เบอร์มรณะถึงน้ำหมักป้าเซ็ง

ดูข่าวช่วงนี้ แ้ล้ว...รู้สึกว่าคนไทย "โง่" ลงกว่าเมื่อก่อนหรือเปล่านะ (จะเรียกว่ามองในแง่ของ "ความจริง" หรือเรียกว่า "มองในแง่ร้าย" ก็ตามที)

เห็นข่าวแต่ละอย่างแล้ว ทำให้นึกถึงหลักกาลามะสูตรขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริง ๆ จะว่าไป ในความรู้สึกของเรา คนไทยพุทธส่วนใหญ่ เป็นชาว "พุทธ" แต่ในทะเบียนบ้านกว่า 70% แน่ๆ เพราะไม่ได้นำหลักธรรมที่มีมาใช้ในชีวิตประจำวันกันสักเท่าไหร่ แต่กลับไปยึดติดกับพิธีกรรมที่เป็นเพียงเปลือกของศาสนาเท่านั้น

ข่าวเบอร์มรณะและข่าวน้ำยาโคตรมหัศจรรย์ของป้าแก่นั่น เป็นสิ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจนที่สุด

ข่าวเบอร์มรณะเราว่า อาจจะมีอิทธิพลมาจากภาพยนต์ประเภทผีหลอกวิญญาณหลอนที่เพิ่งเข้าและออกจากโรงภาพยนต์ เป็นตัวกระตุ้นความคิดส่วนนึง แต่ไม่น่าเชื่อว่า จะทำให้มันแพร่ขยายเป็นวงกว้างได้ขนาดนั้น โดยไม่ผ่านการกลั่นกรองหรือหยุดคิดสักนิดจากใครเลย...ซึ่งจะว่าไปแล้ว การที่สื่อสารมวลชนสารพัดแขนงออกมาประโคมข่าวก็เป็นเหมือนดาบสองคมพลอยกระพือไปด้วย เฮ้อ...น่าเศร้าจริง ๆ ถ้าประชาชน ครึ่งค่อนประเทศเป็นแบบนี้ ประเทศชาติมันจะเจริญ พัฒนาต่อไปได้ยังไงกัน ในเมื่อการรับรู้ข่าวสารแล้วไม่มีการร่อนตะแกรงตาถี่ ๆ หลาย ๆ ชั้นแบบนี้

น้ำหมักป้าเซ็งนี่ก็อีก...ก่อนหน้าที่จะมีการพิสูจน์ ไอ้สารพัดประชาชีที่เข้าไปประท้วง หรือขอรอซื้อน้ำมหัศจรรย์ของป้าแกแต่ละคนก็...หน้าตาดูดี มีการศึกษาก็หลายคนอยู่นะ แต่...ไม่เข้าใจว่า ทำไมถึงได้เชื่อเป็นจริงเป็นจังเสียขนาดนั้นว่าโคตรวิเศษสุดอ่ะ เห็นก็เห็นอยู่ว่า...มันเป็นน้ำหมักจากขยะ เศษอาหารสารพัดชนิด ย๊างงง เสือกเอาไปทาเนื้อทาตัว หยอดหูหยอดตากันอีก แถมขวดนึงไม่ใช่ถูก ๆ นะ ตั้ง 1,000 แมร่งงง เจริญฮวบ ๆ เลย


นี่คือ???...อะไรเหรอ??? เกิดอะไรในสังคมกันเนี๊ยะ ประเทศเราคิดกันไม่เป็นแล้วบ่ เขาบอกอะไรก็เชื่อ บอกอะไรก็ทำ สั่งซ้ายหันก็ต้องหันเหรอ ตอนฟังข่าวนี้ทีแรก คิดเลยนะ แม่เจ้าวววววขวดละพันนี่ มีเงินอย่างเดียวซื้อไม่ได้นะเว้ย...ต้องโง่ด้วยแหง๋ม ๆ ออกแนวสมองสองซีกใช้การได้เพียง 0.99 %

แล้วพอเขาออกมาแถลงผลตรวจกันไปว่าน้ำโคตรมหัศจรรย์มีไรมั่ง เราว่า ไอ้คนซื้อส่วนนึงคงรู้สึกเหมือน ชัวร์ หุหุ ตลกหว่ะ...อย่างว่าอ่ะนะ เขาเรียกซื้อความฉลาดด้วยเงิน 1,000 บาทไปเลย

อ่ะ...ไม่บ่นแร่ะ
เอาของดีมาให้อ่านดีกว่านะ...เรื่องของ "หลักกาลามะสูตร"

ครั้งหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จจาริกถึง
นิคมเกสปุตตะของพวกเจ้ากาลามะ
ชาวกาลามะได้พากันมาเฝ้าพระพุทธเจ้าแล้วกราบทูลถามว่า
ได้มีสมณะและพราหมณ์พวกหนึ่ง
มายังเกสปุตตนิคม ได้สำแดง เชิดชู
วาทะของตนฝ่ายเดียว แต่กระทบกระทั่งดูหมิ่น
เหยียดหยามวาทะของฝ่ายอื่นให้เห็นว่าเป็นฝ่ายต้อยต่ำ

ต่อมามีสมณะและพราหมณ์อีกพวกหนึ่งได้มาสำแดง
เชิดชูวาทะของตนฝ่ายเดียวโดยกระทบกระทั่ง ดูหมิ่น
เหยียดหยามวาทะของฝ่ายอื่นว่าเป็นฝ่ายต้อยต่ำเช่นเดียวกัน
พวกตนจึงสงสัยว่าทำอย่างไรจึงจะรู้ได้ว่า
พวกตนสมควรเชื่อใคร และสมณะและพราหมณ์เหล่านั้น
ใครพูดจริง พูดเท็จอย่างไร

พระพุทธเจ้าได้ตรัสต่อชาวกาลามะทั้งหลาย
ให้ใช้หลักวินิจฉัยด้วยตนเองโดย
มิให้ปลงใจเชื่อถือ ด้วยเหตุ ๑๐ ประการ ดังต่อไปนี้

๑) อย่าเชื่อถือเพียงเพราะได้ยินได้ฟังอยู่เนือง ๆ

๒) อย่าเชื่อถือเพียงเพราะเป็นไปตามประเพณีสืบ ๆ กันมา

๓) อย่าเชื่อถือตามคำที่เขาเล่าลือกัน

๔) อย่าเชื่อถือเพียงเพราะตรงกับตำรา

๕) อย่าเชื่อถือเพราะคาดคะเนเอา

๖) อย่าเชื่อถือเพราะมีนัยเทียบเคียงกันได้

๗) อย่าเชื่อถือเพียงเพราะคิดไปตามอาการที่ได้เห็น

๘) อย่าเชื่อถือเพียงเพราะเข้ากันได้กับทฤษฎี

๙) อย่าเชื่อถือเพียงเพราะคนพูดน่าเชื่อถือ

๑๐) อย่าเชื่อถือเพียงเพราะผู้พูดเป็นสมณะหรือครูอาจารย์

พระพุทธเจ้าท่านสอนไม่ให้เชื่ออะไรง่าย ๆเพียงเพราะเหตุใดเหตุหนึ่งใน ๑๐ ประการดังกล่าวข้างต้นแต่ให้ใช้สติปัญญาไตร่ตรองอย่างรอบคอบ
และโดยที่ปฐมเหตุแห่งการที่ท่านเทศนาหลักกาลามะสูตรดังกล่าว
ก็เนื่องจากความแตกต่างในหลักธรรมที่มีผู้สอนผิดแผกกันไป
ท่านจึงให้ไตร่ตรองว่า หลักธรรมใดที่เป็นอกุศลมีโทษ ผู้คนติเตียน กระทำอย่างสม่ำเสมอแล้วไม่ก่อให้เกิดประโยชน์หรือสร้างความทุกข์ให้แก่ตนเอง
หรือผู้อื่น ให้ปล่อยทิ้งไปไม่ควรเก็บมาเป็นอารมณ์แต่ถ้าหลักธรรมใดเป็นกุศล ไม่มีโทษ ผู้คนสรรเสริญกระทำอย่างสม่ำเสมอแล้วจะก่อให้เกิดประโยชน์
และนำความสุขมาให้แก่ตน ก็ให้พึงรับมาปฏิบัติได้

หลักการดังกล่าวได้ผ่านพ้นมาสองพันห้าร้อยกว่าปีแต่ถ้าไตร่ตรองดูให้ดี จะเห็นได้ว่ายังสามารถนำมาใช้ได้ในยุคปัจจุบัน และใช้ได้กับทั้งศาสนจักร และอาณาจักร ใครที่เป็นทั้งลูกค้าป้าแก่ หรือคนที่ส่งต่อข่าวเรื่องเบอร์มรณะ เราว่าจำไว้เป็นบทเรียนมั่งก็คงดีนะ จะได้ไม่มีโครมาสนตะพายได้ง่าย ๆ อีกวันหลัง

ref. ในส่วนของ "หลักกาลามะสูตร" คัดลอกมาจาก //teetwo.blogspot.com/2006/08/blog-post_115604753165261789.html เพราะขี้เกียจพิมพ์อ่ะค่ะ ต้องขอขอบคุณไว้ด้วยนะ

Create Date : 27 มกราคม 2553 Last Update : 28 สิงหาคม 2554 20:37:36 น. Counter : 1537 Pageviews.		5 comments
Share Tweet