สมองส่วนที่บอกว่า เราชอบกินอะไรมากน้อยเท่าไร อยู่ในสมองส่วนหน้าด้านหลังลูกตา (orbito-frontal cortex / OFC)
.
การศึกษาเกี่ยวกับสมอง ซึ่งหนักประมาณ 1.4 กิโลกรัม (ในคนไซส์ฝรั่ง) ทำให้เรารู้ว่า กลุ่มตัวอย่าง (คงจะเป็นฝรั่ง) มีความพึงพอใจจากช็อคโกแล็ตพอๆ กับเซ็กส์หรือกิจกรรมทางเพศ
.
เรื่องที่แปลกหน่อย คือ กลไกการทำงานของสมองในภาวะที่คนเราตกหลุมรัก (to be in lobe) พบว่า มีการเปลี่ยนแปลงคล้ายๆ กับสมองที่ป่วยทางจิต
.
นี่อาจสนับสนุนคำกล่าวของคนโบราณที่ว่า "ความรัก(ถ้ามากไป หรือไม่พอดี)ทำให้เราบ้า"
.
อ.ดร.เจซัน ฮาร์ลฟอร์ด แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคอ้วน จากมหาวิทยาลัยลิเวอร์พูล อังกฤษ (UK) แนะนำวิธีกินอย่างรู้สติ(tips to prevent over-eating = เคล็ดลับในการป้องกันการกินมากเกิน / ลดความอ้วน)ไว้ดังต่อไปนี้
.
(1). หลีกเลี่ยงดีกว่าต้านทาน
.
ให้หลีกเลี่ยงสถานการณ์ (รูป-รส-กลิ่น-เสียง-สัมผัส และสถานที่-บรรยากาศ) ที่กระตุ้นให้อยากอาหาร เช่น ให้หลีกเลี่ยงการเดินทางผ่านร้านอาหาร-ขนม, ไม่รับชมโฆษณาอาหาร-เครื่องดื่ม
.
กล่าวกันว่า คนที่ต้านทาน "ของอร่อยๆ" ได้นั้นมีน้อย, คนที่ต้านทานไม่ไหวนั้นมีมาก... วิธีที่ดี คือ ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่ หรือไม่ลองของ เช่น ลองไปกินช็อคโกแล็ตอร่อยๆ ที่ร้านสักคำ (ซึ่งมักจะกลายเป็นหลายๆ คำ หรือหลายๆ จาน) ฯลฯ
.
(2). อย่าเก็บของอร่อยไว้ในบ้าน
.
ถ้าคิดจะลดความอ้วน... อย่าเก็บของอร่อยหรือของชอบไว้ในบ้าน เช่น ถ้าชอบคุกกี้ก็อย่าให้มี "วัตถุมีพิษ" เช่นนี้ในบ้านแม้แต่ชิ้นเดียว ฯลฯ
.
การมีของอร่อยๆ ไว้ในบ้าน ร้านใกล้บ้าน ร้านสะดวกซื้อใกล้บ้าน เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้คนเราอ้วนขึ้น ซึ่งวิธีป้องกันอย่างหนึ่ง คือ อย่านั่งรถไปซื้อ... ให้เดินไป วิ่งไป หรือกระโดดกบไปซื้อแทน
.
เพราะการออกแรง-ออกกำลังหนักๆ 10 นาที เช่น เดินเร็วจี๋ ฯลฯ มักจะทำให้คนเราได้รับสารความสุขในสมอง (เอนดอร์ฟิน) ทำให้ความอยากของภายนอกลดลง
.
(3). กินช้าๆ อย่างมีสติ
.
กว่าสมองเราจะรู้สึกอิ่มจะใช้เวลาประมาณ 20 นาที... วิธีที่ดี คือ นั่งลงช้าๆ กินช้าๆ ตักอาหารช้าๆ เคี้ยวช้าๆ กลืนช้าๆ แทนการทำอะไรเร็วๆ
.
อาจารย์ท่านหนึ่งมีประสบการณ์ไปบวชในพม่า 1 พรรษา กินฝึกกินอย่างรู้สติ ซึ่งจะต้องนั่งช้าๆ พร้อมกับบริกรรม "นั่งหนอๆ", จับอาหารช้าๆ พร้อมกับบริกรรม "ยกหนอๆ เคลื่อนหนอๆ ถึงหนอๆ จับหนอๆ", ทำอะไรก็บริกรรมช้าๆ ไปตลอด
.
ปรากฏว่า พรรษาเดียว... น้ำหนักลดไป 8 กิโลกรัม (ถ้าไปลดตามศูนย์บริการอาจเสียค่าใช้จ่ายกิโลฯ จะเป็นหมื่นๆ บาท)
.
เมืองไทยน่าจะมีการจัดค่ายลดความอ้วนอย่างรู้สติแบบนี้มากๆ เลย
.
(4). ใช้ภาชนะ (จาน-ชาม-ช้อน-ส้อม-แก้ว-ถ้วย) เล็กๆ
.
การฝึกใช้ภาชนะขนาดเล็กลง เช่น จานเล็กลง แก้วผอมสูงแทนอ้วนเตี้ย ฯลฯ มักจะทำให้คนเรากินน้อยลง
.
(5). อย่ากินอาหารจากถุง (packet)
.
การกินอาหารจากถุง เช่น ขนมกรุบกรอบ ฯลฯ โดยเฉพาะการกินไปดูไป (TV, คอมพิวเตอร์, เล่นเกมส์ ฯลฯ) จะทำให้คนเรากินเร็ว และกินมากขึ้น
.
(6). อย่าทิ้งกากจากโต๊ะ
.
วิธีที่ดี คือ การกินแบบ "ตีแผ่" หรือนำของกินใส่จานใบเล็กๆ กินช้าๆ และถ้ามีกากหรือของเสียจากการกิน เช่น กินปลามีก้าง กินไก่มีกระดูก กินกุ้งมีเปลือก ฯลฯ ไม่ควรนำของเสียหรือกากเหล่านี้ออกจากโต๊ะ ให้ทิ้งไว้ จะได้รู้ว่า กินไปมากแล้ว (ยิ่งพิจารณา "อาหาเรปฏิกูลสัญญา" หรือกรรมฐานว่าด้วยความน่ารังเกียจของอาหารได้ยิ่งดี)
.
(7). ดื่มน้ำ
.
การดื่มน้ำก่อนอาหาร 1-2 แก้ว 15-20 นาทีก่อนอาหาร อาจทำให้ความรู้สึกหิวน้ำลดลง (คนจำนวนมากสับสนแยกแยะระหว่างความรู้สึกหิวน้ำกับหิวข้าวไม่ได้ ทำให้กินมากขึ้นทั้งๆ ที่หิวน้ำ) และกินได้น้อยลง
.
วิธีหนึ่งที่น่าสนใจ คือ ดื่มน้ำข้าว... ชาวพม่านิยมดื่มน้ำข้าวตอนเช้ามืด เพื่อให้มีแรงมีกำลังดี และน่าจะป้องกันโรคอ้วนจากการโมโหหิวช่วงเช้าได้ด้วย
.
วิธีทำง่ายๆ คือ ให้หาข้าวโอ๊ต (มีขายในห้างสรรพสินค้า) มา 1 ช้อนโต๊ะ ใส่ในน้ำร้อน 1 แก้ว แล้วเติมน้ำสะอาดเพิ่มไปอีกเป็น 1.5-2 แก้ว คนให้เข้ากันดี ดื่มก่อนอาหาร 15-20 นาที
.
ถึงตรงนี้... ขอให้ท่านผู้อ่านมีสุขภาพดีไปนานๆ ครับ