เรื่องที่17 ธรรมะในที่ทำงาน
ธรรมะในที่ทำงาน
ศิษย์ อาจารย์ครับ การทำงานนี่มีแต่ปัญหาอุปสรรคอยากให้อาจารย์ช่วยแนะนำด้วยครับ
อาจารย์ เราก็ต้องฝึกเรียนรู้ที่จะนำสิ่งรอบๆตัวมาช่วยสอนเราบ้าง
ศิษย์ ปัจจุบันคนต้องทำงานอยู่ในสำนักงานไม่ค่อยได้พบธรรมชาติจะทำอย่างไรดีครับ
อาจารย์ธรรมะนี้คือทุกๆสิ่ง ไม่ได้แยกว่าเป็นที่ทำงานหรือในป่า เพียงแต่ว่าในสถานที่ที่เหมาะสม มันง่ายที่จะมองเท่านั้น ใจเราที่วุ่นวายของเราต่างหากที่ทำให้มองไม่เห็น
ศิษย์ เช่นอะไรบ้างครับ
อาจารย์ในการทำงานสิ่งแรกที่เราทำก็คือเปิดไฟใช่ไหม เราเปิดไฟเพื่อให้มองเห็น แสงยิ่งสว่างก็ยิ่งเห็นชัด ก็เปรียบเหมือนการทำงานเราก็ต้องมีปัญญามีความรู้ความสามารถ คนที่มีปัญญามากก็ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้ตำแหน่งที่ดี เราควรแสวงหาความรู้และเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากการทำงานให้มากที่สุด เหมือนที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า แสงสว่างเสมือนด้วยปัญญาไม่มี เมื่อเราทำได้ชีวิตเราก็จะมีแต่ความรุ่งเรือง
ศิษย์เข้าเค้าครับอาจารย์
อาจารย์ในที่ทำงานก็มีสิ่งมากมายให้เราเห็น บางครั้งความทุกข์เกิดขึ้นง่ายๆจากการให้ค่าสิ่งต่างๆ และหลงไปเป็นในสิ่งที่เราเห็นนั้นเสียเอง ศิษย์งงไปใหญ่เลย ครับ
อาจารย์เอา ลองดูก่อนทำงานเราก็ต้องเซ็นต์ชื่อหรือตอกบัตร ทีนี้พอเราดูเราเห็นทุกวัน เราก็เลยกลายเป็นเครื่องตอกบัตรไปเสียเอง คอยมองว่าใครมาก่อนมาหลัง ใครให้คนอื่นตอกบัตรแทน แล้วก็คิดไปสารพัดว่าฉันมาเร็วต้องได้โบนัสมากกว่าคนที่มาสายกว่าฉัน ไปกันใหญ่แล้ว ถ้ามาเร็วได้โบนัสมาก ถ้าอย่างนั้นพนักงานทำความสะอาดหรือยาม ต้องได้โบนัสมากกว่าใครทั้งหมดแน่ๆ นี่เป็นตัวอย่างของการเป็นเครื่องตอกบัตร
เธอเคยเห็นไม้บรรทัดที่เอาไว้ตีเส้นไหม ในบางครั้งเราก็กลายเป็นไม้บรรทัดที่คอยตีเส้นให้คนอื่นเสียเอง คนนั้นต้องเป็นอย่างนี้ คนนี้ต้องเป็นอย่างนั้น ทำจนเคยชินเพื่อสร้างบรรทัดฐานใหม่ ตามค่านิยมผิด ๆถูกๆ ที่เราตั้งไว้เอง เพื่อกำหนดทิศทางคนอื่นให้เป็นดั่งกิเลสที่อยู่ภายในใจเรา
ยางลบหรือลิควิดเปเปอร์นี้เขาเอาไว้ลบคำผิด แต่บางคนนี้มักจ้องจับผิดคนอื่นตลอด แทนที่จะทำตัวให้ดีกลับไปมองจุดเสียแล้วแอบนึกภูมิใจตัวเองที่เลวน้อยกว่า เปรียบเสมือนการทำให้เส้นตัวเองยาวขึ้นด้วยการลบเส้นคนอื่นให้สั้นลง ตัวเองก็เลยไม่มีโอกาสที่จะดีขึ้นได้เลย
ถังขยะนี่เขาเอาไว้ใส่ขยะ ใจเราที่สะสมสิ่งไม่ดีไว้โดยไม่รู้สึกตัว เช่นความรู้สึกอิจฉา การนินทาว่าร้าย ความเกียจคร้าน คอยเป็นที่สะสมของความไม่ดี เราก็เลยกลายเป็นถังขยะเสียเอง
ที่แย่ที่สุดคือการทำตัวเป็นศาลเป็นนิติกรประจำบริษัท ไปแย่งหน้าที่คนอื่นเขา ใครทำอะไรค้านไปหมด ตรวจสอบไปหมดทุกเรื่อง สุดท้ายก็ไม่มีผลงานอะไร เพราะคนที่ไม่ทำอะไรผิดก็คือคนที่ไม่ทำอะไร ไม่มีใครอยากเข้าไปปรึกษาหรืออยากเข้าใกล้ ตัวเองกลับคิดว่าตัวเองเก่งและดีที่สุดแต่คนอื่นเขามองว่าเป็นวัตถุโบราณ พวกอนุรักษ์หัวเก่า กลายเป็นคนถ่วงความเจริญของหน่วยงานไป
ศิษย์แล้วเราควรทำตัวอย่างไรครับ
อาจารย์ ทำตัวเหมือนผ้าถูพื้น ทำตัวเหมือนถ้วยชาม ทำตัวเหมือนเครื่องปรับอากาศ ทำตัวเหมือนห้องน้ำ
ศิษย์ เอ ผมรู้สึกว่าจะมีแต่ของสกปรกนะครับ อาจารย์ ก็คงอย่างนั้นแหละ เพราะว่าการทำงานนี่ถ้าเรารู้จักมองคุณค่าของมันแล้ว มันมีสองส่วนแยกกันอยู่
ส่วนหนึ่งคือรายได้ที่เราใช้เลี้ยงตัวเอง เลี้ยงครอบครัวพ่อแม่พี่น้องของเรา ส่วนที่สองคือ คุณค่าต่อหน่วยงาน องค์กร คุณค่าต่อเพื่อนร่วมงาน คุณค่าในการพัฒนาศักยภาพของตัวเอง
สิ่งเหล่านี้เป็นคุณค่าที่เราควรตระหนักให้มากๆ ในการทำงานที่มีความสุขเพราะว่ามันทำให้เกิดการประสานงาน ความร่วมมือ เกิดเป็นบรรยากาศอันอบอุ่นเป็นกันเองในการทำงานและปัญหาในการทำงานมากกว่าครึ่งก็มาจากส่วนนี้นี่เอง
การเรียนรู้คุณค่าของตัวเองในฐานะเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของหน่วยงานมากกว่าเงินเดือนที่ได้รับ การช่วยเหลือ การมีน้ำใจต่อเพื่อนร่วมงาน สิ่งเหล่านี้คือความสำเร็จ คือคุณค่าที่แท้จริงของชีวิต ไม่ใช่ตำแน่งหรือเงินเดือนมากๆแต่ทำงานน้อยๆ อันนี้เป็นความเข้าใจผิดที่ปลูกฝังกันมานานและเป็นไปตามอำนาจของกิเลสตัณหามากกว่าปัญญา
สิ่งที่ดูสกปรก เช่นไม้ถูพื้นที่ยอมทำตัวสกปรกเพื่อให้พื้นสะอาด ไม่มีฝุ่นละอองปลิวเข้าจมูกให้สูดดม บางครั้งเราอาจต้องเสียสละแรงงานหรือยอมเสียเวลาที่มีค่า ยอมเก็บกวาดความสกปรกที่ตัวเองและผู้อื่นทำไว้ รวมทั้งขจัดความขัดแย้งเล็กๆน้อยในใจเราออกไปบ้างเพื่อให้ที่ทำงานนั้นน่าอยู่ น่าทำงาน
ถ้วยชามที่ใส่เครื่องดื่มแก้กระหาย หรืออาหารบำรุงจิตใจและร่างกาย เมื่อสกปรกก็แค่ล้างทำความสะอาดแล้วเก็บเข้าที่เพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ได้เหมือนเดิม เมื่อเรามีอะไรดีๆที่น่าจะมีประโยชน์ต่อเพื่อนร่วมงานไม่ว่าจะเป็นน้ำใจช่วยเหลือ เป็นขนมหรือของฝากเราก็หามาเป็นน้ำใจแก่เพื่อนร่วมงาน แล้วอย่าลืมล้างความรู้สึกเป็นบุญคุณไปด้วยเหมือนถ้วยชามที่ใช้แล้วเราก็ต้องล้างเก็บไว้เพื่อใช้ใหม่อย่างเก็บความรู้สึกไว้จนเน่าเหม็นเป็นอันขาด
เครื่องปรับอากาศแม้ไม่มีส่วนในความสำเร็จของเนื้องาน แต่ก็ทำให้เกิดภาวะเหมาะสมในการทำงาน ไม่ร้อนจนเครียดทำงานไม่ได้ เปรียบเสมือนการที่เรารู้จักพูดจาไพเราะต่อกัน ถึงจะไม่มีผลต่องานแต่ก็ทำให้ทำงานได้ไม่เคร่งเครียด เกิดบรรยากาศที่ดีในการทำงาน
ห้องน้ำก็เป็นที่ๆทุกคนไม่ปฏิเสธ ได้ระบายความทุกข์ ได้ล้างหน้าแปรงฟัน หวีผม ทำให้จิตใจมีความสุข บางทีถึงได้เรียกว่าห้องสุขา เพราะเข้าไปแล้วมีความสุขยิ้มแย้มออกมาทุกคน เปรียบเหมือนการให้คำแนะนำปรึกษาปัญหาให้ความช่วยเหลือแก่เพื่อนร่วมงาน พวกเขาก็จะมีความสุขกลับไปทุกคน
มีคนกล่าวว่าชีวิตก็เหมือนละคร ละครก็เหมือนชีวิต เพราะในการทำงานก็เหมือนการสวมบทบาทตัวละครในบทละครหรือภาพยนตร์ หนังดีๆเรื่องหนึ่งที่ได้รับความนิยมหรือได้รับรางวัล ก็ไม่ได้มีแต่ดารานำชายหญิงเท่านั้นที่ทำให้เรื่องสนุกประทับใจ ยังมีตัวประกอบ และผู้ที่อยู่เบื้องหลังได้แก่ ผู้กำกับ คนเขียนบท ช่างถ่ายภาพ คนตัดต่อ คนทำดนตรี ฯลฯ ที่เขายังยกย่องและมีรางวัลให้ด้วย ทุกคนช่วยกันทำให้งานแสดงออกมาสมบูรณ์และสนุกสนานหรือแม้แต่คนที่ทำอาหาร ช่างแต่งหน้า ช่างไฟ ฯลฯ ก็ล้วนเป็นส่วนในการสนับสนุนในการสร้างภาพยนตร์ นอกจากรายได้เลี้ยงตัวเองแล้วในส่วนลึกพวกเขาก็ภูมิใจในหน้าที่ของตัวเองว่าอยู่เบื้องหลังความสำเร็จเหล่านั้นด้วย
ในขณะที่เธอทำงาน เธอคือส่วนสำคัญที่ทำให้งานในบริษัทดำเนินไปได้ เธอเป็นส่วนที่มีค่า เป็นฟันเฟืองที่ทำให้เครื่องจักรเดินไปได้ เป็นหมุดหรือน็อตที่ยึดส่วนต่างๆให้อยู่ร่วมกัน แต่บางครั้ง เธออาจไม่รู้สึกภูมิใจเลย เพราะทั้งเหนื่อยทั้งลำบาก แต่เมื่อเธอหายเหนื่อย ได้พักสักครู่หรือได้หยุดคิดทบทวน จิตใจของเธอจะรับรู้และตระหนักถึงคุณค่าของตัวเธอเอง และบอกได้ถึงความสุขที่แท้จริง ในการใช้ชีวิตของคนๆหนึ่งเลยทีเดียว
ปัญหาในการทำงานก็เป็นเสมือนเครื่องทดสอบปัญญาความรู้ความสามารถของเธอ อุปสรรคต่างๆก็เป็นสิ่งท้าทายให้ได้ไต่ข้ามไปสู่ความสำเร็จที่สูงขึ้นไป ความสุขขึ้นอยู่กับการมองอย่างสร้างสรรค์ด้วยใจที่เข้มแข็งและเชื่อมั่นในความสามารถและความดีที่มีอยู่ในตัวเธอ ปัญหาและอุปสรรคก็จะกลายเป็นประโยชน์ในตัวเธอ พัฒนาหน่วยงาน บริษัท รวมทั้งประเทศชาติของเราด้วย
ศิษย์ขอบคุณมากๆเลยครับอาจารย์ ผมฟังแล้วสบายใจมาก คราวหน้าถ้าเห็นอะไรไม่ดีในที่ทำงานผม รับรองว่าผมจะนำเอาข้อแนะนำของอาจารย์มาเป็นสิ่งเตือนใจตัวเองเสมอๆครับ แหล่งที่มา อิกคิว...จินตนาการ
Create Date : 31 สิงหาคม 2552 |
Last Update : 7 กันยายน 2552 15:02:11 น. |
|
9 comments
|
Counter : 2726 Pageviews. |
|
|
|
โดย: ทางโลกไม่รุ่งมุ่งทางธรรม (ย่าชอบเล่า ) วันที่: 31 สิงหาคม 2552 เวลา:23:39:03 น. |
|
|
|
โดย: ย่าชอบเล่า วันที่: 31 สิงหาคม 2552 เวลา:23:40:49 น. |
|
|
|
โดย: วนารักษ์ วันที่: 1 กันยายน 2552 เวลา:17:01:16 น. |
|
|
|
โดย: ย่าชอบเล่า วันที่: 2 กันยายน 2552 เวลา:19:33:10 น. |
|
|
|
โดย: ย่าชอบเล่า วันที่: 14 กันยายน 2552 เวลา:17:00:53 น. |
|
|
|
โดย: ย่าชอบเล่า วันที่: 2 ตุลาคม 2552 เวลา:20:10:02 น. |
|
|
|
โดย: วนารักษ์ วันที่: 5 ตุลาคม 2552 เวลา:14:49:50 น. |
|
|
|
โดย: หลินเอ๋อ (ย่าชอบเล่า ) วันที่: 5 ตุลาคม 2552 เวลา:21:15:59 น. |
|
|
|
โดย: หลินเอ๋อ (ย่าชอบเล่า ) วันที่: 13 ตุลาคม 2552 เวลา:18:55:42 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
ปราจีนบุรี Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 31 คน [?]
|
ขอต้อนรับสู่บล็อกเล็กๆแห่งนี้มีมิตรภาพและความจริงใจให้กับเพื่อนๆทุกท่านที่แวะเข้ามาทักทายกัน ^^
บทความและรูปภาพนี้จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่เป็นธรรมทาน พร้อมทั้งขอมอบเป็นน้ำใจกับเพื่อนๆทุกคนที่แวะเข้ามา สามารถคัดลอกนำไปเผยแพร่ได้ ยกเว้นเพื่อประโยชน์ทางการค้าซึ่งต้องขออนุญาตก่อนว่าเหมาะสมหรือไม่
เพื่อนบางคนมาครั้งเดียว นานๆมาที มาไม่บ่อย มาบ่อยๆ บางคนมาเยี่ยมทุกวันให้ชื่นใจ
บางคนเคยมาทุกวัน บางคนเคยมานานแล้ว บางคนหายไปจากบล็อก บางคนก็จะไม่แวะมาทักทายกันอีก
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็จะขอเก็บความรู้สึกดีๆที่มีให้กันไว้ตราบนานเท่านาน เพราะเมื่อรักกันแล้วย่อมเข้าใจกันได้ไม่ยาก
จขบ.เป็นคนซื่อๆง่ายๆจริงใจ ไม่มีเจตนาแอบแฝงในการทำบล็อก แต่บทความหรือรูปภาพก็อาจทำให้ผู้อ่านขัดใจได้ เพราะความรู้เท่าไม่ถึงการของ จขบ.หรืออาจเป็นเพราะเราไม่เคยรู้จักดีพอ จึงกราบขออภัยมา ณ.ที่นี้ด้วย และขอขอบพระคุณทุกท่านที่แวะมาเยี่ยมเยียนด้วยความจริงใจนะครับ ^^
ฝากข้อความหลังไมค์
|
|
|
|
| 1 |
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
เปรียบเทียบให้เห็นได้ดีมากค่ะ
ธรรมะมีอยู่ในทุกสิ่ง
สว่างตาด้วยแสงไฟ สว่างใจด้วยแสงธรรม
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราในชีวิต คือ สิ่งที่เราต้องเรียนรู้
ชีวิตคือการเรียนรู้ แก้ไข ความผิดพลาด ความจริงท่านบอกว่ามันไม่ใช่ความผิดพลาด แต่มันเป็นธรรมดาของชีวิต
ไม่ว่าจะทำผิด ทำพลาด อกหัก โดนไล่ออกจากงาน ป่วยเป็นมะเร็ง พ่อตาย แม่ตาย ลูกตายก่อนเรา ฯ ล้วนแล้ว แต่เป็นธรรมดาของชีวิตการเกิดเป็นคน ที่เราจะต้องเจอ ไม่มากก็น้อย
แต่คนเรามองว่ามันเป็นความผิดๆๆๆๆ แล้วเราก็พยายามแก้ๆๆๆๆ
ถ้าเราบังคับสายน้ำให้ไหล ขึ้นที่สูงได้ เมือไร เมื่อนั้นเราจึงจะแก้ไขสิ่งที่ว่ามาได้อะคะ
แล้วพวกเราหลายคน ก็บ้า พอจะพยายามดึงให้สายน้ำไหลขึ้นที่สูง
แต่สุดท้ายเราก็ต้องพ่ายแพ้ เพราะเราฝืนกระแสธรรมชาติ แล้วเราก็เสียใจ ฆ่าตัวตาย เป็นทุกข์ ฯ
เพราะเราไม่เข้าใจธรรมชาติของชีวิตที่แท้จริง
ขอบคุณค่ะ พี่อ๋า
(ก่อนจะกลายเป็นบล๊อกของหลิน อิอิ)
ฝันดีค่ะ คุณพี่