กฐินใจเป็นใหญ่ กฐินใจเป็นประธาน กฐินสำเร็จที่ใจ...สำนักสงฆ์ธุดงคสถานบ้านตาขีด2556
เจ้านายให้ผมพาไปทอดกฐินที่สำนักสงฆ์ธุดงคสถานบ้านตาขีดปีนี้อีกครั้ง นับเป็นปีที่สามติดต่อกันแล้ว อาวาสแห่งนี้มีพระอาจารย์ วรินทร์ ธมฺมวโร(หรือที่ญาติโยมรู้จักกันในฉายา หลวงปู่อึ่ง) เป็นประธานสงฆ์ สำนักสงฆ์อยู่ในสวนป่ามะม่วงขนาดใหญ่ ปีนี้พื้นที่ด้านข้างชาวบ้านปลูกมันสำปะหลังและกระชาย บางปีเห็นปลูกข้าวโพด ไกลออกไปเป็นสวนป่ามะม่วง เงียบและสงบเหมาะอย่างยิ่งที่จะมาถือศีลปฏิบัติธรรม ปีก่อนๆเราไปพักที่รีสอร์ทแห่งหนึ่งริมน้ำน่านในตัวอำเภอขาณุวรลักษบุรี แต่ปีนี้รีสอร์ทมีคนพักเต็ม ญาติโยมสำนักสงฆ์ฯแนะนำให้ไปพักรีสอร์ทใกล้ๆเรียกกันว่า รีสอร์ทฝรั่ง (เพราะมีฝรั่งเป็นเจ้าของ)แต่ก็เต็มเช่นเดียวกัน แต่โชคช่วยได้ที่พักเป็นเรือนน็อกดาวน์ซึ่งมีอยู่แค่หลังเดียวในโรงแรมเล็กๆของอำเภอ


สวนป่ามะม่วงเห็นแต่ไกลๆ


ไร่มันสำปะหลังติดต่อกับสวนป่ามะม่วง


นี่ไร่มันสำปะหลังติดกับสำนักสงฆ์ฯเลย

เราออกเดินทางจากจังหวัดแพร่ตอนบ่ายโมงกว่าๆของวันที่30 ตุลาคม มาตามเส้นทางแพร่-เด่นชัย-อุตรดิตถ์-พิษณุโลกผ่านพิจิตร สู่นครสวรรค์ เมื่อมาถึงสี่แยกโพธิ์ไทรงาม (บนถนนสายเอเชีย AH13 ระหว่างพิษณุโลก-นครสวรรค์) เลี้ยวขวาเข้าถนนสายรอง1073 ถึงบริเวณสามแยกหนองตางู ผมไม่ตรงไปตามเส้นทาง 1074 แต่เลี้ยวขวาใช้เส้นทาง1073 ต่อไป จนมาตัดกับเส้นทาง1084 แล้วเลี้ยวขวาไป จนถึงสำนักสงฆ์ฯ ที่ผมเล่าเสียยืดยาวก็เพียงอยากจะบอกว่า ตลอดเส้นทางนี้ตั้งแต่แยกโพธิ์ไทรงาม มีต้นไม้สองข้างทางแผ่กิ่งก้านมาปกคลุมถนนเหมือนเป็นอุโมงค์ ให้ความร่มรื่นเย็นตายิ่งนัก แต่ต้องระมัดระวังในการขับรถหน่อยนะครับเพราะเป็นถนนสองช่องทางสวนทางกัน มีรถพ่วงขนพืชไร่ และรถใช้ในการเกษตรสัญจรไปมาด้วย


ลานที่ตั้งโรงทาน


โรงทานข้าวแกงเขียวหวานปลากรายและขนมจีนน้ำพริกน้ำยาเจ้าอร่อย


โรงทานข้าวเม่าทอดป้าแดงโยมพี่สาวหลวงปู่อึ่ง


โรงทานกาแฟของโยมสัจจา


โรงทานปาท่องโก๋ของโยมอ๊อดและโยมศุลีพร

เอาละครับว่าถึงการทอดกฐินที่นี่ต่อ แม้สำนักสงฆ์จะอยู่ห่างไกลจากชุมชนเมืองแต่ศรัทธาของญาติโยมไม่ได้น้อยเลย ที่นี่มีคนในชุมชนทั้งใกล้และไกลมาตั้งโรงทานถึง 29 โรง ล้วนอาหารไทยดั้งเดิมทั้งนั้น เช่นขนมจีนน้ำพริก น้ำยา แกงเขียวหวานปลากราย ข้าวเม่าทอด ปลากริมไข่เต่า ฯลฯ ในสำนักสงฆ์ฯก็มีความเปลี่ยนแปลงมากเหมือนกัน เช่นมีอาคารที่พักเพิ่มขึ้น(สำหรับคนมาถือศีลปฏิบัติธรรม) พื้นด้านข้างศาลาปูอิฐตัวหนอน เป็นต้น แต่ที่ผมชอบใจอย่างหนึ่งคือยังคงอนุรักษ์ศาลาที่เป็นศาลามุงจากไว้อย่างเหนียวแน่น ศาลานี้เป็นเอกลักษณ์ของสำนักสงฆ์ก็ว่าได้

พิธีการในวันนี้เหมือนกับทุกวัดที่ผ่านมา คือตอนเช้าเป็นพิธีถวายภัตตาหาร เริ่มจากกราบพระแล้วกล่าวคำถวายภัตตาหาร พระให้พร เป็นเสร็จพิธี เมื่อพระฉันเช้าเสร็จ ญาติโยมกินข้าวก้นบาตรเสร็จ มีเวลาทำกิจส่วนตัวเล็กน้อย พอได้เวลาสิบโมงครึ่ง พระและญาติโยมพร้อมในศาลาแล้วก็เริ่มพิธีทอดกฐิน ด้วยการกราบพระ ตัวแทนผู้มาทำบุญถวายพานพุ่มดอกไม้แด่ ลพ.กัณหา สุขกาโม ประธานสงฆ์ กล่าวคำไหว้พระ รับศีล เจ้าของโรงทานและเจ้าของบริวารกฐินรับใบอนุโมทนาบัตร กล่าวคำถวายกฐิน แล้วฟังธรรม ซึ่งวันนี้พระครูปลัดเอกราช เขมานันโท ได้รับมอบให้แสดงธรรมเหมือนเช่นเคย (พระอาจารย์เอกราช ฯได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าคณะตำบล ในสังกัดเจ้าคณะจังหวัดลำปาง-แพร่ ฝ่ายธรรมยุต แล้ว) พอฟังธรรมจบ ก็ถวายผ้ากฐิน พระสองรูปอุปโลกน์กฐินแล้ว พระทั้งนั้นให้พรเป็นอันจบพิธี


ศรัทธาญาติโยมทั้งนั้นมี คุณป้าแดง คุณทิวาพร คุณยุพา


พระกำลังพิจารณาอาหาร


โยมอุ้มบาตให้พระตักอาหาร


โยมรอพระตักอาหาร เสร็จแล้วจะได้เป็นลูกศิษย์กินข้าวก้นบาต (ตักอาหารบ้าง)

ผมขอถ่ายทอดธรรมะที่รับฟังให้ทราบกันโดยย่อดังนี้นะครับ ผมให้ชื่อเรื่องเองว่า “กฐินใจเป็นใหญ่ กฐินใจเป็นประธาน กฐินสำเร็จที่ใจ”
พระพุทธเจ้าได้ทรงมีพระบรมพุทธานุญาตไว้ว่าเมื่อออกพรรษาแล้วหนึ่งเดือน อาวาสที่มีพระสงฆ์จำพรรษาตลอด3เดือน อย่างน้อย5องค์ขึ้นไปรับการถวายผ้าได้ การรับผ้าหลังจากนี้จะไม่เรียกว่าการทอดกฐิน แต่จะเรียกเป็นอย่างอื่น เช่นผ้าป่าบ้าง ผ้าบังสุกุลบ้าง การทำบุญทอดกฐินนั้นถือว่าได้บุญมากเพราะมีเวลาในการทอดจำกัดแค่เพียงเดือนเดียว บางทีก็เรียกช่วงเวลานี้ว่า “จีวรกาล” การทอดกฐินของเราไม่เน้นเรื่องเงินทอง ไม่เน้นบุคคลแต่เน้นการร่วมมือกัน เน้นความสามัคคีของมหาชน ทุกคนสามารถถวายผ้าได้เท่าเทียมกัน
คนเราส่วนใหญ่ยังเห็นผิดอยู่มาก ที่ว่ายังเห็นผิดนั้นก็คือ ยังติดอยู่ในเรื่องของความร่ำรวย ลาภยศ วาสนาบารมี ข้าวของสมบัติ นั่นคือติดอยู่แค่มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ ยังไม่ใช่นิพพานสมบัติ เราต้องกลับมาอยู่กับตัวเอง ทำตัวเองให้มีสติ สมาธิ พิจารณาให้เกิดปัญญา ไม่หลงไปในรูป รส กลิ่น เสียง โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ เมื่อมีสุขก็ไม่ให้หลงสุข มีทุกข์ก็ไม่หลงทุกข์ ท่านไม่ให้หลงสุข หลงทุกข์ เพราะมันเกิดขึ้นแล้ว ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป การดับสุขทุกข์นั้นดับที่ใจเรานี่เอง


ลพ.กัณหาฯเข้าศาลา

เมื่อได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว ต้องประพฤติปฏิบัติธรรม สร้างบารมีธรรม ไม่หลงอยู่กับร่างกายที่มีแต่จะทรุดโทรม แก่ไข้เจ็บป่วยอยู่เป็นนิจ ทุกข์เช่นนี้เราพึ่งใครไม่ได้ แต่พึ่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ได้ ถ้าเรามีอริยทรัพย์ (ทรัพย์อันประเสริฐ มี ๗ ประการ คือ ๑. ศรัทธา ความเชื่อ ๒. ศีล ความประพฤติดีทางกายทางวาจา ๓. หิริ ความละอายต่อบาป ๔. โอตตัปปะ ความกลัวบาป ๕. พาหุสัจจะ ความเป็นผู้ได้เรียนรู้มาก ๖. จาคะ การให้ ๗. ปัญญา ความรู้แจ้ง .....ผู้เขียน) ซึ่งเป็นทรัพย์ภายในจิตใจของเรา เราก็จะห่างจากความเร่าร้อน และความทุกข์ พระพุทธเจ้าให้เราหาที่พึ่งอย่างนี้


ถวายพานพุ่ม

ในสมัยพุทธกาล มีเศรษฐีคนหนึ่งเป็นคนตระหนี่ถี่เหนียว (คนทั้งหลายเรียกเขาว่า อทินปุพพกะ ซึ่งมีความหมายว่า ผู้ไม่เคยให้อะไรใคร...ผู้เขียน) และขาดศรัทธาในศาสนา เขามีลูกชายวัยรุ่นอยู่คนหนึ่งเป็นคนอ่อนแอขี้โรค ชื่อ มัฏฐกุณฑลี แปลว่า ตุ้มหูทองเกลี้ยงๆ (เศรษฐีผู้เป็นพ่อให้ตุ้มหูเป็นของขวัญวันเกิด แต่เพราะความขี้เหนียวจึงไม่ยอมให้ช่างทองทำให้ กลัวเสียเงินค่ากำเหน็จ เลยทำเสียเองแบบโล้นๆ และที่เป็นคนอ่อนแอขี้โรคก็เพราะพ่อไม่ยอมให้กินอาหารดีๆกลัวสิ้นเปลือง เลยเป็นโรคขาดอาหารว่างั้นเถอะ....ผู้เขียน) ต่อมาลูกชายป่วยหนัก เศรษฐีก็ไม่ยอมพาไปหาหมอรักษากลัวเสียเงิน แต่หายามารักษาเอง จนอาการทรุดหนัก หมออื่นก็ไม่ยอมรักษาเพราะรู้ว่าไม่รอด เศรษฐีคิดว่าลูกคงต้องตายแน่ จึงให้คนนำลูกออกมานอนที่ระเบียงนอกเรือน เพราะกลัวญาติที่มาเยี่ยมเห็นสมบัติที่ตนเก็บไว้ในเรือน เมื่อพระพุทธเจ้าเล็งข่ายพระญาณเพื่อตรวจดูสรรพสัตว์ที่พอจะโปรดได้ ทรงเห็นว่ามัฏฐกุณฑลีอยู่ในข่ายจึงเสด็จมา ขณะนั้นมัฏฐกุณฑลีนอนหันหน้าเข้าหาฝาเรือน ไม่เห็นพระองค์ พระองค์จึงทรงเปล่งพระฉัพพรรณรังสี หนุ่มน้อยเห็นแสงวาบก็แปลกใจว่าเป็นแสงอะไร พลิกตัวกลับมา เมื่อเห็นพระพุทธเจ้าก็เกิดศรัทธาเลื่อมใสเป็นที่สุด แต่พอจะยกมือขึ้นไหว้ก็ทำไม่ไหว ได้แต่น้อมจิตน้อมใจขอเอาพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งเท่านั้น เมื่อพระพุทธเจ้าทรงทราบแล้วว่ามัฏฐกุณฑลีมีศรัทธาเลื่อมใสในพระองค์แล้วก็ทรงดำเนินจากไป หนุ่มน้อยก็หมดลมหายใจ ไปอุบัติในสวรรค์เป็นเทวดา เมื่อเศรษฐีรู้ว่าลูกชายเสียชีวิตแล้วก็เฝ้าแต่คร่ำครวญอาลัยอาวรณ์ จนเทวดาอดีตลูกชายต้องแปลงกายเป็นมานพน้อยมายืนร่ำไห้อยู่ข้างๆ โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะทำให้เศรษฐีได้รู้สึกตัวว่าได้ทำอะไรไม่ดีไว้ พอเศรษฐีเห็นว่ามีหนุ่มน้อยลักษณะเหมือนลูกชายของตนที่เสียชีวิตไปมายืนร้องไห้อยู่ข้างๆก็นึกเอ็นดู ถามว่าร้องไห้ทำไม เทวดาจำแลงก็บอกว่ามีรถทองคำอยู่คันหนึ่งแต่ไม่มีล้อ อยากได้ล้อรถ เศรษฐีก็พูดว่าจะให้ล้อทองคำ เทวดาจำแลงบอกว่าไม่ต้องการอยากได้พระอาทิตย์และพระจันทร์มาเป็นล้อ เศรษฐีฉงนตอบว่าจะเอามาได้อย่างไร เป็นไปไม่ได้ เทวดาจำแลงเลยถือโอกาสสอนเสียเลยว่าเศรษฐีก็เหมือนกันร้องไห้คร่ำครวญจะให้ลูกชายฟื้นคืนมานั้นก็เป็นไปไม่ได้ เศรษฐีสงสัยถามว่าแล้วท่านเป็นใครถึงได้รู้ เทวดาจำแลงตอบว่าเราคือลูกชายที่ตายไปแล้วไปเกิดบนสวรรค์ เศรษฐียิ่งสงสัยว่าจะไปเกิดบนสวรรค์ได้อย่างไรในเมื่อทานก็ไม่เคยให้ บุญก็ไม่เคยทำ ศีลก็ไม่เคยถือ ไม่ได้ทำบุญทำกุศลใดๆมาก่อนเลย เทวดาจำแลงจึงเล่าเรื่องที่พระพุทธเจ้ามาโปรดให้ฟัง เศรษฐีฟังแล้วเกิดปีติและอัศจรรย์ใจยิ่งนัก แค่การทำอัญชลีต่อพระพุทธเจ้าและศรัทธาเลื่อมใสในพระองค์ก็ทำให้ไปเกิดในเทวโลกได้ จึงปฏิญาณว่าจะให้ทาน รักษาศีล ถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งบ้าง แล้วไปเข้าเฝ้าอาราธนาพระพุทธเจ้ามาเสวยภัตตาหารที่บ้าน เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จมาแล้วทรงตรัสพุทธภาษิตว่า
“มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฺฐา มโนมยา
มนสา เจ ปสนฺเนน ภาสติ วา กโรติ วา
ตโต นํ สุขมเนฺวติ ฉายาว อนุปายินี”
“ธรรมทั้งหลาย มีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นใหญ่
สำเร็จแล้วด้วยใจ ถ้าบุคคลมีใจผ่องใสแล้ว
พูดอยู่ก็ดี ทำอยู่ก็ดี ความสุขย่อมไปตามเขา
เพราะเหตุนั้น เหมือนเงาไปตามตัวฉะนั้น”



ระหว่างพิธี

ฟังเรื่องนี้แล้วก็ให้เราน้อมพิจารณาดูจิตดูใจของเราเอง ใจนั้นสำคัญ ใจนั้นเป็นใหญ่ การกระทำใดๆจะสำเร็จก็อยู่ที่ใจ
ให้เราสมาทานรักษาศีล5กัน วันพระให้รักษาศีล 8 หรืออุโบสถศีล ทำใจให้ว่าง การดับทุกข์คือการทำจิตใจให้เป็นพระ ไม่พาล ไม่หลง อยู่กับสมาธิความสงบ อย่ามุ่งแต่ทางเศรษฐกิจทางโลก ซึ่งจะทำให้เกิดโรคทางกายคือ เจ็บไข้ เกิดโรคทางใจ คือ ความโลภความหลง การมาทอดกฐินนั้น เราตั้งจิตอธิษฐานให้เกิดมรรคผลนิพพานได้ (ตั้งใจให้เกิด พร้อมทำความเพียรด้วย....ผู้เขียน) คุณงามความดีอยู่ที่กาย วาจา ใจ ของเรา ไม่ได้อยู่ที่สิ่งภายนอก เพราะสิ่งภายนอกไม่เที่ยงแท้แน่นอน เอาแก่นสารอะไรไม่ได้ ให้เราจัดการกับตัวเราเอง จัดการที่กาย วาจา ใจของเรา

สำหรับกฐินวัดแพร่ธรรมารามและวัดสาขาผมคงได้แค่นี้ก่อน จะไปวัดอื่นได้อีกหรือไม่ก็แล้วแต่โอกาสครับ หากญาติโยมท่านใดไปได้อีกกรุณาโพสต์รูปและเรื่องราวสู่กันใน FB หรือลงในบล็อกแก๊งบ้างก็ดีนะครับ จะได้ร่วมอนุโมทนาด้วยครับ





Create Date : 01 พฤศจิกายน 2556
Last Update : 1 พฤศจิกายน 2556 17:04:02 น.
Counter : 3689 Pageviews.

2 comments
  
สาธุ สาธุ สาธุ
โดย: น้อย IP: 58.9.137.138 วันที่: 2 พฤศจิกายน 2556 เวลา:8:06:44 น.
  
อนุโมทนาด้วยนะคะ _/|\\_ พระน้องชายท่านได้ไปจำวัด อยู่ปฏิบัติหลวงปู่ ได้ระยะเวลาหนึ่ง พอดีท่านพึ่งบอกว่ากำลังจะกลับไป หลังออกพรรษานี้ เลยค้นเจอบล็อกนี้...
โดย: ฺำฺำฺฺ IP: 108.220.168.155 วันที่: 3 พฤศจิกายน 2556 เวลา:10:30:42 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

อุษา
Location :
แพร่  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 15 คน [?]



พฤศจิกายน 2556

 
 
 
 
 
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
 
All Blog