1 2 3 4 5
6 7 8 9 10 11 12
13 14 15 16 17 18 19
20 21 22 23 24 25 26
27 28 29 30
22 เมษายน 2557
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม - บทที่ 6
สัต์ว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม - บทที่ 6 ประมาณสิบนาฬิกาของวันรุ่งขึ้น ขณะที่ท่านพระครูกำลังสอนเดินจงกรมระยะที่สาม ให้พระบัวเฮียวและครูที่มาจากนครสวรรค์อยู่นั้น นายสมชายก็นำรัฐมนตรีและคุณหญิงพร้อมผู้ติดตาม ตั้งแต่พันคำรวจตรีถึงพันตำรวจเอก คนหนึ่งทำหน้าที่หิ้วกระเป๋าถือให้คุณหญิง ลักษณะคล้ายตะกร้าหมากของคนสมัยก่อน แต่ใบเล็กกว่าและลวดลายละเอียดประณีตกว่า ผู้ใดรู้ราคาของกระเป๋าใบนี้จะต้องตกใจ เพราะคุณหญิงซื้อมาด้วยราคาสูงถึงสองพันบาท ซึ่งเงินจำนวนนี้ซื้อทองหนักหนึ่งบาทได้สบายๆ เสื้อผ้าอาภรณ์ที่คุณหญิงสวมใส่นั้น บ่งบอกถึงความเป็นผู้มีรสนิยมสูง ซึ่งแน่นอนเหลือเกินที่ราคาจะต้องสูงตามไปด้วย ถ้าคิดเป็นเงินก็คงเอามาสร้างกุฏิกรรมฐานได้หลายหลังทีเดียว ใบหน้าของสตรีวัยห้าสิบถูกตกแต่งไว้อย่างตั้งใจจะให้สวยงาม ทั้งลงพื้น วาดแผนที่ ทาสีและแรเงา แต่ก็ไม่อาจปิดบังความร่วงโรยแห่งสังขารไว้ได้ ท่าทางของคุณหญิงดุ ถือตัวและไม่เป็นมิตรกับใคร ครูบุญมีมองปราดเดียวก็รู้สึกไม่ถูกชะตา แอบค่อนในใจว่า 'โธ่เอ๊ย กะอีแค่กระเป๋าใบเล็กนิดเดียวก็ต้องมีคนถือให้' คณะผู้มาใหม่ทำความเคารพท่านพระครู พระบัวเฮียวแอบสังเกตว่าคุณหญิงกราบเบญจางคประเดิษฐไม่เป็น ครูบุญมีก็สังเกตเห็นเช่นกัน เลยเกิดความรู้สึกไม่ชอบหน้าหนักขึ้นไปอีก "เจริญพรท่านรัฐมนตรี ไปไงมาไงถึงมาที่นี่ได้" ท่านพระครูทักทาย ท่านเคยเห็นรัฐมนตรีผู้นี้ตามหน้าหนังสือพิมพ์และจอโทรทัศน์จนจำได้ เขาลือกันว่าคนนี้แหละที่จะนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีคนต่อไป "กระผมได้ยินกิตติศัพท์ของพระคุณเจ้ามานาน บังเอิญมาธุระแถวนี้ก็เลยแวะมากราบท่านครับ" "แล้วเหตุการณ์ทางกรุงเทพฯ เป็นยังไง ยังไม่เรียบร้อยไม่ใช่หรือ" ท่านพระครูหมายถึงเหตุการณ์ในวันมหาวิปโยค ซึ่งเพิ่งผ่านมาสดๆร้อนๆ "ก็เรื่องนี้แหละครับที่กระผมจะมาเรียนปรึกษาพระคุณเจ้า เอ้อ...พระคุณเจ้ามีความเห็นอย่างไรบ้างครับ เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น" ท่านพระตรูอึ้งไปอึดใจหนึ่งจึงพูดขึ้นว่า "ความจริงเรื่องการเมืองมันเป็นเรื่องทางโลก อาตมาเป็นพระสงฆ์ ไม่อยากจะออกความเห็น แต่เอาเถอะ ไหนๆ ท่านก็ถามแล้ว อาตมาก็ขอตอบว่ามันเป็นเรื่องของกฏแห่งกรรม คราวนี้ละคนจะได้เชื่อกันเสียทีว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ยัง...ยังไม่จบเพียงนี้หรอก จำคำพูดของอาตมาไว้นะ ครูใหญ่นะ" ท่านหันไปพูดกับครูสฤษดิ์ "ถ้าไม่เชื่อ กลับไปถึงบ้านแล้วจดบันทึกไว้เลยว่า วันที่เท่านี้ เดือนนี้ ปีนี้ อาตมาพูดว่าอย่างนี้ๆ แล้วถ้าไม่จริงตามที่อาตมาพูด ให้มาปรับอาตมาได้ อาตมาจะให้ปรับสองหมื่นบาท" ท่านพูดยิ้มๆ "นะ ครูใหญ่นะ" "ครับ" ครูใหญ่รับคำด้วยไม่รู้จะพูดอะไรได้ดีกว่านั้น "ดีแล้ว เอาละ อาตมาไม่ใช่หมอดู แต่ก็จะทำนายว่าอีกสามปีนับแต่วันนี้ จะเกิดเหตุการณ์แบบเดียวกับวันมหาวิปโยคอีก และอีกสิบห้าปีคือปีสองพันห้าร้อยสามสิบเอ็ด จะเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ที่ภาคใต้ น้ำจะท่วมสูงถึงยอดตาล วัดวาอารามจะพังพินาศ คนจะล้มตายจำนวนมาก ต่อจากนั้นอีกยี่สิบปีจะถูกต่างชาติเข้ายึดครอง คนไทยจะไม่มีแผ่นดินอยู่ ทุกอย่างที่กล่าวมานี้เป็นไปตามกฏแห่งกรรม อย่าลืมกลับไปบันทึกไว้ ถ้าไม่จริงอาตมายอมให้ปรับ" นิ่งไปครู่หนึ่งท่านจึงถามครูบุญมีว่า "โยมเคยเห็นทะเลน้ำไหม" "เคยครับ" ครูบุญมีตอบ "ทะเลทรายล่ะ" "ไม่เคยครับ" "ท่านรัฐมนตรีเคยเห็นทะเลทรายไหม" "เคยครับ" "นั่นแหละ ปกติเราคิดว่ามีแต่ทะเลน้ำกับทะเลทราย แต่อีกสิบห้าปีจะมีทะเลซุง " "เป็นยังไงคะ ทะเลซุง" คุณหญิงถาม พลางนึกในใจว่า 'พระองค์นี้ถ้าจะบ้า' แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อท่านพระครูตอบว่า "ไม่บ้าหรอกคุณหญิง เอาเถอะ ถึงเวลานั้นจะรู้เองว่าทะเลซุงเป็นอย่างไร" คุณหญิงคิดต่อไปอีกว่า 'แน่ะ เสือกรู้เสียอีกว่าคิดยังไง' คราวนี้ท่านพระครูถึงกับอึ้งไป ถ้อยคำที่คุณหญิงใช้นั้นหยาบเกินกว่าจะยอมให้ออกจากปากของคนระดับนี้ เห็นท่านไม่โต้ตอบ คุณหญิงเลยคิดว่าท่านไม่รู้ "ทำไมถึงเป็นแบบนั้นครับหลวงพ่อ" ครูใหญ่ถาม "ก็อย่างที่อาตมาบอกเมื่อตะกี้นั่นแหละ ว่ามันเป็นไปตามกฏแห่งกรรม ครูใหญ่อย่าลืมนะว่าพระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องกรรมไว้ว่าอย่างไร ท่านตอบว่า กมมุนา วตุตติ โลโก แปลว่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม...เอาละ แล้วทุกคนที่อยู่ที่นี่จะได้ประจักษ์เมื่อเวลานั้นมาถึง" ขณะสนทนาท่านพระครูสังเกตว่ารัฐมนตรีมีอาการกระสับกระส่าย จึงพูดขึ้นว่า "รู้สึกว่าท่านรัฐมนตนีมีอะไรจะพูดกับอาตมาสองต่อสองใช่ไหม" "ครับ ผมอยากเรียนปรึกษาอะไรบางอย่าง" "ถ้าอย่างนั้นก็เชิญข้างบน คนอื่นๆรออยู่ตรงนี้ก่อนนะ จะคุยกันหรือนั่งสมาธิกันก็ตามใจ" พูดจบท่านจึงลุกขึ้นเดินนำรัฐมนตรีขึ้นไปชั้นบน จัดแจงปิดประตูลงกลอนอย่างเรียบร้อย ด้วยรู้ว่าสิ่งที่รัฐมนตรีจะพูดนั้นเป็นเรื่อง 'ลับสุดยอด' คุณหญิงย่องขึ้นไปแอบฟังอยู่ที่หน้าบานประตู ท่านพระครูรู้ แต่รัฐมนตรีไม่รู้ อาคันตุกะกวาดสายตาสำรวจไปรอบๆห้อง ไม่มีสมบัติพัสถานอันใดนอกจากหนังสือ ซึ่งวางกองไว้บนพื้นห้องบ้าง บนโต๊ะและในตู้บ้าง ห้องทั้งห้องจึงเต็มไปด้วยหนังสือ มีที่ว่างเหลือไว้ให้คนนั่งได้ไม่เกินสี่คน และตรงนี้ก็คือที่นอนของท่าน นั่งลงแล้วท่านรัฐมนตรีจึงพูดขึ้นว่า "กระผมมีเรื่องร้อนใจ อยากจะเรียนปรึกษาพระคุณเจ้าว่า กระผมจะทำปฏิวัติดีหรือไม่ ถ้าทำจะสำเร็จไหม เพราะถ้าสำเร็จผมก็จะได้เป็นนายกรัฐมนตรี" ท่านพระครูตอบทันทีว่า "ไม่ดีแน่ ท่านอย่าทำเลย อาตมาขอบิณฑบาตเถิดนะ" คุณหญิงซึ่งแอบฟังอยู่อดรนทนไม่ได้ ส่งแสียงแว้ดขึ้นมาว่า "ทำไมจะไม่ดี ถามพระวัดไหนๆก็ว่าดีทั้งนั้น มีแต่พระบ้าวัดนี้แหละที่ว่าไม่ดี" ท่านรัฐมนตรีหน้าเสียเมื่อได้ยินเสียงภรรยา ท่านพระครูส่งเสียงลงมาข้างล่างว่า "สมชายเอ๊ย ช่วยดูหน่อยซิ แมวที่ไหนมาร้องอยู่หน้าประตูห้องฉัน" เด็กหนุ่มจึงเดินขึ้นไปพูดกับคุณหญิงเป็นเชิงขอร้องว่า "คุณหญิงลงมาข้างล่างเถิดครับ" แต่คุณหญิงทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ เหมือนไม่ได้ยินที่เด็กวัดพูด นายสมชายจึงตะโกนบอกขึ้นไปว่า "ผมบอกแมวแล้วครับ แต่แมวไม่ยอมเชื่อ" "งั้นก็ช่างแมวมันเถอะ" ท่านพระครูตอบ รัฐมนตรีไม่กล้าออกมาพูดกับภรรยา เพราะกลัวเกรงกันมาตั้งอดีต ปัจจุบันก็ยังกลัวกันเกรงกันอยู่ ก็มิใช่บารมีของคุณหญิงหรอกหรือที่ทำให้ท่านรุ่งโรจน์เรืองรองมาจนทุกวันนี้ "ที่พระคุณเจ้าว่าไม่ดี หมายความว่าไม่สำเร็จหรือครับ แต่กระผมมั่นใจว่าต้องสำเร็จ เพราะคุณหญิงเขาวางหมากไว้หมดแล้ว" "ก็เพราะอย่างนั้นน่ะสิ อาตมาถึงว่าไม่ดี พูดตรงๆเลยนะ ท่านจะพังก็เพราะคุณหญิงนี่แหละ" คราวนี้คนแอบฟังแทบจะร้องกรี๊ดออกมา ท่านพระครูจึงพูดเสียงดังกว่าเก่าว่า "อย่าเพิ่งร้องคุณหญิง ใจเย็นๆ ฟังอาตมาพูดให้จบก่อนแล้วค่อยร้อง" คุณหญิงจึงจำใจแอบฟังต่อไป " แต่ที่ผมขึ้นมาได้ถึงขนาดนี้ก็เพราะฝีมือของคุณหญิงเขานะครับ พระคุณเจ้า คุณหญิงเขาเป็นคนกว้างขวาง เข้าเจ้าเข้านายเก่ง" "ถูกแล้ว แต่ท่านอย่าลืมว่าตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นตำหน่งผู้นำของประเทศ ท่านจะต้องเป็นผู้นำสูงสุด แต่ในความเป็นจริงนั้นตรงกันข้าม เพราะคุณหญิงสูงกว่า นี่แหละ มันจะวุ่นวายก็ตรงนี้ ท่านคงพอจะเข้าใจที่อาตมาพูดใช่ไหม อาตมาเป็นคนตรง พูดอะไรอ้อมค้อมกับเขาไม่เป็น" "ครับ กระผมเข้าใจ แต่กระผมก็ยังอยากทราบว่า ถ้ากระผมทำการปฏิวัติ จะสำเร็จหรือไม่ พระคุณเจ้าพอจะบอกได้ไหมครับ" "บอกก็ได้ว่าสำเร็จ แล้วท่านก็จะได้เป็นนายกรัฐมนตรีสมความตั้งใจด้วย" คนแอบฟังอยู่ข้างนอกค้านในใจว่า 'งั้นทำไมท่านถึงว่าไม่ดีล่ะ พิลึกจริง' แล้วก็แปลกใจขึ้นมาอีกเมื่อท่านส่งเสียงมาว่า "ที่ว่าไม่ดีเพราะท่านจะได้เป็นไม่ถึงสองเดือนก็จะเกิดเรื่องยุ่ง พวกนิสิตนักศึกษาเขาจะเอาเรื่องกับท่านจนท่านอยู่ไม่ได้ ท่านกับคุณหญิงจะต้องเดือดร้อน หาความสงบสุขไม่ได้เลย ท่านตัดสินใจเองก็แล้วกัน ว่าจะเป็นรัฐมนตรีแล้วอยู่ได้อย่างสบาย หรือจะเป็นนายกฯ แต่ต้องเดือดร้อน" "ถ้าอย่างนั้นผมเห็นจะต้องปรึกษาคุณหญิงดูก่อน" รัฐมนตรีตอบแบบแบ่งรับแบ่งสู้ "ไม่ต้องปรึกษาหรอก อาตมาตอบแทนคุณหญิงได้เดี๋ยวนี้เลย ว่าคุณหญิงต้องให้เลือกอย่างหลัง เพราะเขาไม่เชื่อเรื่องที่อาตมาพูด" คุณหญิงชักงงที่พระรูปนี้ช่างรู้ความในใจของเธอไปเสียทุกอย่าง ส่วนท่านรัฐมนตรีคอตก ไม่รู้จะเชื่อพระหรือเชื่อภรรยาดี แต่คงต้องเลือกเอาอย่างหลัง "เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ถ้าท่านไม่เชื่อที่อาตมาพูด อาตมาก็จะให้ท่านพิสูจน์ โดยจะย้อนอดีตที่ผ่านมาว่าท่านได้ทำอะไรที่ผิดพลาดเอาไว้บ้าง แล้วคราวนี้ท่านจะเชื่อคุณหญิงหรืออาตมา ก็แล้วแต่ท่าน" แล้วท่านพระครูจึงเล่าเรื่องครั้งอดีตของท่านรัฐมนตรีที่มีคุณหญิงคอยบงการมาโดยตลอด คนที่นั่งฟังและคนที่แอบฟังต้องยอมรับว่า ทุกเรื่องที่ท่านเล่ามานั้นถูกต้องตรงกับความเป็นจริงทุกประการ เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก ทั้งรัฐมนตรีและคุณหญิงเริ่มมีศรัทธาเลื่อมใสในผู้ทรงศีลรูปนี้ แต่ก็ยังสงสัยว่าเหตุใดพระอีกหกวัดที่ไปพบมาเมื่อตอนเช้า จึงทำนายเป็นเสียงเดียวกันว่าดี มีวัดที่เจ็ดนี่แหละที่ผิดแผกไปจากวัดอื่นๆ จะเชื่อหกวัดหรือวัดเดียวดีหนอ ท่านพระครูรู้ความคิดของคนทั้งสอง จึงกล่าวขึ้นว่า "พระที่ท่านไปพบมาทั้งหกวัดนั้น ท่านก็ไม่ได้ทายผิด เพราะตอนนี้ไม่ว่าท่านจะไปถามพระหรือถามหมอดูที่ไหน เขาก็ต้องว่าดีทั้งนั้น อาตมาก็ว่าดี แต่ก็จะดีเฉพาะตอนแรกเท่านั้น เข้าตำรา 'หัวมงกุฏท้ายมังกร' ยังไงล่ะ ขอให้เชื่ออาตมาสักครั้งเถอะ อาตมามีความจริงใจ ไม่เคยแนะนำใครในทางเสีย เมื่อเดือนที่แล้วก็มีนายพลฯ ท่านนึงมาที่นี่ จะมาขอให้อาตมาช่วย จะทำปฏิวัติ อยากเป็นนายกฯ เหมือนท่านนี่แหละ อาตมาดูแล้วเห็นว่าเป็นไปไม่ได้ ก็เรียนท่านไปตามตรง รู้สึกคุณหญิงเขาจะไม่พอใจอาตมา หน้างอเป็นม้าหมากรุกกลับไปเลย" ท่านพระครูไม่เล่าดอกว่าคุณหญิงผู้นั้นก็มาแอบฟังท่านนายพลเหมือนกัน ด้วยไม่ต้องการให้คนที่แอบฟังอยูหน้าประตู เข้าใจผิดไปว่าท่านแกล้งพูดประชด "ท่านพระครูไม่มีทางจะช่วยกระผมได้เลยหรือครับ" คำถามของท่านรัฐมนตรีถูกใจคุณหญิงยิ่งนัก แต่คำตอบของท่านพระครูนั่นสิ ทำให้เธอต้องผิดหวัง "ถ้าช่วยได้อาตมาก็ข่วยแล้ว ไม่ต้องรอให้ท่านออกปาก แต่นี่อาตมาช่วยไม่ได้จริงๆ เพราะเรื่องกฏแห่งกรรมไม่มีใครช่วยใครได้" "แล้วกฏแห่งกรรมนี่ใครเป็นคนสร้างครับ พระคุณเจ้า" แม้จะเป็นถึงรัฐมนตรี หากก็มีความรู้เฉพาะทางโลกเท่านั้น ส่วนทางธรรมก็แทบจะเรียกว่า 'มืดบอด' "กฏแห่งกรรมก็คือกฏแห่งเหตุและผล เหตุอย่างไร ผลก็อย่างนั้น เหตุดีผลก็ดี เหตุชั่วผลก็ชั่ว ผู้ที่สร้างกฏแห่งกรรมก็คือตัวเราเอง ไม่มีใครมาสร้างมาบันดาลให้ ไม่ใช่พรหมลิขิต หากเป็นเรื่องของกรรมลิขิต เมื่อเราสร้างเหตุ เราก็ต้องรับผล จะให้ใครมารับแทนไม่ได้ เหมือนดังที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า...เรามีกรรมเป็นของตน เป็นผู้รับผลของกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธ์ มีกรรมเป็นที่อาศัย ทำกรรมใดไว้ ดีก็ตาม เลวก็ตาม เราจะต้องรับผลของกรรมนั้น.... เพราะฉะนั้นอาตมาจึงช่วยท่านไม่ได้" คนฟังทั้งในห้องและนอกห้องเริ่มจะซาบซึ้งกับในรสพระธรรม ท่านพระครูรู้จึง 'เทศนา ' ต่อไปว่า "คนเราจะร่ำรวยหรือยากจน จะสุขหรือทุกข์ก็ขึ้นอยู่กับกรรมที่ทำไว้ คำว่ากรรม ถ้าแปลตามตรงก็คือการกระทำนั่นเอง ตามคำสอนของพระพุทธศาสนา การกระทำที่จัดเป็นกรรมต้องเป็นการกระทำที่มีเจตนาเป็นพื้นฐาน เจตนาคือความจงใจหรือตั้งใจ บางครั้งพระพุทธเจ้าก็ตรัสว่าเจตนานั่นเองคือกรรม ดังพุทธพจน์ที่ว่า....เรากล่าวว่าเจตนาเป็นกรรม บุคคลตั้งใจแล้วหรือคิดแล้ว ย่อมกระทำกรรมทางกาย ทางวาจา หรือทางใจ.... กรรมเป็นเรื่องสลับซับซ้อน ถ้าท่านสนใจ วันหลังหาเวลามาอยู่วัดสักเจ็ดวัน มาคุยเรื่องกรรมกันต่อ อาตมาเป็นคนชอบวิจัย ได้รวบรวมเรื่องกฏแห่งกรรมที่เกิดขึ้นในวัดนี้ได้เป็นร้อยๆ เรื่อง บางเรื่องก็แทบไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้ อย่างพระที่นั่งอยู่ข้างล่างนั่นก็มาขอแก้กรรม อาตมากำลังให้ฝึกเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ตามแนวสติปัฏฐาน 4" ประโยคสุดท้าย ทั้งรัฐมนตรีและคุณหญิงไม่เข้าใจว่าท่านหมายถึงอะไร "มาจากไหนครับพระคุณเจ้า" "มาจากกาฬสินธุ์ มันก็แปลกนะ ท่านรัฐมนตรี เขาเล่าให้อาตมาฟังว่าเขาฝันเห็นวัดนี้ แล้วก็เห็นอาตมา มีเสียงบอกเสร็จสรรพว่าวัดชื่ออะไร อาตมาชื่ออะไร แล้วก็สั่งให้มาบวขเพื่อแก้กรรมที่นี่ ตอนแรกเขาไม่ค่อยเชื่อ แต่พอฝันติดๆกันถึงสามคืน เขาก็ชักจะเชื่อ ความจริงมันไม่ใช่ฝันหรอก เขาเรียกว่านิมิต ซึ่งหมายถึงเครื่องหมายบอกเหตุ เมื่อเขาเชื่อเขาก็จะมาพิสูจน์ แต่ก็มาไม่ได้ในทันที ปีรุ่งขึ้นถึงมา น่าสงสาร ต้องชดใช้กรรมสาหัสสากรรจ์ทีเดียว อาตมาก็ตั้งใจว่าจะช่วยเขาให้มากที่สุด สงสารเหลือเกิน" "ก็ไหนพระคุณเจ้าบอกว่าเรื่องเรื่องของกฏแห่งกรรมช่วยกันไม่ได้ยังไงเล่าครับ" ท่านรัฐมนตรีท้วง คนที่แอบอยู่หน้าประตูก็กำลังคิดเช่นเดียวกัน "อาตมาหมายถึงว่าจะช่วยในส่วนที่พอจะช่วยได้ เช่นช่วยแนะนำในการปฏิบัติให้เขา แต่เรื่องกฏแห่งกรรมอาตมาช่วยไม่ได้แน่นอน เขาสร้างเหตุมาอย่างไรก็ต้องได้ผลอย่างนั้น" ถึงตอนนี้ทั้งคนในห้องแลนอกห้องก็ถึงบางอ้อ "เอ...แต่พระคุณเจ้าครับ ทำไมบางคนทำชั่วแล้วได้ดีเล่าครับ คนประเภทนี้เท่าที่ผมเห็นมีมากเสียด้วย กระทั่งมีคนกล่าวไว้ว่า...ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป... แบบนี้แสดงว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วก็ไม่จริงเสมอไป ใช่ไหมครับ" "ก็อย่างที่อาตมาพูดไปเมื่อตะกี้นี่แหละว่า เรื่องกรรมมันสลับซับซ้อน เราจะมาตัดสินเฉพาะที่เราเห็นเท่านั้นไม่ได้ ว่ากันโดยหลักแล้ว คนทำดีต้องได้ดี ทำชั่วจะต้องได้ชั่ว แต่คนที่ทำชั่วแล้วได้ดีนั้นก็เพราะเขายัง 'กินบุญเก่า ' อยู่ คือมีความดีสะสมเอาไว้มาก อาจจะสะสมไว้ตั้งแต่ในอดีตชาติ แต่พอบุญเก่าหมดเมื่อไหร่ เมื่อนั้นกรรมชั่วก็จะมาให้ผล ส่วนคนที่ทำดีได้ชั่วก็เพราะกรรมชั่วที่เคยทำไว้แต่ครั้งอดีตยังให้ผลไม่หมด กรรมมันจะให้ผลไม่พร้อมกัน ถ้ากรรมชั่วกำลังให้ผล กรรมดีก็จะรออยู่ก่อน หรือถ้ากรรมดีกำลังให้ผล กรรมชั่วก็จะรออยู่ก่อนเช่นกัน เปรียบเทียบให้เห็นได้ง่ายๆ ก็คือที่ที่ท่านกำลังนั่งอยู่ขณะนี้ ตราบใดที่ท่านยังไม่ลุกออกไป คนอื่นจะมานั่งไม่ได้ ต้องรอให้ท่านลุกเสียก่อน จริงไหม" "จริงครับ" ท่านรัฐมนตรีตอบ ส่วนคนแอบฟังก็เผลอตอบออกมาว่า "จริงค่ะ" "ทีนี้ถ้าใครมาพูดว่า..ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป...ท่านก็ตอบเขาไปเลยว่า...ทำดีได้ดีนั้นมีแน่ ทำชั่วแต่ได้ดีมีที่ไหน ที่ทำชั่วเห็นดีอยู่จงรู้ไว้ มันเหมือนไฟใต้ถ่าน ไม่นานร้อน.. .กลอนนี้ไม่ทราบใครแต่งเอาไว้ อาตมาเห็นเข้าทีก็เลยจำเอามาบอกกัน" "ถ้าเราไม่ทำชั่วเลยเราก็ไม่ต้องไปรับผลของมันใช่ไหมครับ" "ถูกแล้ว เหตุนี้องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงตักเตือนไว้ว่า...ถ่าท่านกลัวทุกข์ก็อย่าทำกรรมชั่วทั้งในที่ลับที่แจ้ง ถ้าท่านจักทำหรือกำลังทำอยู่ซึ่งกรรมชั่ว แม้จะเหาะหนีไปก็ย่อมไม่พ้นจากความทุกข์ได้เลย...อย่างพระโมคคัลลานะนั่นไง เหาะได้แต่หนีกรรมไม่ได้ อัครสาวกของพระพุทธเจ้าผู้เลิศในทางฤทธิ์ มีฤทธิ์มาก เหาะเหินเดินอากาศได้ แต่ก็ยังต้องถูกโจรทุบจนกระดูกแตกแหลกเป็นเมล็ดข้าวสารหัก เพราะในอดีตเคยทุบตีมารดา นี่ขนาดสำเร็จเป็นพระอรหันต์ แต่ก็ยังต้องมาชดใช้กรรม" "ก็ในเมื่เหาะได้ ทำไมท่านไม่เหาะหนีไปเล่าครับ" "ทำไมจะไม่หนี ท่านหนีมาเป็นสิบๆครั้ง พวกโจรก็ยังตามไม่ลดละ ในที่สุดท่านจึงระลึกถึงกรรมเก่าได้ และรำพึงกับตัวเองว่า...หนีโจรนั้นหนีได้ แต่หนีกรรมหนีไม่ได้...ท่านก็เลยยอมให้โจรทำร้ายแต่โดยดี" "แล้วตายไหมครับ" "ถ้าเป็นคนธรรมดาๆอย่างเราๆก็ไม่ต้องสงสัย แต่นั่นท่านเป็นอรหันต์ผู้มีฤทธิ์ ถ้าตายลักษณะนั้นก็เสียชื่อหมด ท่านก็เลยใช้คาถาประสานกระดูก แล้วเหาะไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ทูลขออนุญาตปรินิพพาน พระอรหันต์สมัยพระพุทธกาล จะปรินิพพานต้องมาทูลขออนุญาตพระพุทธเจ้าเสียก่อน ไม่งั้นก็ปรินิพพานไม่ได้" ท่านเหลือบดูนาฬิกาที่แขวนอยู่ข้างฝา ขณะนั้นเวลาสิบเอ็ดนาฬิกา จึงพูดขึ้นว่า "เดี๋ยวไปรับประทานอาหารก่อน แล้วค่อยมาคุยกันใหม่ ท่านไม่มีธุระที่ไหนไม่ใช่หรือ" "ไม่มีครับ กระผมตั้งใจว่าจะมาเรียนถามพระให้ครบเจ็ดวัด พอดีวัดนี้เป็นวัดสุดท้าย แล้วผมก็ชักจะติดใจ คุยกับพระคุณเจ้าผมตาสว่างขึ้นมาเป็นกอง คงต้องหาโอกาส มาอีกให้ได้" คุณหญิงรีบย่องลงมาข้างล่าง ก่อนที่ท่านพระครูจะมาเห็น ครู่หนึ่งท่านรัฐมนตรีก็ตามท่านพระครูลงมา "เชิญรับประทานอาหารกันก่อน" ท่านบอกทุกคนในที่นั่น พระบัวเฮียวกราบสามครั้งแล้วลุกออกไป เพราะเกรงพระรูปอื่นจะรอ "แล้วท่านพระครูไม่ฉันหรือครับ ได้เวลาเพลแล้ว" "อาตมาฉันเช้ามื้อเดียว ยกเว้นโอกาสพิเศษที่ญาติโยมเขานิมนต์ จึงจะฉันสองมื้อ" ได้รู้ได้เห็นความเป็นอยู่และการครองชีวิตที่ยึดหลักสันโดษเป็นที่ตั้ง รัฐมนตรีก็ยิ่งศรัทธาในบรรพชิตรูปนี้เป็นอันมาก เพราะพระสงฆ์ที่ท่านเคยสัมผัสมานั้น ล้วนมีความเป็นอยู่ที่ไม่ก่อให้เกิดความศรัทธาเลื่อมใส เป็นต้นว่านอนห้องแอร์ มีรถยนต์ส่วนตัวใช้ มีความโลภในลาภสักการะ และที่สำคัญที่สุดคือ ไม่สามารถแสดงธรรมที่แจ่มแจ้งลึกซึ้งเช่นนี้ได้ผู้เขียน : ดร.สุทัสสา อ่อนค้อม อยู่ในหมวด Book Blog
Create Date : 22 เมษายน 2557
39 comments
Last Update : 29 เมษายน 2557 6:37:29 น.
Counter : 2010 Pageviews.
โดย: jamaica 23 เมษายน 2557 7:14:22 น.
โดย: moresaw 23 เมษายน 2557 7:48:26 น.
โดย: ยายเก๋า (ชมพร ) 23 เมษายน 2557 10:42:25 น.
โดย: pantawan 24 เมษายน 2557 21:55:22 น.
โดย: mambymam 26 เมษายน 2557 23:24:10 น.
โดย: Opey 27 เมษายน 2557 2:08:51 น.
โดย: **mp5** 27 เมษายน 2557 11:24:16 น.
โดย: moresaw 28 เมษายน 2557 17:43:04 น.
เวียงแว่นฟ้า
!-- Stat ทำงาน วันที่ 26 กพ 55
บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้
ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
กะว่าก๋า Literature Blog ดู Blog
AppleWi Beauty Blog ดู Blog
เวียงแว่นฟ้า Book Blog ดู Blog
ระบบจะบันทึกคะแนนโหวต เฉพาะการโหวต 5 ครั้งล่าสุดในแต่ละวันเท่านั้น
...
...
เอ่อ..
เพิ่งลุกขึ้นมา หลังจากไปเอน..
กะลัง สงสัยว่า นอนไม่หลับ เพราะอะไร ???
แหะ แหะ... ที่ แท้ ก้อ..
..
ขออนุญาติ จัด ระบบ เล็กน้อยนะคะ..
ไม่โกรธเนาะ...
..
ขออนุญาติ (อีกรอบ) ขออธิบายเพิ่มเติมอีกนิดนะคะ..
แมว.. ที่ จร มา...
การ ให้ เป็น ครั้งคราว ถือ เป็นการ เอื้อเฟื้อ..
แต่ ถ้าให้จนเป็นหน้าที่..
ให้ จนมัน ไม่สามารถ หา กินเองได้..
ให้ จนเรา ไม่สามารถ ไปไหนได้..
ไม่ สามารถไปเที่ยว (ต่างประเทศ) ได้ 1 หรือ 2 อาทิตย์...
เพราะต้องเป็นห่วง ในการให้ อาหาร แมว จร..
ถึงเวลานั้น (อีกหลายเดือน) จะสั่งให้มันกลับไปหากินเอง มันคงไม่เข้าใจ..
และ คงลำบาก ที่จะกลับไป หา กิน แบบเดิม
..
เขา เข้ามาบ้าน... เราต้อนรับ ตาม ควร..
แต่ถ้า จะ เบียดบังตัวเอง จน หมด สุข..
เห็นจะ ไม่ควร..