สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม - บทที่ 45
ท่านพระครูฉันภัตตาหารเช้าเสร็จแล้ว นายขุนทองกับนายสมชายก็ช่วยกันยกสำรับกับข้าวลงมารับประทานกันที่กุฏิชั้นล่าง กำลังทานกันอยู่ เด็กส่งหนังสือพิมพ์ก็นำหนังสือพิมพ์รายวันมาส่งให้ นายสมชายเห็นหัวข้อข่าวและภาพถ่ายในหน้าหนึ่งแล้ว ก็มีอาการกินข้าวไม่ลง
'ยิงอาจารย์นักเรียนนอกดับคาเก๋ง' ภาพสตรีวัยสี่สิบที่นอนพับคาพวงาลัย ข้างล่างมึภาพถ่ายเล็กๆ เพื่อไม่ให้เห็นหน้าชัด บอกชื่อและนามสกุลไว้ชัดเจน เขาอ่านข่าวนั้นแล้วถือหนังสือพิมพ์วิ่งขึ้นไปหาท่านพระครู
"หลวงพ่อครับ คุณนายราศีถูกยิงตายเสียแล้วครับ" เขาส่งหนังสือพิมพ์รายวันฉบับประจำวันที่สิบหกกุมภาพันธ์ให้
"ไม่ต้องหรอกสมชาย ฉันรู้แล้ว ถูกยิงตอนสองทุ่มเมื่อคืนนี้ใช่ไหมล่ะ เขาบอกฉันเมื่อคืนก่อน"
"ที่แกว่ามาลาตายก็เป็นเรื่องจริงสิครับหลวงพ่อ ผมนึกว่าแกเพี้ยนเสียอีก แล้วแกรู้ไหมครับว่าใครยิงแก เพราะในข่าวยังไม่รู้ตัวคนยิง"
"รู้ซิ ฉันก็รู้"
"ทำไมแกไม่ไแจ้งความไว้ก่อนล่ะครับ แล้วหลวงพ่อจะไปให้ข้อมูลกับหนังสือ พิมพ์หรือเปล่า" นายสมชายอยากรู้
"ก็คนถูกยิงแท้ๆเขายังไม่ยอมแจ้ง แล้วฉันจะไปวุ่นวายทำไม มันเป็นเรื่องของกรรมน่ะสมชาย ไป..ลงไปทำงานต่อได้แล้ว เอาหนังสือพิมพ์ลงไปด้วย ฉันไม่เคยอ่านหนังสือพิมพ์ ที่ต้องรับทุกวันก็เพื่อให้เธอและพวกแขกที่มาได้อ่าน"
เมื่อท่านพระครูไม่สนใจ ไม่ตื่นเต้นกับข่าวนั้น นายสมชายจึงลงมาวิพากษ์วิจารณ์กับนายขุนทองที่กุฏิชั้นล่าง
"มีอะไรตื่นเต้นหรือพี่ ถึงต้องวิ่งขึ้นไปหาหลวงลุง" นายขุนทองถาม เขาเองก็อยากรู้ แต่ห่วงกินมากกว่า กินและนอนต้องมาก่อนเสมอ "แล้วนี่พี่จะกินต่อไหมนี่ ไม่กินหนูจะได้เก็บ"
"อยากเก็บก็ได้เลย ข้ากินไม่ลงแล้ว นี่เอ็งดูผู้หญิงคนนี้สิ เขามาบอกหลวงพ่อเมื่อคืนก่อนว่าจถูกยิงตาย แล้วเขาก็ถูกยิงตายจริงๆ ตายเมื่อคืนนี้ตอนสองทุ่ม"
"อ้าว มาหาหลวงลุงเมื่อคืนนี้ ทำไมหนูไม่เห็นล่ะ" "ก็เอ็งเอาแต่นอน จะรู้อะไร เขามาตอนเอ็งหลับปุ๋ยไปแล้ว" "แล้วพี่ให้เขาพบหลวงลุงหรือเปล่า ละเมิดกฏอีกตามเคยละสิ" "ถึงไม่ให้พบเขาก็ต้องไปพบจนได้แหละน่า หลวงพ่อบอกว่าเขามาแบบ 'เจตภูติ'" นายสมชายอธิบาย "อีกแล้วเหรอ เมื่ออาทิตย์ที่แล้วมีคนแก่คนนึง มาแบบเดียวกันเลย หลวงลุงบอกว่าเป็นเจตภูติเหมือนกัน" "งั้นหรือ แล้วทำไมข้าไม่เห็นล่ะ" นายสมชายเป็นฝ่ายถามบ้าง
นายขุนทองได้โอกาสแก้แค้นจึงตอบว่า "ก็พี่มัวไปจีบสาวอยู่น่ะสิ ตอนพี่กลับมาน่ะแกไปแล้ว หนูอุตส่าห์เดินตามจะไปต่อว่าที่แกละเมิดกฏ ปรากฏว่าตามแกไม่ทัน ตอนหลังถึงรู้ว่าแกมาแบบเจตภูติ หลวงลุงเป็นคนบอก"
"แล้วเอ็งว่ามันประหลาดไหมล่ะ ที่วิญญาณออกจากร่างได้ทั้งๆที่ยังไม่ตาย ข้านึกว่าต้องตายเสียก่อนจึงจะออกได้ ที่วัดนี้มีอะไรแปลกๆนะ ไม่รู้วัดอื่นเขาเป็นแบบนี้บ้างหรือเปล่า"
"พี่ก็ลองไปอยู่วัดอื่นดูสิ จะได้รู้" "อ้อ นี่คิดจะไล่จ้าหรือ แล้วเอ็งจะขับรถให้หลวงพ่อแทน ว่างั้นเถอะ" นายสมชายคิดไปอีกทาง "เปล่านี่ ก็ถ้าพี่อยากรู้ก็ต้องลอง ไม่ลองก็ไม่รู้ หนูไม่ได้คิดจะไล่พี่เลย ให้ตายสิ พี่ไปแล้วใครจะมาเป็นคู่ทุกข์คู่ยากของหนูล่ะ" นายขุนทองพูดเสียงอ่อนเสียงหวาน "แต่ข้าอยากรู้โดยไม่ต้องลองนี่นา" "งั้นหนูก็ไม่รู้จะแนะนำยังไง หรือพี่ว่าหนูควรจะแนะนำพี่ยังไง ก็กรุณาแนะนำหนูด้วย นึกว่าเอาบุญเถิดนะพี่นะ"
"นี่..หยุดพูดได้แล้วเจ้าขุนทอง เอ็งยิ่งพูดก็ยิ่งวกวนจนข้าชักจะเวียนหัวแล้วนะ" นาสมชายพูดอย่างอดรนทนไม่ได้
"เวียนหัวเหรอ เดี๋ยวหนูจะไปละลายยาลมมาให้"
ยังไม่ทันที่นายสมชายจะออกปากห้าม นายขุนทองก็หายเข้าไปในห้อง ครู่หนึ่งก็ถือถ้วยยาลมออกมาส่งให้ลูกศิษย์วัด
"เอ้า ดื่มซะ จะได้หายเวียนหัว"
แต่นายสมชายไม่ยอมรับถ้วยยา เขายกมือขึ้นกุมขมับแล้วกล่าวว่า "ขุนทอง ข้าขอร้องเถิดนะ อย่ายั่วข้าเลย ไป...เก็บสำรับไปล้างแล้วกวาดถูกุฏิให้เรียบร้อย ส่วนข้าจะไปล้างรถ พรุ่งนี้หลวงพ่อจะไปจันทบุรีแต่เช้ามืด"
"ให้หนูไปด้วยคนได้ไหม เดี๋ยวหนูจะขึ้นไปขออนุญาตหลวงลุง" นายขุนทองอยากไปเปิดหูเปิดตาบ้าง "คงไม่ได้มั้ง เอ็งต้องอยู่ดูแลเรื่องงานศพ พรุ่งนี้จะมีคนเอาศพมาสวดอภิธรรมตอนหนึ่งทุ่ม" นายสมชายหมายถึงศพเจ๊นวลศรี "ศพใคร ทำไมพี่รู้ล่ะ" "ก็วันก่อนข้าไปเยี่ยมเขา เขาบอกพรุ่งนี้ตอนตีสี่สิบนาที เขาจะตาย ตอนเย็นจะให้ลูกหลานเอาศพมาไว้ที่นี่" "ใครหนอ หนูรู้จักไหม" "ป้านวลศรีที่ขายอาหารอยู่ในตัวจังหวัดน่ะ ดูเหมือนจะชื่อร้านเน้ยโภชนา ข้าไม่รู้ว่าเอ็งรู้จักเขาหรือเปล่า" "อ๋อ เหรอ เอ..หนูก็ไม่รู้เหมือนกันว่ารู้จักหรือเปล่า" นายขุนทองล้อเลียน "นี่ พอที พอที ข้าขอถามอะไรเอ็งสักอย่างเถอะนำ ขุนทอง" "พี่จะถามอะไรก็ถามมาเลย" "ข้าอยากถามว่าเอ็งเคยไหม ที่อยู่ดีๆ ก็ฟันร่วงสองซี่น่ะ เคยไหม" "อุ๊ย ถามหวาดเสียว ไม่เคยหรอกฮ่ะ เคยแต่ทำให้ฟันคนอื่นร่วงน่ะ พี่จะลองไหม ลองไหม"
นายสมชายไม่ตอบแต่เดินไปที่โรงรถเพื่อทำหน้าที่ ขืนคุยกับเจ้าขุุนทองนานกว่านี้ อาจจะระงับโทสะไม่ไหว ก็มันกวนเสียเหลือเกิน เกิดมาไม่เคยพบเคยเห็น
วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2517 ท่านพระครูออกจากวัดป่ามะม่วงตั้งแต่ตีสี่ เข้าไปนั่งในรถแล้วก็ 'หลับตา' ทันที นายสมชายรู้สึกเหงาปากเพราะไม่มีคนคุยด้วย เขาขับรถอย่างตั้งใจ แต่ขับไปได้ชั่วโมงเศษๆ ก็รู้สึกง่วงนอน เพราะเมื่อคืนกลับจากบ้านเหนือดึกไปหน่อย
นายสมชายชะลอความเร็วลง ใช้ฟันบนขบริมฝีปากล่างจนเจ็บ ก็ยังไม่หายง่วงนอน รถกำลังวิ่งอยู่บนถนนสายเอเซีย ใกล้ปากทางที่จะแยกเข้าถนนพหลโยธิน คิดจะขออนุญาตจอดรถงีบสักพักหนึ่ง ก็พอดีท่านพระครูพูดขึ้นว่า
"เข้าพหลโยธินแล้วจอดข้างทาง อนุญาตให้งีบได้สิบนาที"
ชายหนุ่มปฏิบัติตามอย่างยินดี เวลาง่วงแล้วไม่ได้นอนนั้นมันทรมานอย่าบอกใคร ท่านพระครูก็ช่างรู้ใจหาใครเหมือน 'แสนดีมีเมตตาอย่างนี้ สมชายขออยู่รับใช้ไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่เลยละครับ หลวงพ่อ' เขาแอบขอบคุณในใจ ครั้นจะพูดออกมาดังๆ ก็กลัวว่าจะหายง่วง ก็ในเมื่อท่านอนุญาตแล้ว มาหายง่วงเสียก็หมดสนุกกัน
เข้าถนนพหลโยธินแล้วนายสมชายก็แอบรถเข้าข้างทาง เปิดไฟฉุกเฉินเอาไว้แล้วเอนกายพิงพนักเก้าอี้ หลับปุ๋ยไปทันที เขาไม่ห่วงว่าจะเกินเวลาที่กำหนด เพราะเมื่อถึงเวลา ท่านพระครูก็จะปลุกเองโดยไม่ต้องดูนาฬิกา ท่านเคยพูดให้เขาฟังบ่อยๆว่า ผู้ที่ฝึกสติไว้ดีแล้ว สามารถใช้สติแทนนาฬิกาปลุกได้
รถวิ่งเข้าเขตอำเภอเมือง จังหวัดจันทบุรี เมื่อเวลาเก้านาฬิกาสี่สิบนาที ถ้าไม่เสียเวลาแวะจอดข้างทาง ก็จะถึงเก้าโมงครึ่งพอดี ตามที่ท่านพระครูกำหนดไว้
"สมชาย เดี๋ยวแวะที่ร้านอาหารข้างหน้านั่น หิวหรือยัง" "นิดหน่อยครับ เดี๋ยวนิมนต์หลวงพ่อฉันกาแฟสักถ้วย คงทันนะครับ" "ทันแน่นอน อีกสักห้านาทีก็ถึงแล้ว ต้องไปถึงให้ตรงเวลา เร็วไป ช้าไป เจ้าภาพเขาจะอึดอัดเป็นกังวล" ท่านสอนลูกศิษย์วัดไปในตัว
นายสมชายจดรถหน้าร้านข้าวมันไก ซึ่งมีรถยนต์จอดอยู่หลายคัน แล้วจึงลงมาเปิดประตูให้ท่านพระครู จากนั้นจึงเดินตามท่านเข้าไปในร้าน ซึ่งมีโต๊ะว่างอยู่เพียงโต๊ะเดียว เถ้าแก่เจ้าของร้านรีบเข้ามาต้อนรับ
"นิมนต์ครับ" เขาพูดไทยชัดเจน แม้สำเนียงจะออกไปทาง 'คนจันท์' นายสมชายแยกไปนั่งอีกโต๊ะหนึ่ง ซึ่งมีลูกค้านั่งรับประทานอาหารอยู่ เพราะจะนั่งรวมกับท่านพระครูไม่ได้
"เถ้าแก่ ขอกาแฟถวายหลวงพ่อ ส่วนของผม ขอข้าวมันไก่"
นายสมชายเดินมาบอกเถ้าแก่แล้วกลับไปนั่งที่เดิม ส่วนเจ้าของร้านเรียกลูกจ้างมาสั่งอีกทีหนึ่ง ตัวเขายืนอย่างสำรวมอยู่ตรงหน้าท่านพระครู
"หลวงพ่อมาจากไหนหรือครับ" เขาถาม "อาตมามาจากวัดป่ามะม่วง จังหวัดสิงห์บุรี เถ้าแก่รู้จักวัดนี้หรือเปล่าล่ะ เคยได้ยินชื่อไหม" "ไม่รู้จักครับ แต่เคยได้ยินชื่อ เห็นเขาว่าเจ้าอาวาสวัดนี้ดูหมอแม่นมาก" เถ้าแก่พูดตามเสียงร่ำลือ "ได้ยินมาว่านอกจากดูหมอแม่นแล้ว ยังให้หวยแม่นด้วย"
"อาตมาไม่เคยให้หวยใคร ส่วนเรื่องดูหมอก็เคยดูมาบ้าง สมัยที่มีกระจกหมอดู แต่ก็โยนทิ้งน้ำไปร่วมยี่สิบปีแล้ว" ท่านตอบตามจริง
"หรือครับ แหม..ผมนึกว่าจะได้เลขสักตัวสองตัว" เถ้าแก่รู้สึกผิดหวัง ความจริงเขารวยอยู่แล้ว แต่ก็ยังอยากจะรวยขึ้นไปอีก "ขยันทำมาหากินก็รวยเองแหละ ก็มีรายได้ทุกวันไม่ใช่หรือ" "ครับ แต่มันน้อย อยากได้ทีละมากๆน่ะครับหลวงพ่อ"
"มากมันก็มาจากน้อยนะโยมนะ โบราณเขาสอนว่า 'อย่านอนตื่นสาย อย่าอายทำกิน อย่าหมิ่นเงินน้อย อย่านอนคอยวาสนา' อาตมาว่าเขามีเหตุผลนะ คนโบราณน่ะ"
พอดีลูกจ้างนำกาแฟมาให้ เจ้าของร้านจึงรับมาประเคนด้วยตัวเอง เสร็จแล้วก็ขอตัวไปดูแลโต๊ะอื่นๆ เพราะคิดว่ายังไงก็คงไม่ได้ 'เลข' แน่ ในความรู้สึกของเขา หลวงพ่อองค์นี้ไม่น่าศรัทธา "พระที่ดูหมอไม่เป็น ให้หวยไม่ได้ ใครเขาจะศรัทธาเลื่อมใส' เจ้าของร้านคิด
ออกจากร้านอาหาร นายสมชายก็ขับรถไปตามแผนผังที่คุณนายโสภิตส่งผ่านมาทางท่านพระครูและก็มาถึงที่หมายตรงเวลา คุณนายโสภิตออกมาต้อนรับถึงรถ
"นิมนต์ค่ะหลวงพ่อ กำลังกลัวอยู่เลยว่าสมชายจะพาหลวงพ่อหลงทางอยู่เชียว ที่ไหนได้..มาถึงก่อนหลวงพ่อองค์อื่นๆเสียอีก"
คุณนายพูดอย่างดีใจ นิมนต์ท่านเข้าไปนั่งยังาสนะที่จัดเตรียมไว้สำหรับพระสงฆ์เก้ารูป ท่านพระครูเลือกนั่งเป็นลำดับที่สอง เพราะทราบว่าท่านเจ้าคุณรูปหนึ่งก็ได้รับนิมนต์มางานนี้ด้วยเหมืนกัน 'เห็นหนอ' มีประโยชน์อย่างนี้
ท่านสังเกตการจัดอาสนะสวฆ์ที่เจ้าภาพจัดไว้ เห็นว่าไม่ถูกต้องตามประเพณีนิยม พระพุทธรูปควรจะจัดไว้ทางขวามือของพระสงฆ์ ก็ไปอยู่ทางซ้ายมือ ครั้นมองไปทางขวาก็เห็นว่าเป็นห้องน้ำ จึงเข้าใจถึงเหตุผลและความจำเป็น ที่เจ้าภาพต้องจัดวางพระพุทธรูปไว้ทางซ้ายมือ สักครู่หนึ่ง ท่านเจ้าคุณและพระสงฆ์อีกเจ็ดรูปก็มาถึง สงฆ์ทั้งเจ็ดรูปนั่งต่อจากท่านพระครู ส่วนท่านเจ้าคุณนั่งอาสนะที่ติดกับพระพุทธรูป ซึ่งเป็น 'หัวแถว'
ท่านพระครูทำความเคารพท่านเจ้าคุณด้วยการไหว้ รับไหว้เสร็จท่านเจ้าคุณก็เริ่มรายการตำหนิเจ้าภาพด้วยเสียงอันดัง
"ทำไมโยมเอาพระพุทธรูปมาไว้ทางซ้ายมือของพระสงฆ์ ทำไมไม่เอาไว้ขวามือ โยมทำผิดรู้ไหม" "เจ้าค่ะ" คุณนายโสภิตรับผิดโดยไม่ได้แก้ตัว "ทีหน้าทีหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะ แขกไปใครมาอายเขา คนที่ไม่รู้ธรรมเนียมก็ไม่ว่าอะไร แต่คนที่รู้เขาจะตำหนิเอาได้" ท่านว่าต่อ "เจ้าค่ะ" คุณนายเจ้าของบ้านรับผิดอีก "อะไร เป็นถึงคุณนานนายอำเภอ ทำไมถึงไม่รู้จัดขนบธรรมเนียมเสียบ้างเลย"
คราวนี้คุณนายหน้าสลดลงนิหนึ่ง แล้วอธิบายอย่างช้าๆหากชัดถ้อยชัดคำว่า "ท่านเจ้าคุณเจ้าคะ ดิฉันพอจะรู้ธรรมเนียมเจ้าค่ะ แต่ที่ต้องทำอย่างนั้นเพราะเห็นว่า การเอาพระพุทธรูปไปตั้งติดกับห้องน้ำมันไม่เหมาะ ดิฉันก็เลยต้องผิดธรรมเนียมเจ้าค่ะ"
ฟังคำอธิบายของเจ้าภาพแล้ว ท่านเจ้าคุณถึงกับหน้าเสีย คิดในใจว่าไม่น่าปากไวเลย อายพระลูกวัดเจ็ดรูปนั่นก็อาย ไหนจะรูปที่นั่งติดกับท่านอีกเล่า มาจากวัดไหนก็ไม่รู้ แต่ดูท่าทางน่าจะเป็น 'พระภูธร' เสียมากกว่า
เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงนั่งนิ่งดูเหตุการณ์อยู่ แล้วท่านก็ได้รับบทเรียนอีกบทหนึ่ง โดยที่ไม่ต้องไปโรงเรียน บทเรียนนั้นสอนท่านว่า 'ไปที่ไหนอย่าเอาปากไปก่อน ขอให้ถือคติว่า ตาดู หูฟัง ปากนิ่ง จะได้ไม่ต้องอับอายขายหน้าคนอื่นเขา'
ทักทายกับเจ้าของบ้านพอสมควรแก่เวลาแล้ว พระสงฆ์ทั้งเก้ารูปก็เริ่มเจริญพระพุทธมนต์ จากนั้นคุณนายโสภิตและญาติๆ จึงช่วยกันถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์
ท่านพระครูเจริญคิดว่างานนี้ หากท่านเพียงนั่งพิจารณาอาหารโดยไม่ฉัน ก็คงจะถูกท่านเจ้าคุณช่างเจรจารูปนี้ตำหนิติเตียนเอาเป็นแน่ เผลอๆคุณนายโสภิตก็อาจจะถูกเอ็ดอีกว่าไปนิมนต์พระบ้าๆบอๆ จากที่ไหนมาก็ไม่รู้
ครั้นพระสงฆ์ฉันภัตตาหารเรียบร้อยแล้ว คุณนายโสภิตจึงถวายจตุปัจจัยไทยธรรมแด่พระสงฆ์ทั้งเก้ารูป เมื่อพระสงฆ์ 'ยถาสัพพี' เธอจึงกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลไปให้นายอำเภอสิทธิศักดิ์ สามีผู้ล่วงลับ
ท่านพระครูเคยสอนไว้ว่า 'ยถาให้ผี สัพพีให้คน' ดังนั้นเมื่อพระขึ้น 'ยถาวารี วหา...' เธอจึงเริ่มรินน้ำลงในภาชนะ กระทั่งท่านว่าถึง 'มณี โชติรสา ยถา' แล้วพนมมือรับพรเมื่อท่านขึ้น 'สัพพีติโย วิวัชขันตุ'
เมื่อพิธีทำบุญอายุครบห้ารอบขงคุณนายโสภิตเสร็จสิ้นลง ท่านเจ้าคุณและพระลูกวัดเจ็ดรูปจึงลากลับ คุณนายโสภิตเดินออกไปส่งที่รถ
"คุณนาย พระที่นั่งติดกับอาตมาเป็นใครกัน" ท่านเจ้าคุณถาม
ท่านเจ้าคุณรู้สึกไม่ถูกชะตากับพระภูธรรูปนั้น คงเป็นพระภูธรแน่ๆ ก็ท่าทางเชยออกอย่างนั้น แต่จะเป็น 'พระภูธร' หรือ 'พระนครบาล' ท่านก็รู้สึกไม่ถูกชะตาตั้งแต่แรกเห็น ไม่ถุกชะตาเอามากๆ
คุณนายโสภิตไม่ตอบในทันที เธอกำลังพยายามหาคำตอบที่เหมาะสม ดูเหมือนท่านเจ้าคุณจะมี 'จิตริษยา' ท่านพระครูอยู่ในใจ ตัวเธอเองนั้นมีความเคารพนับถือท่านพระครูมากกว่า เพราะท่านเป็นพระนักปฏิบัติ ส่วนท่านเจ้าคุณนั้นเคยนับถือกันมาตั้งแต่สมัยที่สามีของเธอยังมีชีวิตอยู่ แต่ก็ไม่เลื่อมในใน 'จริยาวัตร' ของท่านเท่าใดนัก ขนาดลูกศิศย์ใกล้ชิดของท่านยังแอบมานินทาให้คุณนายฟังถึงสรรพคุณของเจ้าคุณรูปนี้ว่า 'เช้าเอน เพลนอน เย็นพักผ่อน ค่ำจำวัด ดึกซัดมาม่า ตีห้าคิดดอกเบี้ย' เขาบอกว่าท่านมีเงินหลายล้านให้คนกู้
ยิ่งกว่านั้น เขายังเล่าให้คุณนายโสภิตฟังว่า "คุณนายครับ ผมน่ะแสนจะอึดอัดพูดไม่ออกบอกไม่ได้ ครั้นจะไม่พูดไม่บอก มันก็อึดอัดแน่นหน้าอก ผมก็ขอบอกคุณนายคนเดียวก็แล้วกัน ฟังแล้วก็เหยียบไว้เสียนะครับ เพราะถ้าเรื่องนี้รู้ถึงท่านเจ้าคุณเมื่อไหร่ ผมคงต้องตายเมื่อนั้น ตายหยังเขียดเขียวนะครับ"
เขาอารัมภบทยืดยาวก่อนจะเริ่มเล่าว่า "คุณนายทราบไหมครับ ที่ท่านเจ้าคุณคุยว่าสามารถเข้า 'นิโรธสมาบัติ' ได้ถึงเจ็ดวันนั้น ความจริงเป็นอย่างไร" เขายกมือท่วมหัวพร้อมกล่าวคำสาบาน "เจ้าประคุู้ณ ถ้าลูกช้างใส่ร้ายพระสงฆ์องค์เจ้า ขอให้ลูกช้างตายไปตกนรกเถิด"
แล้วเขาก็เล่าถึงวิธีการเข้านิโรธสมาบัติของท่านเจ้าคุณ ว่าท่านจะปิดกุฏิเป็นเวลาเจ็ดวัน ห้ามลูกศิษย์ลูกหาเข้าเยี่ยมเยียน โดยสั่งเขาให้บอกคนเหล่านั้นว่าท่านจะเข้านิโรธสมาบัติเจ็ดวันติดต่อกัน โดยไม่ฉันและไม่จำวัด ตัวเขาเท่านั้นที่รู้ว่าท่านเจ้าคุณตุนอาหารเอาไว้เต็มตู้ยิน แล้วสั่งให้เขาทำมาถวาย
กินๆนอน อยู่ในกุฏิจนครบกำหนดวันที่กำหนดแล้ว ก้ให้เขาประกาศแก่ลูกศิษย์ลูกหาว่าท่านออกจากนิโรธสมาบัติแล้ว ใครอยากได้บุญก็ให้เอาอาหารและข้าวขงเงินทองมาถวาย เพราะการถวายของแก่พระที่เพิ่งออกจากนิโรธสมาบัตินั้นมีอานิสงค์แรงกล้า
บรรดาผู้งกบุญแต่ไร้ปัญญาทั้งหลาย ก็พากันมาถวายสิ่งของ แล้วพากันชื่นชมว่าผิวพรรณของท่านเจ้าคุณผ่องใสเพราะอำนาจสมาธิ มีแต่เขาคนเดียวเท่านั้นที่รู้ว่าท่านผ่องใสเพราะกินๆ นอนๆ อยู่ในกุฏิถึงเจ็ดคืนเจ็ดวัน ไม่รู้ว่าท่านจะหลอกลวงชาวบ้านไปทำไม ช่างไม่กลัวบาปกลัวกรรมเสียบ้างเลย
ส่งท่านเจ้าคุณและพระลูกวีดกลับกรุงเทพฯ แล้ว คุณนายโสภิตจึงกลับมาคุยกับท่านพระครูเพื่อรายงานผลการปฏิบัติธรรมให้ท่านทราบ เธอเคยไปเข้ากรรมฐานที่วัดป่ามะม่วงหลายครั้ง และนำกลับมาปฏิบัติต่อที่บ้านทุกวัน มีปัญหาเมื่อไหร่ก็นำไปปรึกษาท่านพระครู เพราะตอนนั้นสามีของเธอเป็นนายอำเภอเมือง จังหวัดสิงห์บุรี การไปมาจึงไม่ลำบาก ต่อมาเมื่อสามีของเธอเสียชีวิตไป เธอจึงย้ายกลับมาอยู้ภูมิลำเนาเดิมที่จังหวัดจันทบุรี แล้วก็เลยไม่ได้ไปหาท่านพระครูอีก
"หลวงพ่อคะ เมื่ออาทิตย์ก่อนเกิดเรื่องอัศจรรย์ค่ะ" คุณนายพูดขึ้นเมื่อกลับมานั่งเรียบร้อยแล้ว "อัศจรรย์ยังไงหรือคุณนาย" "ดิฉันนั่งกรรมฐานอยู่ในห้องพระดีๆ เกิดตัวลอยออกไปนอกหน้าต่าง กิ่งทับทิมเกือบแทงตายแน่ะค่ะ พวกคนใช้เขาเห็ยเลยนึกว่าดิฉันได้คุณวิเศษ สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ แหม..ลอยออกไปตกดังตุ้บ ยังหาว่าเหาะได้" "ก่อนจะลอยคุณนายรู้สึกยังไง" "รู้สึกว่าตัวมันเบาค่ะ ดิฉันก็เลยกำหนด 'เบาหนอ' พอกำหนดเสร็จตัวมันก็ลอยขึ้น ไม่ทราบว่าลอยได้อย่างไร น้ำหนักตั้งแปดสิบ" "แล้วคุณนายกำหนดว่าอย่างไร ตอนตัวลอยน่ะ" "กำหนด 'ลอยหนอ' ค่ะ" "แล้วกัน กำหนดแบบนั้นจะได้เรื่องอะไรล่ะ บอกให้ลอยมันก็ลอยน่ะสิ ดีนะที่ไม่ลอยไปถึงวัดป่ามะม่วงโน่น" ท่านพระครูพูดยิ้มๆ "แหม..ถ้าไปถึงโน่นได้ก็ดีสิคะ จะได้เลิกจ้างคนขับรถ อยากไปไหนมาไหนก็ลอยไป แบบนี้เขาเรียกว่าอะไรคะ ดิฉันได้ญาณอะไรหรือเปล่า" คุณนายโสภิตอยากรู้
"ไม่ใช่ญาณหรอก เป็นอำนาจของปิติน่ะ ปิติที่ทำให้ตัวเบาลอยได้ เขาเรียกว่า 'อุพเพงคาปิติ' ปิติเกิดขึ้นเพราะองค์ธรรมขณะที่ปฏิบัติไม่สมดุลกัน นั่นคือสติ วิริยะและสมาธิ ไม่เสมอกัน จึงทำให้ออกนอกลู่นอกทาง คุณนายต้องเพิ่มสติให้มากขึ้นอีก ให้มันเสมอกับวิริยะและสมาธิ การปฏิบัติจึงจะก้าวหน้า"
"แต่ดิฉันก็มีสตินะคะหลวงพ่อ เพราะขณะที่ตัวลอยดิฉันก็รู้" คุณนายยังแคลงใจ
"อาตมาก็ไม่ได้ว่าคุณนายไม่มีสติ เพียงแต่บอกว่ากำลังของมันด้อยกว่าสมาธิและวิริยะ แล้วเวลากำหนดขณะเมื่อลอยตัว คุณนายต้องกำหนดว่า 'รู้หนอ รู้หนอ' คือเอาสติไปรู้ว่ากำลังลอย ถ้ากำหนดอย่างนี้แล้วมันยังลอย ต้องกำหนดว่า 'หยุดหนอ หยุดหนอ' เข้าใจหรือยัง อย่าไปกำหนด 'ลอยหนอ' เดี๋ยวเกิดลอยไปตกน้ำตกท่า จะหาว่าอาตมาสอนไม่ดี"
"แหม ดิฉันนึกว่าได้ญาณสูงถึงกับเหาะเหินได้เสียอีก ถ้าเป็นเช่นนั้นดิฉันจะได้ขายรถ เลิกใช้รถไปเลย" คุณนายพูดติดตลก
บรรดาญาติมิตรที่นั่งฟังอยู่ด้วย ไม่มีใครเข้าใจเรื่องที่คุณนายวัยหกสิบ และพระภิกษุวัยห้าสิบ กำลังคุยกันอยู่เลย เพราะไม่เคยได้ยินเรื่องเช่นนี้มาก่อนในชีวิต
ผู้ประพันธ์ : ดร.สุทัสสา อ่อนค้อม หมวดหนังสือ
Create Date : 03 มิถุนายน 2559 |
Last Update : 3 มิถุนายน 2559 23:56:41 น. |
|
34 comments
|
Counter : 1264 Pageviews. |
|
|
|
ไม่ได้แวะมานาน ขอบคุณมากค่ะสำหรับกำลังใจ และแวะไปที่บล๊อกค่ะ