ตอนที่ 9(2) พระอาทิตย์ตก , พระอาทิตย์ขึ้น (The Sun Sets , The Sun Rises)

          ในคืนวันนั้นเอง มาดามดูว์บารีจึงเดินทางไปขอความช่วยเหลือจากดยุคโอเลียนที่วัง เธอยืนรออยู่หน้าประตู เด็กรับใช้จึงเข้าไปเรียนให้ดยุคโอเลียนทราบ
เค้าท์โอเลียน : “อะไรนะ? มาดามดูว์บารีหรอ?”
คนรับใช้ : “ใช่ครับ เธอมีความลับบางอย่างต้องการพูดกับท่าน”
เค้าท์โอเลียน : “ไล่เธอไป ฉันบอกว่าไล่เธอออกไปเดี๋ยวนี้”
คนรับใช้ : “ครับ”
“ผู้หญิงคนนั้นไม่มีประโยชน์อีกต่อไปแล้ว เมียน้อยของพระราชาที่กำลังจะตายจะไปมีอำนาจอะไร?” ดยุคโอเลียนไม่สนใจมาดามดูว์บารีอีกต่อไป เพราะเธอไม่มีประโยชน์อะไรอีกแล้ว เค้าจึงปล่อยให้มาดามดูว์บารีร้องเรียกอยู่หน้าประตูอย่างนั้น “เปิดประตู! ได้โปรดเถอะ! เปิดประตู! ฉันจะต้องไม่แพ้! ฉันไม่เคยแพ้!” มาดามดูว์บารีเมื่อได้รู้ว่า ดยุคโอเลียนไม่ยอมช่วยเธอ เธอจึงเดินทางกลับไปที่แวร์ซายส์ “พาฉันไปหาฝ่าบาทที่แวร์ซายส์เร็วเข้า!”
 
          ในรุ่งสางวันนั้นออสการ์ยังคงคอยเฝ้าพระอาการของฝ่าบาทอยู่ใกล้ๆห้องบรรทมและทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายของมาดามดูว์บารี “เดี๋ยวสิ พวกท่านจะละทิ้งฝ่าบาทงั้นหรอ? พวกท่านต้องทำอะไรได้บ้างสิ!” มาดามดูว์บารีพยายามห้ามไม่ให้หมอละความพยายามที่จะรักษาฝ่าบาท
         หลังจากที่นอนป่วยอยู่บนเตียงเป็นเวลา 10 วัน ในที่สุดบรรดาหมอทั้งหลายก็ยอมแพ้ และออกจากห้องไป เนื่องจากพระอาการของฝ่าบาทได้ทวีความรุนแรงมากขึ้น มีเพียงแต่มาดามดูว์บารีเท่านั้น ที่ยังคอยเฝ้าฝ่าบาทอย่างใกล้ชิด มาดามดูว์บารีนั่งลงที่พื้นข้างเตียงของฝ่าบาท
ดูว์บารี : “จะยังไงก็ตาม ฝ่าบาทต้องเข้มแข็งนะเพคะ ฝ่าบาทคือทุกสิ่งทุกอย่างของหม่อมชั้น! “
พระเจ้าหลุยส์ที่ 15 : “ดูว์บารีเธออยู่กับฉันจนวาระสุดท้าย แต่...มันสายไปซะแล้ว...”
ดูว์บารี : “อย่าท้อแท้สิเพคะ! พระราชาองค์ก่อน พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ที่ใครๆขนานนามว่าพระราชาแห่งดวงอาทิตย์ ยังทรงมีพระชนมายุจนถึง 77 พรรษานะเพคะ ฝ่าบาทพี่งจะ 64 เองนะเพคะ! จะยังไงก็แล้วแต่ต้องเข้มแข็งไว้นะเพคะ! ใช่แล้ว ฝ่าบาทคือดวงอาทิตย์ของหม่อมชั้น ดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงเพื่อให้มีสุขภาพดีและหม่อมชั้นก็คือดอกทานตะวันที่บานรับกับแสงของดวงอาทิตย์...ดอกทานตะวันจะบานไม่ได้ถ้าไม่มีพระอาทิตย์! ได้โปรด! ได้โปรดส่องแสงมาที่หม่อมชั้นสิเพคะ! โลกนี้จะเป็นยังไงถ้าขาดพระอาทิตย์?!”
มาดามดูว์บารีเฝ้าสวดอ้อนวอนพระเจ้าอยู่ข้างๆฝ่าบาทจนถึงเช้าวันถัดมา
พระเจ้าหลุยส์ที่ 15 : “ถึงวาระสุดท้ายของฉันแล้ว...”
ดูว์บารี : “ฝ่าบาท!”
พระเจ้าหลุยส์ที่ 15 : “ได้โปรดเรียกบาทหลวงมา...ฉันอยากจะสารภาพบาป...”
แล้วบาทหลวงก็เข้ามายืนอยู่ข้างๆเตียงของฝ่าบาท
บาทหลวง : “ถ้าฝ่าบาทอยากให้พระเจ้ายกโทษให้และได้ขึ้นสวรรค์ในวาระสุดท้าย จะต้องขับไล่ภรรยาน้อยของท่านที่ท่านเก็บไว้ข้างกาย ซึ่งขัดต่อหลักคำสอนของศาสนาคริสต์และคำสอนของพระเจ้า! จะต้องขับไล่มาดามดูว์บารีออกจากแวร์ซายส์ก่อนพะยะค่ะ! ขับไล่มาดามดูว์บารีออกจากแวร์ซายส์!” จากคำกล่าวของบาทหลวงนั้นเอง เสนาบดีและทหารจึงลากตัวของมาดามดูว์บารีออกไปจากห้องบรรทม
ดูว์บารี : “ฝ่าบาท! ฝ่าบาท!”
เสนาบดี : “ฝ่าบาททรงปลงพระทัยแล้ว”
ดูว์บารี : “ไม่! ฉันจะไม่ไปไหนทั้งนั้น ฉันจะอยู่เคียงข้างฝ่าบาทจนวินาทีสุดท้าย!”
เสนาบดี : “ไม่ได้ท่านถูกขับออกจากแวร์ซายส์แล้ว”
ดูว์บารี : “ไม่ ฉันไม่ไป ฉันจะอยู่กับฝ่าบาท ฝ่าบาท! ฝ่าบาท!” มาดามดูว์บารีร้องโวยวายและดิ้นรนขัดขืน แต่พระเจ้าหลุยส์ที่ 15 ก็ยังคงร้องเรียกมาดามดูว์บารีด้วยเสียงที่แผ่วเบา
 
          ทางด้านของมกุฏราชกุมารนั้น ตอนนี้พระองค์ทรงกังวลพระทัยเป็นอย่างมาก ทรงตรัสกับพระนางมารีอังตัวเน็ตด้วยความหวาดวิตกว่า “ท่านพ่อกำลังจะตาย ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ต้องตกมาอยู่ที่ฉัน! ฉันพึ่งอายุ 19 เองนะ ฉันต้องกลายเป็นพระราชาและต้องปกครองประเทศ...มันเป็นภาระที่ใหญ่หลวงมาก”
 
          ที่หน้าพระราชวังแวร์ซาย บริเวณหน้าต่างห้องบรรทมของพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 เต็มไปด้วยเหล่าขุนนางและชนชั้นสูงที่มาคอยติดตามพระอาการของฝ่าบาท
“หลังจากที่ทรงสารภาพบาปและไถ่บาปเสร็จแล้ว ฝ่าบาทจะยังมีชีวิตอยู่มั้ย?” “ฝ่าบาทยังคงมีชีวิตอยู่ เห็นเทียนที่วางอยู่ริมหน้าต่างห้องบรรทมนั่นมั้ย ถ้าเทียนดับก็หมายความว่าถึงเวลาแล้ว”
          และในคืนนั้นเองแสงเทียนก็ดับลง “นั่นดับแล้ว” เสียงโห่ร้องของเหล่าขุนนางและชนชั้นสูงที่ไม่ได้มีความโศกเศร้าอะไรเลยกับการจากไปของพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 แต่กลับเต็มไปด้วยเสียงโห่ร้องแห่งความยินดี “พระราชาสิ้นพระชนม์แล้ว!” “พระราชาสิ้นพระชนม์แล้ว!” “พระราชาสิ้นพระชนม์แล้ว!” เหล่าขุนนางและคนในวัง ต่างวิ่งกรูกันเข้าไปที่ห้องของพระนางมารีอังตัวเน็ตและองค์ชายหลุยส์ออกัส
อังตัวเน็ต : “นั่นเสียงอะไรเพคะ?” พระนางอังตัวเน็ตถามองค์ชายด้วยความตกใจกลัว ทันใดนั้นเองเหล่าขุนนางและคนในวังก็เข้ามาในห้อง  รวมทั้งมาดามโนอิลด้วย
อังตัวเน็ต : “มาดามโนอิล”
มาดามโนอิล : “ฝ่าบาทสิ้นพระชนม์แล้วเพคะ” ทั้งองค์ชายและพระนางอังตัวเน็ตได้ยินดังนั้นก็ตกพระทัยกับการจากไปของฝ่าบาท แต่แล้วมาดามโนอิลก็เดินเข้ามาคุกเข่าที่หน้าพระพักต์ของพระนางมารี อังตัวเน็ตและจับมือของพระนางขึ้นมาจูบด้วยความยินดี
มาดามโนอิล : “ยินดีด้วยเพคะพระนางอังตัวเน็ต จากนี้ไปพระองค์คือราชินีของฝรั่งเศสแล้วนะเพคะ”
อังตัวเน็ต : “ฝ่าบาท...สิ้นพระชนม์แล้วหรอ?” แต่ในพระทัยของพระนางอังตัวเน็ตไม่ได้มีความยินดีเลย
 
          เสียงโห่ร้องถวายพระพรของเหล่าขุนนางและประชาชนดังกึกก้องไปทั่วทั้งเมือง “พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ทรงพระเจริญ!”“ทรงพระเจริญ!” “ทรงพระเจริญ!” ตอนนี้องค์ชายหลุยส์ออกัส ได้กลายเป็นพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 แล้ว “พระเจ้า ได้โปรด ได้โปรดคุ้มครองเราด้วย! ปกป้องเราผู้ซึ่งกลายเป็นพระราชาและพระราชินีที่ต้องปกครองประเทศตั้งแต่อายุยังน้อย...” พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ทรงสวดอ้อนวอนพระเจ้า
 
          ทางด้านออสการ์กับเจโลเดลซึ่งยังคงปฏิบัติหน้าที่อยู่นั้นได้เห็นเหตุการณ์ต่างๆ มาโดยตลอด ออสการ์รู้สึกสังเวชใจนัก
ออสการ์ : “พระราชาสิ้นพระชนม์ ,พระราชาทรงพระเจริญ ฮึ พระวรกายยังไม่ทันจะเย็นเลย”
เจโลเดล : “เปลี่ยนใจได้รวดเร็วอะไรเช่นนี้ เมื่อกี้ยังประจบพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 อยู่เลย แต่นี่แหละใจของคน มีพระอาทิตย์ตก ก็ต้องมีพระอาทิตย์ขึ้น คนรุ่งเรืองซักวันก็ต้องสิ้นบุญ และถ้าปราศจากแสงของดวงอาทิตย์ดวงใหม่แล้ว ผู้คนก็คงไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้” เจโลเดลเองก็รู้สึกอย่างนั้นเช่นกัน แต่เค้าเห็นว่านี่มันเป็นเรื่องธรรมดาที่เราทุกคนควรจะต้องยอมรับมัน แต่ออสการ์ไม่คิดแบบนั้น เธอไม่สามารถรับมันได้ ออสการ์เดินออกไปทันที
เจโลเดล : “หัวหน้า! จะไปไหนน่ะ?”
ออสการ์ : “เธอทำต่อหน่อยก็แล้วกันนะ”
ออสการ์เดินออกมาด้านนอกก็บังเอิญเห็นมาดามดูว์บารี ซึ่งกำลังจะถูกเนรเทศออกจากแวร์ซายส์  เธอต่างจากเมื่อก่อนมาก ไม่สวยสง่าเหมือนเดิมและก็ไม่ได้รับการปฏิบัติเหมือนเช่นเคยอีกต่อไป
ดูว์บารี : “ฝ่าบาท! ฝ่าบาท! ฝ่าบาท!” มาดามดูว์บารียังคงร้องเรียกพระเจ้าหลุยส์ที่  15 อยู่ เธอขัดขืนจึงถูกทหารตบหน้าอย่างแรงจนล้มลงไปกองกับพื้น ออสการ์เห็นดังนั้นจึงรีบเข้าไปขวาง
ทหาร : “เร็วเข้า ไปได้แล้วอย่าให้ฉันต้องใช้กำลังนะ! ตอนนี้เธอก็เป็นแค่ผู้หญิงชั้นต่ำธรรมดาๆ ฉันจะแสดงให้เธอดู!” ทหารคนนั้นยกแซ่ขึ้นมากำลังจะฟาดมาดามดูว์บารี แต่ทันใดนั้นออสการ์ก็เดินเข้ามาใช้ดาบของตัวเองตัดแซ่ขาดสะบั้นซะก่อน
ออสการ์ : “อย่าใช้ความรุนแรงสิ ฉันจะไปส่งมาดามดูว์บารีตรงครึ่งทาง”
ทหาร : “ครับ ท่าน” ออสการ์ยื่นมือมาจะช่วยฉุดให้มาดามดูว์บารีลุกขึ้น แต่มาดามดูว์บารีปฏิเสธความช่วยเหลือนี้ ด้วยความละอายใจ แล้วเธอก็เดินขึ้นรถม้าไป
ออสการ์ : “มีคนมากมายประสงค์ร้ายกับท่าน”
ดูว์บารี : “ไม่ต้องมาสงสารฉันหรอก”
ออสการ์ : “มีข่าวลือมาว่าท่านอาจจะถูกโจมตี ฉันจะไปส่งท่านเอง”
          ในเย็นวันนั้นมาดามดูว์บารีได้เดินทางออกจากแวร์ซายด้วยรถม้า โดยมีออสการ์ขี้ม้าตามไปส่งด้วย รถม้าออกเดินทางไปเรื่อยๆ...
ดูว์บารี : “นี่ก็ไกลจากพระราชวังแวร์ซายส์มากแล้ว ข่าวลือที่ว่าจะถูกโจมตีนั่นน่ะ  เธอโกหกใช่มั้ย?” ออสการ์ไม่ได้ตอบอะไร
ดูว์บารี : “ฉันเคยเป็นโสเภณีมาก่อน อย่างที่คนอื่นเค้านินทานั่นแหละ ออสการ์ เธอคงไม่รู้ล่ะสินะว่ามันทรมานและยากเย็นแค่ไหนที่จะต้องคิดว่าพรุ่งนี้จะมีขนมปังกินรึป่าว? ฉันทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ขนมปังมา ฉันไม่สนว่ามันจะดีหรือเลว และด้วยความพยายามอย่างหนัก ฉันก็ได้กลายเป็นเค้าท์เทส และก็เป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาท โดยไม่รู้ตัวเลย แทนที่จะเป็นขนมปัง แต่ฉันกลับกระหายในเพชรนิลจินดา เสื้อผ้า เครื่องประดับ ฉันสมควรตายมั้ยล่ะ? แต่ฉันไม่เสียใจเลย เพราะฉันได้ทำในสิ่งที่ฉันปรารถนา หยุด!” มาดามดูว์บารีสั่งให้หยุดรถม้า “ส่งแค่นี้ก็พอแล้ว ขอบคุณมาก ออสการ์ฉันไม่ได้รู้สึกเป็นเกียรติแบบนี้มาตั้งแต่ฉันเสียพ่อแม่ไปตอน 5 ขวบ เธอเป็นคนที่แปลกมากเลยนะ? ฉันเป็นผู้หญิงที่ลืมอดีตได้เร็ว ถึงแม้ว่าตอนนี้ฉันจะเป็นเหมือนดอกทานตะวันที่อยู่ผิดฤดูก็เถอะ แต่ซักวันนึงฉันก็จะกลับมาเบ่งบานได้อีกครั้ง...ออกรถได้แล้ว!” แล้วเธอก็เดินทางต่อไปทันที
         มาดามดูว์บารีถูกส่งไปที่โบสถ์แห่งหนึ่งทางฝั่งตะวันออกของปารีส ภรรยาน้อยผู้ซึ่งเป็นที่โปรดปรานของพระราชา มีทั้งทรัพย์สมบัติมากมายและใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย นี่คือจุดจบของมาดามดูว์บารี เธอผู้ซึ่งครั้งหนึ่งเคยทำให้พระนางอังตัวเน็ตต้องสยบแทบเท้าของเธอมาแล้ว  ในปี 1793 เธอก็ได้จบชีวิตด้วยเครื่องกิโยตินจากการตัดสินของศาลปฏิวัติ
 
          หีบพระศพที่บรรจุพระศพของพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 ถูกแห่ไปที่โบสถ์ เซ็นท์ เดนิส ในกลางดึกของคืนวันหนึ่ง เพื่อทำพิธีฝังศพ ในขบวนมีเพียงทหารรักษาพระองค์ 40 นายและมหาดเล็ก 36 นาย เท่านั้น เก่าไปและใหม่มา ความเจริญและความพินาศ มันก็ทำให้คนบางคนเกิดเศร้าเสียใจ ออสการ์ไม่สามารถจะกลั้นน้ำตาแห่งความโศกเศร้าเอาไว้ได้


จบตอนที่ 9

หน้าถัดไป

 

 

 




Create Date : 10 มิถุนายน 2555
Last Update : 12 มีนาคม 2563 11:04:31 น.
Counter : 2095 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Lady Oscar
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 17 คน [?]



New Comments
มิถุนายน 2555

 
 
 
 
 
1
2
3
4
5
7
8
9
11
12
13
14
15
17
18
19
20
21
22
23
25
26
27
28
29
 
All Blog