเป็นที่ๆ ใครที่เกิดมากับการ์ตูนญี่ปุ่นหรือมังงะควรมารื้อฟื้นความหลัง ภายในพิพิธภัณฑ์ถูกอัดแน่นด้วยผลงานตั้งแต่ยุคเริ่มต้นของการ์ตูนญี่ปุ่น ซึ่งในความจริงแล้วนั้นการ์ตูนฝังรากลึกในวัฒนธรรมร่วมสมัยของญี่ปุ่นและเป็นมากกว่าความบันเทิงฆ่าเวลาไร้สาระ มันมีหลากหลายแนวให้เลือกสรรค์สำหรับคนทุกเพศทุกวัย เรื่องราวตั้งแต่แนวแฟนตาซี บู๊ล้างผลาญ สมจริง เทพนิยาย ความรักวันรุ่น กีฬา ฯลฯ
ภายในที่เป็นทางเชื่อมมีหุ่นนกกระเรียนยักษ์ Hinotori การ์ตูนคลาสสิคในอดีต
ซึ่งจะว่ากันไปแล้วแนวความคิดของการใช้ชีวิตและความฝันของคนญี่ปุ่นมักถูกถ่ายทอดออกมาในหลากหลายรูปแบบและการ์ตูนมังงะก็เป็นหนึ่งในแรงขับเคลื่อนนั้น แนวคิดเรื่องการ
ทำทุกสิ่งด้วยความตั้งใจอย่างเต็มที่ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไรก็ถูกถ่ายทอดอยู่ในเนื้อหาของการ์ตูนอยู่เรื่อยมา ซึ่งบางทีในบ้านเรามักจะชอบเตะตัดขากันเองหรือดูหมิ่นความทุ่มเทของคนและมักจะบอกว่า "เว่อร์จัง" หรือ "จริงจังอะไรนักหนา" ยังไม่รวมการไม่ใส่ใจในจินตนาการของเด็กๆ ว่ามีความสำคัญ แต่เรื่องแบบนี้ก็พูดยากอะนะครับเรื่องความไร้สาระกับจินตนาการ พูดถึงความฝันและความตั้งใจของคนญี่ปุ่นเนี่ยผมเคยเขียนถึงการ์ตูนเรื่องกับตันสึบาสะว่าจินตนาการของมันสร้างนักฟุตบอลดังๆ ระดับโลกมาแล้วหลายคนและพาทีมฟุตบอลชาติญี่ปุ่นทั้งชายและหญิงให้กลายเป็นทีมระดับโลก แข็งแกร่งและเป็นแชมป์มากมาย อย่าดูถูกจินตนาการเชียว
โดราเอม่อน การ์ตูนที่ตอนเด็กๆ อ่านแล้วรู้สึกว่า การ์ตูนอะไรวะ โคตรเจ๋งเลย
กลับมาเรื่องพิพิธภัณฑ์กันดีกว่าครับ สนนราคาค่าเข้าชมอยู่ที่คนละ 800 เยน แนะนำว่าถ้าอ่านภาษาญี่ปุ่นออกนี่จะดีมากเลยเพราะที่นี่เต็มไปด้วยการ์ตูนสารพัด (ประมาณ 2แสนเล่ม) ให้เราหยิบมานั่งๆ นอนๆ อ่านกันได้เต็มที่ทั้งวัน (ถ้าไม่รีบไปไหนนะ) ตัวอาคารของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เคยเป็นโรงเรียนประถมTatsuike มาก่อนๆ ที่จะถูกปรับปรุงให้เป็นแบบนี้ ภายในห้ามถ่ายภาพนะครับ ด้านหน้าอาคารมีสนามหญ้าเทียมสำหรับใครที่อยากมาปูเสื่อนอนเล่นอาบแดด บริเวณทางเข้าจะมีร้านคาเฟ่ที่ภายในมีลายเส้นของบรรดาเซนเซชื่อดังมาวาดภาพตัวละครดังๆ ของเขา ที่น่าภาคภูมิใจก็น่าจะเป็นลายเส้นของนักเขียนการ์ตูนคนไทย วิศุทธิ์ พรนิมิตร ที่ฝากลายเซ็นและลายเส้นจากการ์ตูน he she it การ์ตูนแนวเสียดสีสังคมลายเส้นดิบๆ ซึ่งเขียนลงในนิตยสาร A Day ทุกเดือน
ลายเส้นและลายเซ็นของ วิศุทธิ์ เจ้าของการ์ตูน He She It บริเวณผนังของ Cafe'
ระลึกความหลังเหล่าฮีโร่ที่ Toei Studioหลังจากเดินดูพิพิธภัณฑ์การ์ตูนจนพอใจ คณะของพวกเราก็มุ่งหน้าด้วยรถไฟไปสู่สถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งให้วันนี้เป็นวันแห่งจินตนาการกันเลย (หลังจากเมื่อวานจะดูงานสถาปัตยกรรมกันเยอะไปหน่อย 555) บ่ายนี้เราจะเดินทางไป Kyoto Toei Studio ซึ่งเป็นโรงถ่ายภาพยนต์ของค่าย Toei ซึ่งเป็นค่ายผลิตหนังชั้นนำของญี่ปุ่น เรานั่งรถไฟมาลงที่สถานี Uzumasa จากนั้นเดินต่อมาตามทางผ่านบ้านเรือนสู่สตูดิโอภาพยนต์อันใหญ่โตแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น เราแวะเข้าร้านบะหมี่ในย่านนั้นก่อนถึงทางเข้า
นอกจากไม่มีภาษาอังกฤษ คนในร้านยังไม่เข้าใจอะไรนอกจากภาษาญี่ปุ่น
ร้านนี้ไม่มีเมนูภาษาปะกิตนะครับ คนขายก็ฟังอะไรเราไม่ออก เราต้องใช้ความรู้จากประสบการณ์การกินอาหารญี่ปุ่นที่ผ่านมา เช่น ราเม็ง โชยุ มิโสะ บูตะ ชาชู มั่วๆ ไปครับ ก็ได้กินชาชูเมนกันคนละชามกับเกี้ยวซ่า พูดถึงอาหารที่ประเทศนี้พวกเราทุกคนมีความเห็นตรงกันว่า อร่อยทุกร้านครับ ซึ่งผมว่าความอร่อยมันเกิดจากความตั้งใจในการทำงานนะ เวลาเราตั้งใจทำหน้าที่ของเรา ผมว่าเราคงไม่ทำของแย่ๆ ให้ลูกค้าเราด่าหรอก
เมื่ออิ่มท้องกันแล้วเราก็บุกเข้าโรงถ่ายกันเลยครับ สนนราคาค่าเข้าอยู่ที่ 2200 เยน เราสามารถเช่าล๊อกเกอร์ฝากกระเป๋าไว้ที่บริเวณด้านหน้านี้ได้นะครับ ทางเดินเข้าสู่สถานที่ท่องเที่ยวจะผ่านโรงถ่ายหน้าตาเหมือนโกดังมีหมายเลขกำกับอยู่หลายตึกที่เขาใช้ถ่ายทำหนังกันซึ่งไม่ได้ให้คนนอกเข้า หลังจากนั้นก็จะเป็นสถานที่สำหรับนักท่องเที่ยวคล้ายๆ กับพวก Universal Studio ของฝรั่ง (แต่นี่แนวญี่ปุ่น)
ซึ่งเราได้รับการต้อนรับจากเหล่าไอ้มดแดงตั้งแต่ V1 ถึง V10 ยืนตั้งท่าขนาดเท่าจริงให้เราถ่ายรูปเล่น คนวัย30กว่าๆ ขึ้นไปคงจะได้ระลึกถึงความหลังของฮีโร่ในวัยเยาว์กันละครับ
ฮีโร่ในวัยเด็ก สมัยก่อนร้องเพลงไตเติ้ลได้นะ 555
หลังจากนั้นเราก็จะพบกับเมืองจำลองซึ่งภายในจะจำลองเป็นหมู่บ้านญี่ปุ่นยุคโบราณสมัยเอโดะ มีร้านขายขนมและของที่ระลึกภายใน มีบ้านช่องกระต๊อบ วัด พระราชวัง นินจาและซามูไร!! วันที่พวกเราไปเด็กๆ เต็มไปหมดครับพ่อแม่พามาเที่ยว เด็กๆ ดูจะสนุกสนานกับการปีนหลังคาจำลอง แต่งตัวเป็นนินจา ผู้ใหญ่ก็สามารถจะแต่งตัวย้อนยุคได้เหมือนกันซึ่งที่นี่เขามีบริการเช่าชุด แต่งหน้าใส่วิกผมให้สมจริงกันเลยทีเดียว
คนต่อคิวเพื่อเข้าไปดูการแสดงย้อนยุค
อยากแต่งเป็นซามูไร ย่อมได้ครับขอแค่มีเงิน ฮ่าๆ
บรรยากาศทั่วไปภายใน Toei Studio Park (ดูสมจริงเนอะ)
ภายในเมืองจำลองก็จะมีกลไกสนุกให้เราได้ชมกัน เช่น มีมังกรโผล่ขึ้นมาจากบ่อน้ำ มีนินจากำลังไต่เชือกข้ามจากตึกหนึ่งไปอีกตึกหนึ่ง มีหินปลอมๆ ให้เรายกทุ่มเล่นหรือถ่ายภาพ ฯลฯ และมีการแสดงต่างๆ ภายในซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นแนวย้อนยุค
นินจากำลังไต่เชือกไปเชือดคอโชกุน (คาดว่านะ)
เด็กๆ ปีนหลังคาจำลองกันเพลินเลย บางคนจะเหาะไปกับว่าวยักษ์
"ในเวลาต่อมา"
นอกจากของโบราณๆ แล้วภายในยังมีอาคารที่มีหุ่นจำลองของเหล่าฮีโร่การ์ตูนตั้งแต่อดีต เหล่าซุปเปอร์ฮีโร่ของญี่ปุ่น และหุ่นยนต์ยักษ์ให้เราได้ถ่ายรูปและระลึกย้อนกลับไปสู่วัยเด็ก
กาแล๊กซี่ 999 การ์ตูนเก่าในความทรงจำ
Great Mazinger หุ่นเหล็กยอดนิยม
ผีน้อยคิทาโร่
ไฮไลท์ของที่นี่ในความคิดของผมที่คิดว่าทุกคนไม่ควรพลาดคือบ้านผีครับ จ่ายเพิ่มอีกคนละ 500 เยนแต่ความสยองนั้น สุดยอด ซูโค่ย!! บรรยากาศแบบยุคโบราญของหมู่บ้านญี่ปุ่น ทั้งแสง สี เสียงและสถานที่สมบูรณ์แบบ ใครมาแล้วไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงครับ
ทางเข้าบ้านผีสุดสยอง บรื้อออ~~
เดินเที่ยวจนเย็นแล้วเราก็นั่งรถไฟกลับมาที่สถานีเกียวโตอีกครั้งและไม่วายที่จะแวะห้างยอดนิยม Yodobashi เพื่อตรวจสอบสินค้า (ของเล่น) เดินดูของจิบาถะที่น่ารักเก๋ไก๋ของญี่ปุ่นให้ปวดขา และกินอาหารเย็นที่ร้านอาหารบริเวณชั้นบนในห้างก่อนกลับมานั่งจิบบีรุเย็นๆ ตากลมเย็นในที่พัก 555 ดึกๆ ก็หลับเป็นตายเหมือนเดิม
อาหารเย็นประทังชีวิต โออิชิเดส