un'estate italiana : Day 9 เกาะแห่งสีสัน Murano & Burano
เช้าวันที่ 9 ของการเดินทาง / 17 เมษายน

เช้าวันนี้สภาพอากาศอึมครึมมีฝนตกพรำตั้งแต่เช้า เราตื่นมาทำอาหารเช้าที่ซื้อวัตถุดิบมาจากร้านโชว์ห่วยเมื่อค่ำวาน เราจัดแจงต้มเส้นสปาเก็ตตี้และทำซอสราดโดยใส่ไส้กรอกสำเร็จรูปแช่เย็นที่ต้องต้มก่อน อย่างน้อยก็ดีกว่าขนมปังแข็งๆ ที่เรากินกันมาตั้งแต่โรมและฟลอเร้นส์ก็แล้วกัน ไม่นานเหล่าสมาชิกร่วมทัวร์ก็ตื่นมาร่วมรับประทานพาสต้าคนละจาน (เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปมา 55)

ดูจากสภาพอากาศแล้ววันนี้คงไปไหนได้ยากลำบาก แต่มาถึงเวนิสแล้วจะให้นั่งดูทีวีอยู่ในห้องคงไม่ได้เพราะพรุ่งนี้เราก็จะเดินทางเข้ามิลานกันแล้ว วันนี้เป็นวันที่เราต้องเที่ยวเวนิสให้รอบ เป้าหมายของเราคือเกาะมูราโน่ (Murano) และ บูราโน่ (Burano) ดังนั้นเราจึงออกไปหาซื้อร่มและไม่ไกลจากที่พักก็มีแผงลอยของพวกแขกตั้งขายอยู่ทั้งเสื้อฝนและร่ม เราจึงได้ร่มกันมาคนละคัน สนนราคาอยู่ที่คันละ 5euro โดยประมาณ


เมื่อพร้อมลุยแล้วเราจึงเดินเท้าไปตามตรอกซอกซอยเพื่อหาป้ายเรือเมล์ที่จะนำเราไปสู่เกาะ Murano เราเดินวกวนไปตามสัญชาติญาณบ้าง เปิดมือถือนำทางบ้าง จนมาถึงป้าย F.te Nove “A”  และจึงเดินทางไปเกาะ Murano ใช้เวลาเดินทางประมาณ 25 นาทีก็จะมาถึงมูราโน่ที่สถานีป้าย Murano Da Mula ซึ่งจะสังเกตเห็นสะพานโค้งเหล็กสีเขียว พวกเรามาถึงสภาพอากาศยังขมุกขมัวอยู่เราจึงแวะจิบกาแฟและเข้าห้องน้ำที่ร้านกาแฟใกล้ๆ สะพานนั้น เมื่อจิบกาแฟและเข้าห้องน้ำเรียบร้อยแล้วจึงข้ามสะพาน Ponte Longo เพื่อไปดูประติมากรรมแก้วที่มีรูปร่างเหมือนยานของSuperman จากดาวคลิปตั้น


สะพาน Ponte Longo



ยานที่นำ Superman มายังโลกตอนเด็ก

เกาะ Murano นี้อยู่ห่างจากเวนิสมาทางเหนือประมาณ 1.5กม. ตามประวัติศาสตร์แล้วสมัยก่อนเป็นชุมชนอิสระ แต่ตอนหลังถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของเวนิส มีคนอยู่อาศัยประมาณ 5000 คน สมัยโบราณนั้นเริ่มตั้งรกรากโดยชาวโรมัน แรกๆ เป็นหมู่บ้านชาวประมงและมีการทำเกลือ จนถึงประมาณ ศตวรรษที่ 11 ก็เริ่มถดถอยเพราะคนย้ายไปอยู่ที่อื่น ประเด็นสำคัญอยู่ที่ประมาณปี 1291 เมื่อพวกช่างทำแก้วของเวนิสถูกบังคับให้ย้ายมาอยู่ที่เกาะแห่งนี้เนื่องจากกลัวปัญหาไฟไหม้ (เพราะอาคารเป็นไม้ซะเยอะ) เกาะนี้เลยขึ้นชื่อเรื่องการทำแก้วตั้งแต่บัดนั้นซึ่งเคยได้ชื่อว่าเป็นผู้ส่งออกแก้ว กระจกและโคมระย้า (Chandelier) ไปสู่เมืองต่างๆในยุโรป



เราเดินเล่นไปตามซอกซอยต่างๆ บนเกาะมูราโน่ แวะเข้าชมการเป่าแก้วของร้านขายเครื่องแก้วหลายร้านทั้งแบบเป่าเล็กๆ น้อยๆ ไปจนถึงการเป่าก้อนแก้วเป็นปลา ม้าหรือแจกันในโรงหลอมแก้วที่อบอุ่นจากเตาไฟที่คนเป่าเหงื่อแตกจนผมบนหัวบาง


หลังจากนั้นเราจึงเดินทางขึ้นเหนือไปอีกเกาะหนึ่งซึ่งมีชื่อเสียงไม่แพ้กันนั่นคือเกาะบูราโน่ (Burano) โดยนั่งเรือไปราว 45นาทีจากเกาะมูราโน่ป้าย Murano Faro M/N ออกจากเกาะมูราโน่ก็บ่ายกว่าๆ แล้วและมาถึงบูราโน่ตอนบ่าย 2 ต้นๆ เอกลักษณ์ของเกาะบูราโน่ที่ทุกคนต้องพูดถึงคือบ้านเรือนต่างๆจะมีสีสันที่สดใสสารพัดสี เมื่อมาถึงท่าเรือเราจะเจอร้านอาหารทะเล Fritto Misto ที่อยู่ริมทะเล อาหารส่วนใหญ่จะเป็นอาหารทะเลทอด แต่พวกเราไม่ได้กินร้านนี้


เกาะ Burano นี้อยู่ห่างจากเวนิสมาทางเหนือราว 7 กม. ประวัติคล้ายๆ กับเกาะ Murano ตรงที่ผู้มาตั้งรกรากกลุ่มแรกคือชาวโรมัน สินค้าที่สำคัญของเกาะนี้คือผ้าลูกไม้ซึ่งเริ่มทำกันตั้งแต่ศตวรรษที่16 โดยกลุ่มสตรีที่อยู่บนเกาะ และส่งออกไปขายทั่วยุโรปจนเริ่มซบเซาในช่วงศตวรรษที่18 เดี๋ยวนี้เวลาไปเกาะแห่งนี้ก็ยังเห็นมีการขายลูกไม้ผ้าสวยๆ อยู่บ้าง มีทำเป็นรูปภาพที่ถักด้วยมือใส่กรอบสวยงาม (แต่ไม่ได้แนวเรา) สถานที่สำคัญบนเกาะนี้จึงเป็นโรงเรียนสอนทำลูกไม้ Museum and School ofLace making (แต่เราไม่ได้ไป)



ในส่วนของสีสันที่สดใสของบ้านแต่ละหลังที่เป็นเอกลักษณ์ของเกาะนี้ตอนแรกผมก็คิดว่าทำไมคนฝรั่งถึงมีรสนิยมในการเลือกสีวะ ทำไมเวลาคนไทยมันทาสีกันเองแล้วมันออกมาดูเห่ย.. พอได้หาข้อมูลเพิ่มเติมจึงพบว่าที่เกาะนี้เขามีระบบการกำหนดสีที่มีมาแต่อดีต ใครก็ตามที่จะทาสีอะไรต้องส่งเรื่องให้ทางการดูก่อนว่าใช้ได้หรือไม่ สีนี้เหมาะสมจะอยู่ในเขตนี้เขตนั้นรึเปล่า... ถึงบางอ้อ ว่าฝรั่งไม่ได้มีรสนิยมดีแต่เขามีกฎที่วางไว้เพื่อควบคุมความงาม


อาหารกลางวันตอนบ่าย 3 ที่ Burano


เราเดินถ่ายรูปลัดเลาะไปตามตรอกซอกซอยและแวะกินอาหารที่ร้านอาหารบนเกาะจำพวกพาสต้าและพิซซ่า(อีกแล้ว) ซึ่งกว่าจะได้กินมื้อนี้ก็ปาเข้าไปบ่าย 3 เข้าไปแล้ว ซึ่งอาหารแต่ละจานก็เยอะพอควรจนเราคิดว่ามื้อเย็นคงไม่ต้องแล้วสำหรับวันนี้55  หลังอิ่มหนำและเข้าห้องน้ำในร้านแล้ว เราออกมาเดินถ่ายรูปแถวหน้าโบสถ์ Chiesa di San Martino ซึ่งถือเป็นจุดเด่นของเกาะแห่งนี้เช่นกัน สังเกตดีๆว่าหอระฆังของโบสถ์นี้มันเอียงด้วย (ตอนไปไม่ได้สังเกต 555)


โบสถ์ Chiesa di San Martino สังเกตหอระฆังที่เอนด้านหลัง 


ถ่ายรูปย่านนั้นจนพอใจเราก็กลับไปแวะซื้อหน้ากากเวนิสที่ร้านป้าที่เราได้แวะดูก่อนมากินอาหารกัน ซึ่งป้าเจ้าของร้านที่เรามาดูตอนแรกไม่อยู่เหลือแต่ลุงแก่ (สงสัยผัวแก) เขาก็พยายามขายของให้เราดี แนะนำโน่นนี่แต่คุยกันคนละภาษา คนนึงพูดอังกฤษอีกคนตอบเป็นอิตาเลี่ยนซึ่งเขาก็แนะนำดีว่าแต่ละหน้ากากมีชื่อเรียกที่แตกต่างกันออกไป ตามประวัติแล้วหน้ากากเหล่านี้จะอนุญาตให้ใส่เฉพาะช่วงเทศกาล3 เดือนเท่านั้นหลังวันที่ 26 ธ.ค. (เพราะอาจถูกใช้ในทางไม่ดีได้) หน้ากากพวกนี้จะเป็นการตกแต่งแบบบาโร๊คและมีรูปแบบและมีชื่อตามแต่บทบาทในอดีต (เช่นแพทย์รักษาโรคระบาด)

ระหว่างนั้นอากาศเริ่มเย็นลงและฝนเริ่มตก ซึ่งหลังจากแยกย้ายกันไปซื้อของที่ระลึกเพราะ2หนุ่มอยากได้หน้ากากเพิ่มจนหากันไม่เจอ ผมและผึ้งจึงไปนั่งจิบกาแฟร้อนรอที่ร้านอาหาร Fritto Misto ที่อยู่ใกล้ท่าเรือและส่งข้อความบอกพลพรรค ซึ่งตอนนี้ฝนได้เทลงมาอย่างหนักไม่นานหลังจากนั้นด้วงและมิกกี้จึงตามมาสมทบหลังฝนหยุดแล้ว


ก่อนจะกลับเวนิสด้วงทำตั๋วเรือ2 day pass หายไปทำให้ต้องซื้อใหม่แบบเที่ยวเดียว 6euro หลังจากสอดส่องดูแล้วว่าคนคุมท่าเรือมันตัวใหญ่ อาจโยนเราลงน้ำได้อย่าเสี่ยงดีกว่า เมื่อเรือมาถึงเราจึงเข้าไปนั่งในห้องที่ไม่มีลมหนาวเข้ามาใช้เวลาเดินทางกลับสู่ท่าเรือ F.te Nove “A” เดินทางราว 50นาทีก็มาถึงเวนิสซึ่งตอนนั้นก็ประมาณ 6โมงกว่าๆ แล้ว



โบสถ์ Santa Maria dei Miracoli ระหว่างทางที่เวนิส


โบสถ์ Santa Maria Maddalena ที่มีสัญลักษณ์ Eye of Providence ระหว่างทางที่เวนิสเช่นกัน 


ธงเวนิสที่ด้านหลัง (ไม่ได้ซื้อมา) 

เราเดินลัดเลาะจากท่าเรือไปตามตรอกซอยแวะร้านขายของระหว่างทาง และไปถึงสะพาน Ponte di Riato ตอนพระอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้า ถ่ายรูปเวนิสในค่ำวันสุดท้ายก่อนจะมุ่งหน้ากลับที่พักเมื่อเริ่มมืด และแวะซื้อของกินเล่นและเครื่องดื่มที่ซุปเปอร์มาเก็ตระหว่างทางกลับเอาไว้กินเล่น ส่วนมิกกี้ซื้อวัตถุดิบในการทำอาหารค่ำกิน พวกเรากลับมานั่งพักที่อพาร์ทเม้นของเจ๊เคียร่า ดูทีวีและสนทนา จิบเครื่องดื่มและขนม ที่ด้านล่างของอพาร์ทเม้นเป็นร้านเหล้าที่เปิดในยามค่ำคืนก็เลยจะมีเสียงดังของคนเมาลอยขึ้นมาเรื่อยๆ


สะพาน Ponte di Riato ตอนพระอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้า


หลังจิบเหล้าไปเพียงไม่กี่หยด





Create Date : 08 มิถุนายน 2558
Last Update : 8 มิถุนายน 2558 21:35:41 น.
Counter : 1771 Pageviews.

1 comments
  
บรรยากาศเย็นๆเหงาๆ
โดย: เสี่ย เทริน์โปร IP: 171.4.167.85 วันที่: 11 มิถุนายน 2558 เวลา:21:16:00 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

biggg
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]



my everyday life on EARTH

New Comments
มิถุนายน 2558

 
1
3
4
6
7
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
24
25
26
27
28
30
 
 
All Blog