สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง.... มีกรรมเป็นของตน.... มีกรรมเป็นผู้ให้ผล....มีกรรมเป็นแดนเกิด.... มีกรรมเป็นผู้ติดตาม.... มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย.... จักทำกรรมอันใดไว้ ....เป็นบุญหรือบาป........ จักต้องเป็นผู้ได้รับผลกรรมนั้น ๆ สืบไป

ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับความรักที่พบบ่อยที่สุด...




ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับความรักที่พบบ่อยที่สุด...

ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับความรักที่พบบ่อยที่สุดอย่างหนึ่งคือ

" ถ้ารักกันแล้วเราขาดกันไม่ได้ "
ยกตัวอย่างกรณีที่เราจะพบเสมอ
ทันทีที่รู้ว่าคน (ที่เรา) รักจากไปสู่ที่ชอบๆ

...คือไปอยู่กับคนที่เขาชอบมากกว่าเรา
และที่ชอบของเขาเป็นที่ไม่ชอบของเรา

ไม่ว่าหญิงหรือชายจะเกิดอาการกินไม่ได้นอนไม่หลับ จะเป็นจะตาย
หลายรายถึงกับสำเร็จความตายด้วยตนเอง...คิดว่าเป็นการบูชาความรัก

ตัวอย่าง คนไข้สาวรายหนึ่ง
แฟนหนุ่มมีอันต้องจำพรากจากไป...อยู่กับสาวอื่นแทน

เธอพรอดพร่ำรำพันต่อหน้าจิตแพทย์ "
หนูไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปอีก
แล้ว หนูอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเขา "

เธอลืมไปว่าก่อนที่จะมีเขา เธอก็ยังมีชีวิตอยู่ได้

" หนูรักเขามากค่ะ...คุณหมอขา
คุณหมอคงเข้าใจใช่ไหมคะว่าหนูรักเขามากแค่ไหน"

ถ้อยคำมากมายพรั่งพรูจากปากของเธอ
ขณะที่กระแสน้ำตาที่คลอเบ้าหลั่ง
ล้นท้นท่วม จนกระดาษทิชชูที่มีอยู่ไม่เพียงพอ


จิตแพทย์เริ่มคิดถึงวัสดุผ้าที่มีคุณสมบัติในการซึมซับของเหลวได้มากกว่า...

" คุณเข้าใจผิดเสียแล้วล่ะครับ คุณไม่ได้รักแฟนคุณหรอก "
จิตแพทย์พูดบ้าง หลังจากฟังมานาน

" คุณหมอหมายความว่ายังไง ก็หนูเพิ่งพูดไปแหม่บๆ
ว่าถ้าขาดเขาเสียแล้วชีวิตของหนูก็อยู่ไม่ได้ "

น้ำเสียงเธอแสดงความไม่พอใจ จิตแพทย์พยายามอธิบาย

"สิ่งที่คุณพูดมาทั้งหมดไม่ได้เรียกว่าความรักหรอกครับ
เขาเรียกว่า...ภาวะกาฝาก

ตราบใดที่คุณยังต้องพึ่งใครสักคนเพื่อความอยู่รอดของคุณ
คุณก็ทำตัวเหมือนพยาธิ ในลำไส้ของเขา...

มันทำให้ชีวิตคุณไม่มีทางเลือกและขาดอิสรภาพ
มันกลายเป็นภาวะจำเป็นมากกว่าความรัก "

คนไข้สาวช็อคไปชั่วขณะ
นึกว่าจะได้รับคำปลอบใจที่มีคุณภาพสูงกว่า
ที่เคยได้จากเพื่อนๆ ...

แต่*ังพูดต่อทั้งๆ ที่คนไข้กำลังนั่งนิ่งตะลึงด้วยความมึนงง
เหมือนจงใจ " ซ้ำเติม " ปัญญาสู่จิตอันขลาดเขลา


"ความรักที่แท้ต้องมีอิสรภาพ...คนสองคนจะรักกันได้ก็ต่อเมื่อเขาทั้ง
สองสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ตามลำพังอย่างไม่เป็นทุกข์

แต่เขาทั้งสองก็เลือกที่จะใช้ชีวิตร่วมกันเพื่อความสุขที่มากขึ้น "


ฉับพลันทันใดในดวงใจของหญิงสาว...พุทธิปัญญาก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างพวยพุ่ง

ดวงตาเห็นธรรมเป็นแสงสว่างส่องทางชีวิตให้หลุดพ้นจากหุบเหวห้วงอารมณ์อันมืดมิด...

เธอใช้เวลาตั้งสติพักหนึ่ง สีหน้าเริ่มสงบ
คิ้วผ่อนคลายขมวดรอยยิ้มน้อยๆ ปรากฏที่มุมปาก ก่อนเปล่งวาจา

"คำพูดของคุณหมอเปรียบเสมือน
แสงตะวันที่สาดส่องทะลุทำลายกำแพงเมฆหมอกแห่งมิจฉา
ทิฐิของดิฉันบัดนี้ดิฉันได้เห็นแล้วซึ่งสัจธรรม
ต่อแต่นี้ไปจะขอดำเนินชีวิตที่เหลือตามรอยแห่งพุทธะ...สาธุ "

จิตแพทย์ที่กล้าพูดเตือนสติแทนการพูดประคองใจท่านนี้ คือ Dr.Scott Peck

ซึ่งได้เขียนบรรยายเหตุการณ์เรื่องนี้ในหนังสือขายดิบขายดีชื่อ
The Road Less Traveled

ซึ่งท่านได้ให้แนวคิด เรื่อง "ภาวะพึ่งพิง " (Dependency)
ไว้ด้วยความหมายว่า

เป็นภาวะที่เราไม่สามารถดำเนินชีวิตโดยปราศจากการดูแลเอาใจใส่จาก
บุคคลอื่น

ในภาวะปกติเราอาจต้องพึ่งพิงขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นในกรณีที่เรา
ได้รับบาดเจ็บ หรือกำลังป่วย

แต่หากเรามีสุขภาพร่างกายที่ดีแล้วยังต้องพึ่งพิงผู้อื่นทางจิตใจ
เพื่อช่วยให้ เราเป็นสุขี

แสดงว่าสุขภาพทางจิตของเรากำลังย่ำแย่ เจ็บป่วยหรือบาดเจ็บ

เวลาที่ผ่านไป จะช่วยเยียวยาบาดแผลให้สมานจนหายสนิท
พร้อมภูมิต้านทานทางใจที่มากขึ้น...

คนที่มีสุขภาพจิตดีจะให้ความรักแก่ตัวเองเป็น
และดำเนินชีวิตได้โดยไม่ต้องพึ่งพิงใคร

แต่อาจพึ่งพาในบางกรณี เพราะคนเราไม่ได้เก่งหรือทำเป็นหมดทุกอย่าง

แต่ถ้าคุณถึงขั้น " ขาดเขาไม่ได้ "
...จงอย่าเอาคำว่า " รักเขามากเหลือเกิน "

มาลวงหลอกใจตัวเอง ยิ่งต้องถึงคิดฆ่าตัวตาย
...ยิ่งแสดงว่า " แม้แต่ตัวเอง ก็ยังไม่รัก "

หลายคนคิดว่าถ้าฉันฆ่าตัวตาย
จะทำให้เขารู้สึกผิดกับการกระทำของเขาที่ทิ้งเราไป

ตั้งวัตถุประสงค์ของกิจกรรมว่า " เขาจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต"

...คิดอย่างนี้ส่วนใหญ่มักตายฟรี

ปัจจุบันผู้หญิงไทยมีการศึกษา
มีการงานและความสามารถไม่แพ้เพศชาย

ไม่จำเป็นต้องอาศัยเพศชายเป็นผู้นำของชีวิตเหมือนหญิงไทยสมัยโบราณ...

การอยู่เป็นโสด เป็นหม้าย หรือหย่าร้าง
ไม่มีผลถึงกับทำให้วิญญาณต้องหลุดออกจากร่าง


ผู้หญิงทั้งหลายจึงสามารถใช้ชีวิตด้วยตนเองได้อย่างมีความสุขและ
ภาคภูมิใจ ในเกียรติของผู้หญิง


และหากได้พบชายใด ที่เราเห็นว่าทำให้ชีวิตเรามีความสุขมากขึ้น
และดีขึ้นกว่าการ อยู่คนเดียว

คุณก็อยู่ในฐานะที่มีโอกาสเลือก...ไม่ใช่จำเป็นต้องเลือก
หรือจำใจเลือกเขามาเป็นคู่ชีวิต

ขอกล่าวทวนประโยคเดิมที่จิตแพทย์ Dr.Scott Peck
พูดกับคนไข้ด้วยภาษาต้นฉบับ

" Love is the free exercise of choice. Two people love each
other only when they are quite capable of living without
each other but choose to live with each other "





 

Create Date : 25 พฤศจิกายน 2553
8 comments
Last Update : 25 พฤศจิกายน 2553 11:59:56 น.
Counter : 1863 Pageviews.

 

ชอบค่ะ ขออนุญาติเผยแพร่

 

โดย: pp IP: 192.168.2.99, 202.143.155.99 25 พฤศจิกายน 2553 12:20:07 น.  

 


ขอบคุณนะคะสำหรับเรื่องราวดีๆ
จะติดตามต่อไปเรื่อยๆ ค่ะ

 

โดย: น้ำค้างเดือนหก 25 พฤศจิกายน 2553 14:10:13 น.  

 

สวัสดีค่ะ

ขอบคุณสำหรับการแบ่งปันบทความดีๆค่ๆ

 

โดย: LoveTurJang 25 พฤศจิกายน 2553 14:22:58 น.  

 

แป๋วบังเอิญแวะเข้ามาแล้วชอบค่ะ
ขออนุญาตแอ้ดไว้
จะได้กลับเข้ามาอ่านบทความย้อนหลังนะคะ

ปล. แป๋วชอบบันทึกของเหลียงจี้จางมากค่ะ
อัพไว้ที่บล็อกเหมือนกัน

 

โดย: SevenDaffodils 25 พฤศจิกายน 2553 22:36:08 น.  

 

ขอบคุณทุกท่านที่แวะเข้ามาเยี่ยมครับ

เรื่องนี้มาจากเมลล์ครับ เผยแพร่ได้เลยครับ

 

โดย: วนารักษ์ 26 พฤศจิกายน 2553 11:12:50 น.  

 

ชอบบทความในบล้อกพี่เช่นกันครับ
อ่านแล้วได้แง่คิดที่ดีเลยครับ





 

โดย: กะว่าก๋า 26 พฤศจิกายน 2553 14:48:12 น.  

 

“7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก”

ณ ห้องเรียนกลุ่มหนึ่ง ครูถามนักเรียนว่า “อะไรคือ 7
สิ่งมหัศจรรย์ของโลก” คำตอบมีต่างกันบ้าง แต่นักเรียน
ส่วนใหญ่เลือกคำตอบ ดังนี้


1. ปิรามิดอียิปต์
2. ทัชมาฮาล
3. แกรนด์แคนยอน
4. คลองปานามา
5. ตึกเอ็มไพร สเตท
6. บาซิลลิก้าแห่งมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์
7. กำแพงเมืองจีน


ระหว่างที่รวบรวมคำตอบ ครูสังเกตเห็นว่ามีนักเรียนที่
ยังเขียนไม่เสร็จอยู่คนหนึ่ง ครูจึงถามนักเรียนว่าเธอเลือกไม่ถูก
หรืออย่างไร

เด็กหญิงจึงตอบว่า “ค่ะ หนูไม่ทราบว่าจะเลือกอันไหนดี
เพราะมันช่างมีมากมายเหลือเกิน” ครูจึงเอ่ยขึ้นว่า “งั้นหนูก็ลอง
บอกให้ฟังหน่อยซิจ๊ะ เผื่อพวกเราจะช่วยได้”

เด็กหญิงรีรออยู่ครู่หนึ่ง ก่อนอ่านสิ่งที่ตนเขียน “ฉันคิด
ว่า 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก คือ...


1. การมองเห็น
2. การได้ยิน
3. การได้สัมผัส
4. การได้รู้รส
5. การได้รู้สึก
6. การได้ยิ้มหัวเราะ
7. การได้รัก


ทั้งห้องเงียบอึ้ง! เงียบขนาดได้ยินเสียงเข็มหล่นพื้นเลย
ทีเดียว เรามองข้ามสิ่งที่เรียบง่ายและแสนจะธรรมดาไปโดย
สิ้นเชิง

ขอย้ำอีกนิด!

“สิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตไม่อาจสร้างได้ด้วยมือหรือซื้อ
ได้ด้วยเงิน”


The poor people just want food.

The rich can bye everything they want

 

โดย: ภายใต้ 27 พฤศจิกายน 2553 8:19:58 น.  

 

คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...

 

โดย: Junenaka1 27 พฤศจิกายน 2553 9:17:54 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


วนารักษ์
Location :
ปราจีนบุรี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 31 คน [?]




ขอต้อนรับสู่บล็อกเล็กๆแห่งนี้มีมิตรภาพและความจริงใจให้กับเพื่อนๆทุกท่านที่แวะเข้ามาทักทายกัน ^^

บทความและรูปภาพนี้จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่เป็นธรรมทาน พร้อมทั้งขอมอบเป็นน้ำใจกับเพื่อนๆทุกคนที่แวะเข้ามา สามารถคัดลอกนำไปเผยแพร่ได้ ยกเว้นเพื่อประโยชน์ทางการค้าซึ่งต้องขออนุญาตก่อนว่าเหมาะสมหรือไม่

เพื่อนบางคนมาครั้งเดียว นานๆมาที มาไม่บ่อย มาบ่อยๆ
บางคนมาเยี่ยมทุกวันให้ชื่นใจ

บางคนเคยมาทุกวัน บางคนเคยมานานแล้ว บางคนหายไปจากบล็อก บางคนก็จะไม่แวะมาทักทายกันอีก

แต่ไม่ว่าอย่างไรก็จะขอเก็บความรู้สึกดีๆที่มีให้กันไว้ตราบนานเท่านาน เพราะเมื่อรักกันแล้วย่อมเข้าใจกันได้ไม่ยาก

จขบ.เป็นคนซื่อๆง่ายๆจริงใจ ไม่มีเจตนาแอบแฝงในการทำบล็อก แต่บทความหรือรูปภาพก็อาจทำให้ผู้อ่านขัดใจได้ เพราะความรู้เท่าไม่ถึงการของ จขบ.หรืออาจเป็นเพราะเราไม่เคยรู้จักดีพอ จึงกราบขออภัยมา ณ.ที่นี้ด้วย และขอขอบพระคุณทุกท่านที่แวะมาเยี่ยมเยียนด้วยความจริงใจนะครับ ^^


ฝากข้อความหลังไมค์
Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2553
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
25 พฤศจิกายน 2553
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add วนารักษ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.