กุหลาบแวร์ซายส์ , Lady Oscar , La Rose de Versailles , The Rose of Versailes , Berusai No Bara
|
||||
ตอนที่ 6(2) ชุดผ้าไหมกับชุดมอซอ (A Silk Dress and A Rugged Dress) เช้าวันที่ท้องฟ้าแจ่มใส วันนี้เป็นวันที่องค์หญิงและองค์ชายรัชทายาทจะเสด็จเยี่ยมเยียนประชาชนปารีสอย่างเป็นทางการ ท่ามกลางความหวังของประชาชนที่จะได้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น พวกเค้าจึงตั้งหน้าตั้งตารอรับเสด็จองค์รัชทายาท ที่บ้านของออสการ์ ออสการ์กำลังขึ้นม้าเพื่อเตรียมตัวที่จะออกไปปฏิบัติหน้าที่ โดยมีนายพลจาร์เจส์คอยกำชับด้วยความเป็นห่วง นายพลจาร์เจส์ : “คนรับใช้กลับมาจากปารีสซักพักนึงแล้ว และทั้งเมืองเต็มไปด้วยผู้คน ลูกต้องแน่ใจว่าตัวเองตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา” ออสการ์ : “ครับ” นายพลจาร์เจส์ : “มองตรงไปข้างหน้าเส้นทางขบวนเสด็จ และใส่ใจม้าอยู่เสมอ มันก็เหมือนคนที่ตื่นเต้นนั่นแหละ พวกมันอาจจะตื่นกลัว” ออสการ์ : “เข้าใจแล้วครับ” แล้วออสการ์ก็ควบม้าออกไปจากบ้าน นายพลจาร์เจส์หันไปพูดกับอังเดรว่า นายพลจาร์เจส์ : “เธอคิดว่าฉันแก่แล้วใช่มั้ย อังเดร?” อังเดร : “ทำไมท่านถึงถามแบบนั้น?” นายพลจาร์เจส์ : “ฉันรู้สึกไม่ค่อยดีเลย ฉันหวังว่าเธอจะทำหน้าที่ได้เสร็จสมบูรณ์ โดยที่ไม่มีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้น” อังเดรได้ยินดังนั้น ก็รู้สึกเป็นห่วงออสการ์ขึ้นมาเหมือนกัน ในสนามหน้าพระราชวังแวร์ซายส์ ขบวนเสด็จถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ทั้งรถม้าและทหารม้ามากมายพวกเค้าพร้อมที่จะออกเดินทางแล้ว “หน้าเดิน” ขบวนค่อยๆเคลื่อนออกจากพระราชวังแวร์ซายส์ โดยมีองค์หญิงและองค์ชายรัชทายาทและพระบรมวงศานุวงศ์อื่นๆ นั่งอยู่บนรถม้าพระที่นั่ง ส่วนออสการ์และเจโลเดลก็ขี่ม้าขนาบข้างรถพระที่นั่ง ระหว่างทางออสการ์กับเจโลเดลก็คุยกัน เจโลเดล : “หัวหน้า ท่านจำชายที่ชื่อชาร์ลส์ที่เราเจอวันนั้นได้มั้ย?” ออสการ์ : “ผู้ชายที่มากับเจอร์เมนวันนั้นน่ะหรอ?” เจโลเดล : “ใช่แล้ว ฉันตามเช็คประวัติเค้ามานิดหน่อย แล้วก็พบว่า เค้าชอบไปที่โรงงานทำดินปืนบ่อยๆ” ออสการ์ : “โรงงานทำดินปืนหรอ?” ออสการ์รู้สึกสังหรณ์ใจว่าจะมีอะไรไม่ดีเกิดขึ้น ด้วยความเป็นห่วงออสการ์ อังเดรจึงสะกดรอยตามลูกน้องคนสนิทของเค้าท์โอเลียน ซึ่งตอนนี้ได้แอบเดินทางมาพบกับชาร์ลส์ในปารีส แล้วอังเดรก็แอบได้ยินแผนการก่อการร้ายของพวกเค้า ลูกน้องเค้าท์โอเลียน : “ดีมาก” ชาร์ลส์ เอาระเบิดให้ลูกน้องของเค้าท์โอเลียนดู ชาร์ลส์ : “เสียงดังและหลังจากนั้นก็จะมีเปลวไฟเกิดขึ้น แล้วม้าก็จะวิ่งกระเจิดกระเจิง” ลูกน้องเค้าท์โอเลียน: “ตรงไหนดีล่ะ?” ชาร์ลส์ : “ปล่อยให้ฉันจัดการเอง” อังเดรได้ยินดังนั้น จึงรีบไปส่งข่าวให้ออสการ์รู้ ในวันนั้น ท้องฟ้าของปารีสแจ่มใสมาก ไม่มีก้อนเมฆเลยแม้แต่ก้อนเดียว มกุฎราชกุมารอายุ 18 ปี องค์หญิงรัชทายาทอายุ 17 ปี ได้เสด็จเยือนปารีส เมืองหลวงของฝรั่งเศสอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรก ท่ามกลางความตื่นเต้นและความคาดหวังของประชาชนว่า จะมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น อังตัวเน็ต : “คนเยอะแยะเลย ประชาชนของเราเยอะมากเลยเพคะ” พระนางมารี อังตัวเน็ตตื่นเต้นที่ได้เห็นประชาชนมากมายเดินทางมาต้อนรับเธอ ทางด้านอังเดรที่ตอนนี้พยายามจะส่งข่าวการก่อการร้ายให้กับออสการ์รู้ เค้าจึงขี่ม้าตามขบวนเสด็จมา แต่ก็ได้ถูกทหารม้ารักษาพระองค์ห้ามไว้ ทหาร : “หยุดๆ ท่านจะไปไหน?” อังเดร : “ฉันมีบางอย่างต้องรายงานผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์เดี๋ยวนี้! โปรดให้ฉันเข้าไปด้วย” ทหาร : “อย่าพึ่งบุ่มบ่าม หัวหน้าอยู่ด้านข้างรถพระที่นั่งของมกุฎราชกุมาร” อังเดร : “มีคนจะโยนระเบิดใส่รถพระที่นั่ง!” ทหาร: “อะไรนะ?!” ทหารได้ยินดังนั้น จึงยอมให้อังเดรเข้าไปหาออสการ์ในขบวน อังเดรค่อยๆขี่ม้าแทรกเข้ามาในขบวนโดยคนอื่นไม่ทันได้สังเกต จนมาอยู่ด้านข้างออสการ์ อังเดร : “ออสการ์” อังเดรเรียกออสการ์ ออสการ์ : “อังเดร มาที่นี่ได้ไง?” ออสการ์ถามด้วยความสงสัย อังเดร : “เงียบๆ ฟังนะ...” แล้วอังเดรก็รายงานเรื่องแผนการก่อการร้ายให้ออสการ์ฟัง ออสการ์ : “อะไรนะ?!” ออสการ์ได้ฟังก็ตกใจเป็นอย่างมาก เค้าต้องหาตัวคนร้ายให้เจอ ออสการ์สั่งให้เจโลเดลมาดูแลในตำแหน่งของเธอแทน ออสการ์ : “เจโลเดล มาดูแลตรงนี้” แล้วออสการ์กับอังเดรก็รีบขี่ม้าปลีกตัวออกมาจากขบวนเสด็จ พวกเค้าพยามช่วยกันตามหาตัวชาร์ลส์ ที่คิดว่าคงแทรกตัวอยู่ในฝูงชน ออสการ์ : “อังเดรคอยดูทางซ้ายเอาไว้” อังเดรกับออสการ์แยกกันตามหาคนละฝั่ง ในที่สุดออสการ์ก็เห็นชาร์ลส์ซึ่งตอนนี้เค้ากำลังจะขว้างระเบิดใส่รถพระที่นั่ง ออสการ์ซึ่งอยู่บนหลังม้าเห็นดังนั้น เธอรีบกระโดดจากหลังม้าลงมาคว้าตัวชาร์ลส์เอาไว้ก่อนที่ระเบิดจะถูกขว้างออกไป โชคยังดีที่เธอคว้าตัวเค้าทัน ระเบิดจึงกระเด็นตกลงมาอยู่ตรงพื้นใกล้ๆ ออสการ์รีบวิ่งไปเตะระเบิดลงในแม่น้ำก่อนที่มันจะระเบิด ชาร์ลส์เห็นท่าไม่ดีจึงรีบวิ่งหนีไป แต่ออสการ์ก็วิ่งตามไปติดๆ ออสการ์ : “หยุดนะ!” ชาร์ลส์ วิ่งหลบเข้าไปใต้สะพาน โดยมีออสการ์ตามไปติดๆ แล้วเค้าก็ชักดาบออกมาจะแทงออสการ์ แต่โชคดีที่ออสการ์หลบทัน ออสการ์ชักดาบออกมาบ้าง ทั้งคู่เข้าปะทะกันอย่างดุเดือด แล้วออสการ์ก็พลาดท่าถูกดาบฟันเข้าที่แขนซ้าย แต่โชคดีที่แค่สะกิดเสื้อขาดเท่านั้น แต่ไม่ทำให้เกิดบาดแผล ออสการ์กระโดดหลบออกมาตั้งหลักได้ แล้วทั้งคู่ก็เข้าปะทะกันอีกครั้ง ในที่สุดออสการ์ก็ทำให้ดาบหลุดลอยออกจากมือของชาร์ลส์ได้ ชาร์ลส์พยายามวิ่งเข้าไปหยิบดาบอีกครั้ง แต่ไม่ทันเสียแล้ว ออสการ์ใช้ดาบจ่อไปที่มือของชาร์ลส์ที่กำลังจะหยิบดาบ ออสการ์ใช้ดาบต้อนชาร์ลส์จนหลังชนฝา ออสการ์ : “บอกมา ดยุคเจอเมนจ้างแกมาใช่มั้ย? แกเคยอยู่ในกองทหารรักษาพระองค์นี่ น่าอัปยศที่คิดก่อกบฏต่อมกุฎราชกุมาร ช่างน่าอับอายสิ้นดี” ไม่มีคำตอบใดๆออกจากปากของชาร์ลส์ ซึ่งมีสีหน้าหวาดกลัว แต่แล้วเค้าก็กลืนยาพิษที่เค้าได้เตรียมมา และเสียชีวิตในทันที ต่อหน้าต่อตาออสการ์ ออสการ์ : “แกเตรียมยาพิษมาด้วย!” ชาร์ลส์ฆ่าตัวตาย โดยที่ไม่มีคำพูดใดๆ หลุดออกมาจากปากเค้าแม้แต่คำเดียว ออสการ์ต้องกลับไปโดยที่ไม่มีหลักฐานใดๆ อีกเช่นเคย ในปารีส การเฉลิมฉลองยังคงมีอย่างต่อเนื่อง องค์หญิงและองค์ชายรัชทายาทเสด็จมาถึงที่ประทับภายในปารีส ผู้คนยังคงรอต้อนรับอยู่อย่างเนืองแน่น พระนางมารี อังตัวเน็ตและมกุฏราชกุมารยืนอยู่ที่ระเบียงที่ประทับ โบกมือให้กับประชาชนที่มารอรับเสด็จ อังตัวเน็ต : “วิเศษจังเลยออสการ์ คนพวกนี้เค้ามารอดูฉัน ฉันมีความสุขจังเลย” อังตัวเน็ตรู้สึกตื่นเต้นมาก ถ้าอังตัวเน็ตไม่เคยลืมอารมณ์และความรักในวันนั้น เธอก็อาจจะไม่ต้องกลายเป็นราชินีที่น่าอนาถก็เป็นได้
จินนี่ ซึ่งตอนนี้เดินเตล็ดเตร่อยู่ในปารีส ก็ยังได้ยินเสียงพลุ เสียงประทัดและการเฉลิมฉลองการรับเสด็จขององค์หญิงและองค์ชายรัชทายาท แต่เธอก็ไม่ได้ใส่ใจ เธอยังคงเดินหน้าไขว่คว้าหาโอกาสให้ตัวเองอยู่เช่นเดิม จินนี่ : “ไปลงนรกซะองค์ชาย ไปลงนรกซะองค์หญิง” จินนี่นั่งบ่นพึมพำคนเดียวอยู่ริมถนน ทันใดนั้นก็มีรถม้าคันหนึ่งผ่านมา จินนี่ : “รถม้าสวยนี่ ฉันขอลองอีกซักหน่อยซิ?” จินนี่รีบกระโดดออกไปขวางรถม้าคันนั้นไว้ จินนี่ : “ได้โปรดหยุดก่อน! หยุดก่อน!” คนขับรถม้าตกใจ รีบหยุดรถม้าทันที คนขับรถม้า : “เธอจะบ้าหรอ? วิ่งออกมากะทันหันแบบนี้ได้ยังไงกัน” ทันใดนั้นก็มีเสียงของผู้หญิงจากในรถม้าดังขึ้น “มีอะไรหรอ?” เสียงของมาดามมาควิซนั่นเอง จินนี่วิ่งไปคุกเข้าอยู่ข้างรถม้าเพื่ออ้อนวอน จินนี่ : “มาดาม มาดามผู้ใจดี ได้โปรดเมตตาเด็กกำพร้าของครอบครัวตระกูลวาลูอิสด้วยค่ะ” มาดามมาควิซ : “ครอบครัววาลูอิสหรอ?” จินนี่ : “ค่ะท่าน” มาดามมาควิซ : “ฉันเคยได้ยินมาว่า มีเด็กจากครอบครัววาลูอิส...” จินนี่ : “ค่ะ พ่อของฉันชื่อ บาร์รอน เซนต์ เรมี่” มาดามมาควิซ : “เซนต์ เรมี หรอ? โอ้ ฉันรู้จักเซนต์เรมี่เป็นอย่างดีเลยแหละ” จินนี่ : “พ่อแม่ของฉันตายหมด ฉันไม่มีสมบัติหรือว่าญาติพี่น้องเหลืออยู่เลย...ฉันต้องอยู่อย่างโดดเดียว” จินนี่บีบน้ำตา เพื่อเรียกความสงสารจากมาดามมาควิซ มาดามมาควิซ : “น่าสงสารจริงๆ ทายาทของครอบครัววาลูอิสช่างลำเค็ญอะไรเช่นนี้ ขึ้นมาสิ” มันได้ผล สิ่งที่จินนี่พูดสะเทือนอารมณ์ของมาดามมาควิซ จนน้ำตาไหล เธอจึงชวนให้จินนี่ขึ้นรถม้าไปอยู่กับเธอที่บ้านด้วย มาดามมาควิซ : “ฉันคือ มาดามมาควิซ เดอ แบรนวิลเลียร์ เธอจะสามารถเล่าทุกอย่างให้ฉันฟังได้เมื่อไปถึงบ้านของฉันแล้ว จินนี่ : “มาดาม...” จินนี่เอาเรื่องที่แม่ของเธอเคยเล่าให้ฟัง มาแต่งเติมเพื่อเรียกความสงสาร โดยที่ไม่รู้ว่าเรื่องนั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แต่มันไม่สำคัญอีกแล้ว เพราะว่าตอนนี้มาดามมาควิซก็เชื่อในสิ่งที่เธอพูด “นี่เป็นโอกาสของฉัน ฝันของฉันกำลังจะเป็นจริง ฉันจะอยู่อย่างที่ชีวิตฉันควรจะเป็น ฉันจะทำทุกอย่างเพื่อมัน ทุกอย่าง!” จินนี่คิด ทางด้านของโรซารี่ ที่ตอนนี้จะต้องอยู่อย่างยากลำบาก เธอต้องทำงานและดูแลแม่ที่ป่วย เธอต้องนำเงินที่มีอยู่น้อยนิดไปซื้อขนมปังที่ร้าน แม่ค้า : “ฉันต้องขอโทษจริงๆ แต่วันนี้ราคามันขึ้นอีก 15 เซ็นต์ เนื้อและผักก็แพงขึ้น เราไม่สามารถขายราคาเดิมได้จริงๆ” ด้วยเงินเพียงน้อยนิดและราคาของที่แพงขึ้น โรซารี่ซื้อได้แค่ขนมปังสองก้อนเท่านั้น เธอเดินออกมาจากร้านขายขนมปังด้วยความเศร้าและหดหู่ “ถ้าฉันซื้อขนมปังอีกก้อนนึง ฉันก็จะไม่สามารถซื้อเนยหรือยาของแม่ได้ ฉันกลัว... จากนี้ไปพวกเราจะอยู่กันยังไง? จินนี่... ได้โปรดกลับมาเถอะ!” ระหว่างที่โรซารี่กำลังเหม่อลอย ทันใดนั้นรถม้าของเค้าท์แฟร์ซองก็ผ่านมา โรซารี่ไม่ทันได้ระวังจึงถูกรถม้าเฉี่ยวล้มลง รถม้าจึงจอดและชายในรถม้าก็เปิดประตูออกมาถามอาการของโรซารี่ เค้าท์แฟร์ซอง : “เธอบาดเจ็บตรงไหนรึป่าว คุณผู้หญิง?” แฟร์ซองถามด้วยความเป็นห่วง โรซารี่ : “ไม่ค่ะ ฉันไม่เป็นไร มันเป็นความผิดของฉันเอง ฉันเดินไม่ระวัง” โรซารี่ก็รู้สึกผิดที่เดินไม่ระวัง เค้าท์แฟร์ซอง : “ถ้างั้นก็ขอโทษด้วยแล้วกัน” เค้าท์แฟร์ซองเห็นว่าโรซารี่ไม่ได้บาดเจ็บอะไรมากจึงกลับเข้าไปในรถม้า และสั่งให้เลี้ยวไปทางถนนใหญ่ แล้วก็หันไปคุยกับลูกน้องที่นั่งมาด้วยกัน เค้าท์แฟร์ซอง : “ความเป็นอยู่ของพวกเค้าไม่ดีเลยใช่มั้ย?” ลูกน้องแฟร์ซอง : “ครับ” เค้าท์แฟร์ซอง : “หลีกเลี่ยงสงครามด้วยการแต่งงานกับครอบครัวฮัมส์เบิร์ก แต่ดูเหมือนว่า พระราชาจะไม่รู้ว่าประชาชนจำนวนมากต้องอยู่อย่างแร้นแค้น ต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นกับฝรั่งเศส ฉันอยากรู้จริงๆ” หลังจากที่เรียนเกี่ยวกับอาวุธที่เยอรมันนี เรียนเกี่ยวกับยาที่อิตาลี และเรียนจิตวิทยาที่สวิตเซอร์แลนด์ ขุนนางจากสวีเดน แฟร์ซอง เดินทางมาที่ฝรั่งเศสเพื่อเข้ารับตำแหน่งขุนนาง โชคชะตาของอังตัวเน็ต ออสการ์และแฟร์ซองใกล้เข้ามาทุกที
จบตอนที่ 6 ⁞
|
Lady Oscar
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 17 คน [?]
Group Blog
All Blog
Friends Blog Link |
|||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |